xs
xsm
sm
md
lg

เที่ยว“บุรีรัมย์”เมืองปราสาทสองยุค...บุกถิ่นภูเขาไฟ งามจับใจปราสาท“พนมรุ้ง-เมืองต่ำ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

Facebook :Travel @ Manager
ปราสาทหินพนมรุ้ง งดงามอลังการบนอดีตปากปล่องภูเขาไฟ
“เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม”

คำขวัญจังหวัด“บุรีรัมย์” 1 ใน “12 เมืองต้องห้าม...พลาด” ซึ่งทาง“การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย”(ททท.) ได้นำเอาจุดเด่นของอารยธรรมขอมโบราณอันรุ่งโรจน์ มาผสานรวมเข้ากับมนต์เสน่ห์ของสถานที่ท่องเที่ยวร่วมสมัย รวมไปถึงความเป็นเมืองด้านกีฬาอันโดดเด่น

เกิดเป็นบุรีรัมย์ “เมืองปราสาทสองยุค” ที่เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเมืองปราสาทหินในยุคขอมโบราณ ข้ามกาลเวลามาสู่เมืองปราสาทสายฟ้าในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว กลายเป็นแม่เหล็กชั้นดี ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนเมืองปราสาทสองยุคกันไม่ได้ขาด

ปราสาทหินพนมรุ้ง
ปราสาทหินพนมรุ้ง สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคู่เมืองบุรีรัมย์
บุรีรัมย์เป็นเมืองแห่งปราสาทหิน เนื่องจากในสมัยโบราณดินแดนอีสานใต้ได้รับอิทธิพลสำคัญจากอารยธรรมขอม จึงมีการสร้างปราสาทขอมหรือปราสาทหินขึ้นอยู่ที่ทั่วไปในแถบอีสานใต้ ไม่ว่าจะเป็น นครราชสีมา ศรีสะเกษ สุรินทร์ และโดยเฉพาะบุรีรัมย์ที่มี“ปราสาทหินพนมรุ้ง” และ “ปราสาทเมืองต่ำ” เป็น 2 ปราสาทไฮไลท์ ที่ผู้มาเยือนบุรีรัมย์ไม่ควรพลาดด้ายประการทั้งปวง

ปราสาทหินพนมรุ้ง(อ.เฉลิมพระเกียรติ) ตั้งอยู่บน“เขาพนมรุ้ง”บริเวณปากปล่องภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว ปราสาทแห่งนี้เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย มีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15-18
เส้นทางเดินผ่านเสานางเรียงสู่องค์ปราสาทประธาน
ปราสาทหินพนมรุ้ง ก่อสร้างด้วยคติจักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง มีเส้นทางเดินสู่ตัวปราสาทที่ถูกออกแบบลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ ไปตามเส้นทางที่มีเสานางเรียงตั้งอยู่เรียงราย ผ่านสะพานนาคซึ่งเป็นดังจุดเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และสรวงสวรรค์ นำสู่องค์ปราสาทประธานที่เปรียบดังยอดเขาพระสุเมรุ

สำหรับตัวอาคารปราสาทประธาน ก่อสร้างด้วย“หินทรายสีชมพู”อันงดงามสมส่วน ตามจุดต่างๆจะมีภาพจำหลักหิน(งานแกะสลักหิน)ฝีมือวิจิตรประณีต นำโดย “ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์” และภาพ“ศิวนาฏราช” รวมไปถึงภาพจำหลักหินอื่นๆที่ช่างขอมโบราณได้ซุกซ่อนเรื่องราว และแฝงอารมณ์ขัน(ในบางภาพ)เอาไว้ให้เราได้เที่ยวชมกันอย่างเพลิดเพลิน
ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์
นอกจากจะงดงามอลังการแล้ว ทุกๆปีปราสาทหินพนมรุ้งยังมีสิ่งอันน่ามหัศจรรย์เกิดขึ้น กับปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ลอดช่องผ่านบานประตูทั้ง 15 ช่องเป็นแนวเดียวกันได้อย่างพอดี โดยปีหนึ่งจะมีเพียง 4 ครั้งเท่านั้น คือ ขึ้น 2 ครั้ง ในช่วงเดือน เม.ย.และ ก.ย. ตก 2 ครั้ง ในช่วงเดือน มี.ค.และ ต.ค. นับเป็นภูมิปัญญาการก่อสร้างของสถาปนิกโบราณที่น่าทึ่งไม่น้อย

ปราสาทเมืองต่ำ

ไม่ไกลจากปราสาทหินพนมรุ้งเท่าไหร่ เป็นที่ตั้งของ ปราสาทเมืองต่ำ(อ.ประโคนชัย) ซึ่งเป็นปราสาทหินขนาดกะทัดรัด แต่มีความงดงามคลาสสิกสมส่วน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราวครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 16 เพื่อถวายพระศิวะ ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดู
ปราสาทเมืองต่ำ อีกหนึ่งเทวาลัยขอมอันงดงามแห่งบุรีรัมย์
ปราสาทเมืองต่ำมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เส้นทางเดินสู่ตัวปราสาทจะผ่านกลุ่มต้นไม้ใหญ่อันร่มรื่น นำสู่โคปุระ(ซุ้มประตู)ชั้นนอกที่สร้างล้อมลานปราสาท ที่มีลักษณะพิเศษคือสร้างเป็นปรางค์อิฐ 5 องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน ซึ่งเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุ 5 ยอด อันเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

ปราสาทเมืองต่ำงดงามไปด้วยภาพจำหลักหินฝีมือประณีตละเอียดลออ นำโดยภาพ“พระอินทร์นั่งประทับบนตัวหน้ากาล” บนทับหลังซุ้มประตูด้านตะวันออก ซึ่งเชื่อกันว่าพระอินทร์จะช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้าสู่ภายในปราสาท
บารายกับพญานาคแบบปาปวนอันโดดเด่นของปราสาทเมืองต่ำ
นอกจากนี้ปราสาทเมืองต่ำยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญคือ “บาราย”(สระน้ำ) ที่สร้างรายรอบตัวปราสาททั้ง 4 ด้าน เปรียบดังมหาสมุทรที่อยู่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ

บารายทั้ง 4 ด้านนี้ ที่มุมขอบสระสร้างเป็นรูปพญานาค 5 หัว กำลังชูคอแผ่พังพาน ด้านบนหัวพญานาคเรียบเกลี้ยงไม่มีรัศมีหรือเครื่องประดับใดๆ จนถูกเรียกเป็น“พญานาคหัวโล้น” ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของศิลปะขอมแบบบาปวนที่ยังคงเอกลักษณ์ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้
ปราสาทเมืองต่ำงดงามไปด้วยภาพจำหลักหินฝีมือประณีต
ปราสาทสายฟ้า

จากรอยอดีตอันรุ่งโรจน์ของปราสาทขอมในยุคโบราณมาสู่ยุคปัจจุบัน บุรีรัมย์วันนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นถิ่น“ปราสาทสายฟ้า” ซึ่งเป็นฉายาของทีมสโมสรฟุตบอล“บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ทีมฟุตบอลระดับแถวหน้าของเมืองไทย ที่มีสนามเหย้า(เจ้าบ้าน)คือ “สนามฟุตบอลไอ-โมบาย สเตเดียม” หรือ “ธันเดอร์ คาสเซิล สเตเดียม” ที่จุผู้ชมได้มากถึง 32,600 คน
สนามฟุตบอลไอ-โมบาย สเตเดียม
สนามไอ-โมบายฯ นอกจากจะใช้เป็นสนามแข่งขันฟุตบอลแล้ว ยังเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดูงาน ให้ผู้สนใจได้เข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศของสนามมาตรฐานระดับโลก ซึ่งได้รับการบันทึกจากฟีฟ่าว่าเป็นสนามที่ใช้เวลาก่อสร้างน้อยที่สุดในโลก เพียง 265 วัน นับเป็นหนึ่งในสนามกีฬาที่มีคนอยากเข้าไปเยี่ยมชม และเซลฟี่ ถ่ายรูปด้วยเป็นจำนวนมาก

นอกจากสนามฟุตบอลไอ-โมบายฯแล้ว บุรีรัมย์ยังมีสนามแข่งรถ “ช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต” ที่สร้างบนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ เป็นสนามมอร์เตอร์สปอร์ตมาตรฐานโลก และเป็นสนามเดียวในไทยที่ได้รับรองมาตรฐานระดับ FIA Grade 1 / FIM Grade A
สนามแข่งรถ “ช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต”
ถ้าใครได้ขึ้นไปยืนอยู่บนแกรนด์แสตนของสนามแห่งนี้ จะสามารถมองเห็นการแข่งขันได้ถึง 180 องศา เรียกว่าสามารถมองเห็นกันได้ชัดเจนทุกโค้งของสนาม ให้อารมณ์ตื่นเต้นระทึกใจอย่างเต็มที่ ถูกใจผู้ที่ชอบการแข่งขันในกีฬาประชันความเร็วเป็นยิ่งนัก

ถิ่นภูเขาไฟ
สะพานแขวนทอดข้ามปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้วบนเขากระโดง
บุรีรัมย์ได้ชื่อว่าเป็นถิ่นภูเขาไฟ เพราะในจังหวัดมีการสำรวจพบว่าเป็นแหล่งภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วอยู่หลายแห่งด้วยกัน นำโดย“เขาพนมรุ้ง” ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทหินพนมรุ้งอันเลื่องชื่อ

นอกจากนี้ก็ยังมีแหล่งภูเขาไฟ(ดับสนิทแล้ว) ที่เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของบุรีรัมย์อีก 2 แห่งด้วยกัน
“พระสุภัทรบพิตร” พระพุทธรูปองค์ใหญ่คู่เมืองบุรีรัมย์
เริ่มกันที่ “เขากระโดง” ที่ปัจจุบันจัดทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว “วนอุทยานเขากระโดง”(อ.เมือง) ซึ่งวันนี้ยังคงปรากฏร่องรอยของปากปล่องภูเขาไฟให้เห็นได้ชัดเจน นักท่องเที่ยวสามารถเดินบนสะพานแขวน เพื่อชมทัศนียภาพของปากปล่องภูเขาไฟที่มีลักษณะเป็นหลุมลึกลงในเบื้องล่างได้

ขณะที่บนยอดเขากระโดงยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระสุภัทรบพิตร” พระพุทธรูปองค์ใหญ่คู่เมืองบุรีรัมย์ และมีมณฑปรอยพระพุทธบาทจำลองให้ผู้ที่ศรัทธาได้มากราบไหว้กัน
วัดเขาอังคาร วัดงามที่้ตั้งอยู่บนภูเขาไฟที่ดับแล้วในบุรีรัมย์
ส่วน “เขาอังคาร” (อ.เฉลิมพระเกียรติ) เป็นอีกหนึ่งแหล่งภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเขาพนมรุ้ง บนยอดเขาอังคารปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ “วัดเขาอังคาร” ที่มีโบสถ์ที่สร้างด้วยงานสถาปัตยกรรมแบบประยุกต์ที่สวยงามแปลกตา อีกทั้งยังมีการค้นพบโบราณสถานเก่าแก่และใบเสมาหินทรายสลักภาพบุคคล สถูป ดอกบัว และธรรมจักรสมัยทวารวดีหลายชิ้น

ขณะที่บริเวณลานสนามกลางแจ้งหน้าวัดมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์(พระพุทธรูปนอน)ขนาดใหญ่ สร้างด้วยงานพุทธศิลป์รูปแบบเฉพาะตัว เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของเขาอังคารให้ผู้ที่มาเยือนได้สักการะกัน
พระนอนกลางแจ้งที่วัดเขาอังคาร
ผ้าหางกระรอก

บุรีรัมย์เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีชื่อในเรื่องของการทำผ้าทำมือแห่งดินแดนอีสานใต้ โดยมีผ้าทำมือที่สำคัญอย่าง เช่น “ผ้าภูอัคนี” หรือ “ผ้าย้อมดินภูเขาไฟ” ของชุมชนบ้านเจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ ที่อยู่ใกล้ๆกับเขาอังคาร, “ผ้าซิ่นตีนแดง” หรือ “ซิ่นหมี่รวด” ซึ่งมีการสืบทอดภูมิปัญญาต่อกันมากว่า 200 ปี ของชาว อ.พุทไธสง และ อ.นาโพธิ์ กับการทอผ้าไหมทั้งผืน โดยทอหัวและตีนของซิ่นเป็นสีแดงสด
ผ้าขาวม้าที่ทอจากไหมหางกระรอก
นอกจากนี้บุรีรัมย์ยังขึ้นชื่อในเรื่องของ “ผ้าหางกระรอก” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาในการทอผ้าของชาวอีสานใต้ โดยหนึ่งในแหล่งผลิตผ้าหางกระรอกอันโดดเด่นของบุรีรัมย์นั้นอยู่ที่ “บ้านสนวนนอก” ต.สนวน อ.ห้วยราช

ชาวบ้านสนวนนอกจะมีการปลูกต้นหม่อนไว้เลี้ยงไหมกันภายในชุมชน หลังจากผ่านกระบวนการจนได้เส้นไหมคุณภาพดีที่ผ่านการย้อมสีแล้ว ก็จะนำเส้นไหมไป“ตีเกลียว”ให้เส้นไหมสองสีมาพันเป็นเกลียวจนกลายเป็นเส้นเดียวกัน
กระบวนการทำผ้าหางกระรอก บ้านสนวนนอก
จากนั้นก็จะนำไปทอเป็นผืนผ้า ซึ่งผ้าที่ทอออกมาจะมีสีสันเลื่อมลายเหลื่อมกันคล้ายกับหางกระรอก จึงเรียกผ้าทอลักษณะนี้ว่า “ผ้าหางกระรอก

ด้วยความเป็นแหล่งผลิตผ้าทอหางกระรอกขึ้นชื่อ และมีวิถีวัฒนธรรมอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ปัจจุบันบ้านสนวนนอกจึงได้รับการพัฒนาให้เป็น“หมู่บ้านท่องเที่ยวไหม” ที่นอกจากจะได้มาเรียนรู้กับกระบวนการทำผ้าหางกระรอก และซื้อผ้าทอมือสวยๆงามๆติดมือกลับไปแล้ว ในหมู่บ้านสนวนนอกยังมีกิจกรรมและสิ่งน่าสนใจต่างๆให้สัมผัสกันอีกหลากหลาย อาทิ การนั่งรถกระสวยเที่ยวชมวิถีชุมชน การทำกระดิ่งผูกคอวัว เครื่องจักสาน แปรรูปกะลามะพร้าว ถ่ายรูปที่สะพานยายชุน ตักบาตรยามเช้า เที่ยวตลาดโบราณ(เปิดขายทุกวันเสาร์หรือเมื่อมีคณะดูงานมาเยี่ยมชมหมู่บ้าน) เป็นต้น
รอยยิ้มที่คนบ้านสนวนนอกมีพร้อมให้นักท่องเที่ยว
เพ ลา เพลิน-นกกระเรียนพันธุ์ไทย

สำหรับคนชอบดอกไม้สวยๆ ชอบถ่ายรูปเซลฟี่ บุรีรัมย์ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ คือที่ “เพ ลา เพลิน บูติค รีสอร์ท แอนด์ แอดเวนเจอร์ แคมป์” (อ.คูเมือง) ที่มีการจัดแสดงพันธุ์ไม้นานาชนิดในธีมต่างๆ
ชมดอกไม้งามที่อุทยานไม้ดอก เพ ลา เพลิน จ.บุรีรัมย์
ทั้งยังมีโรงเรือนพืชตามฤดูกาลที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนดอกไม้สวยๆ มาให้ชมกันตลอดทั้งปี อีกทั้งยังมีโซนเกษตรฟาร์ม และกิจกรรมชวนตื่นเต้นให้ร่วมสนุกกัน อย่างเช่น โรยตัวจากหอไอเฟล ปีนกำแพงเมืองจีน ข้ามสะพานเชือกทาวเวอร์บริดจ์ และสนุกกับสวนน้ำ เป็นต้น

ส่วนคนที่ชื่นชอบการดูนกที่บุรีรัมย์มี “เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบิน” (อ.ประโคนชัย) เป็นอีกหนึ่งแหล่งดูนกชั้นดี ที่นี่มีนกไม่ต่ำกว่า 214 ชนิด มีทั้งนกน้ำ นกป่า และนกทุ่ง เป็นต้น
นกกระเรียนพันธุ์ไทยตัวสีเทา หัวและคอสีแดงยืนอยู่กลางทุ่งหญ้า
ที่สำคัญคือวันนี้ ที่นี่มี “นกกระเรียนพันธุ์ไทย” ที่ครั้งหนึ่งเคยสูญพันธุ์จากเมืองไทยไปแล้ว ได้กลับคืนสู่ธรรมชาติของบ้านเราอีกครั้ง อันเนื่องมาจากในปี พ.ศ. 2554 ทางสวนสัตว์นครราชสีมาได้มีโครงการปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่ธรรมชาติ จนวันนี้ที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบิน มีนกกระเรียนพันธุ์ไทยที่กลับคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งได้จับคู่ทำรังให้กำเนิดลูกนกตามธรรมชาติสืบต่อมา เป็นที่น่ายินดียิ่ง

บุรีรัมย์ plus สุรินทร์

จากบุรีรัมย์เมื่อเดินทางต่อไปยังจังหวัดสุรินทร์ที่อยู่ติดกัน ซึ่งทางททท.ได้จับคู่ บุรีรัมย์กับสุรินทร์ ให้เป็นหนึ่งใน “เมืองต้องห้าม...พลาด plus” เพื่อนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวอันโดดเด่นของทั้งสองจังหวัดในเส้นทาง “บุรีรัมย์ plus สุรินทร์
วิถีคน-ช้าง ผูกพันที่หมู่บ้านช้างตากลาง
สำหรับผู้มาเยือนสุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ นั้นไม่ควรพลาดการไปเที่ยวชมที่ “หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง” หรือ“ศูนย์คชศึกษา”(อ.ท่าตูม) ซึ่งถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์สำคัญของจังหวัดสุรินทร์

หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านเลี้ยงช้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชาวบ้านที่นี่เป็นชาวกวย หรือชาวกูย ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในอดีตของสุรินทร์ ที่มีความรู้ความชำนาญในการจับช้างป่ามาเลี้ยงตั้งแต่ในอดีต โดยนำมาเลี้ยงไว้ใช้งาน และเลี้ยงเป็นเสมือนสมาชิกในครอบครัว
สุสานช้าง
ภายในหมู่บ้านช้างตากลาง นักท่องเที่ยวสามารถไปชมวิถีชีวิตคนกับช้างที่ผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น สัมผัสกับควาญช้างที่เฝ้าเลี้ยงดูช้างเหมือนลูกในไส้ได้อย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ภายในหมู่บ้านช้างยังมี “ศาลปะกำ”สถานที่สิงสถิตของวิญญาณบรรพบุรุษและผีปะกำ, “พิพิธภัณฑ์ช้าง” จัดแสดงเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับช้าง, “สุสานช้าง” สถานที่เก็บกระดูกช้างในหมู่บ้านที่ล้มตาย ซึ่งมีเพียงแห่งเดียวในโลก
ช้างน้อยที่บ้านตากลางแสดงความสามารถด้วยการวาดภาพ
และที่พลาดไม่ได้ก็คือ “การแสดงช้าง” ที่ลานแสดงช้าง ซึ่งจะมีการแสดงโชว์ความสามารถอันน่าทึ่งของช้างไทย ไม่ว่าจะเป็น ช้างวาดรูป ช้างเตะฟุตบอล ช้างเต้นรำ เป็นต้น

นอกจากขึ้นชื่อเรื่องช้างแล้ว สุรินทร์ยังเป็นเมืองที่มีปราสาทหินจำนวนมากเช่นเดียวกับบุรีรัมย์ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมขอมโบราณมาเช่นเดียวกัน โดยปราสาทที่ขึ้นชื่อในจังหวัดสุรินทร์นั้นได้แก่
ปราสาทตาเมือน
กลุ่มปราสาทตาเมือน” (อ.พนมดงรัก) ที่ประกอบด้วยปราสาทขอม 3 หลัง คือ “ปราสาทตาเมือนธม” ปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม “ปราสาทตาเมือนโต๊ด” ที่เชื่อว่าเป็นอโรคยาศาล หรือสถานที่รักษาพยาบาลของชุมชน และ“ปราสาทตาเมือน (บายกรีม)” เป็นปราสาทหลังเล็กที่สุด เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา หรือที่พักสำหรับคนเดินทาง
ปราสาทศีขรภูมิ
ปราสาทศีขรภูมิ” (อ.ศีขรภูมิ) ที่สร้างขึ้นตามความเชื่อศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย มีลักษณะเป็นปราสาทอิฐ 5 หลัง ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน มีปราสาทประธานอยู่ตรงกลาง ซึ่งโดดเด่นไปด้วยทับหลังจำหลักหินภาพศิวนาฏราชอันงดงาม ขณะที่บริเวณขอบประตูขององค์ปรางค์ประธานมีงานจำหลักหินภาพ“นางอัปสรา”ที่ได้ชื่อว่าสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทย
ปราสาทภูมิโปน
ปราสาทภูมิโปน” (อ.สังขะ) ได้ชื่อว่าเป็นปราสาทศิลปะขอมที่มีความเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ก่อสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ประกอบด้วยอาคาร 4 หลัง โดยมีปราสาทอิฐหลังใหญ่ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุด และยังคงเหลือลวดลายสลักหินให้ชมกันบ้างเล็กน้อย
วัดบูรพาราม
นอกจากปราสาทหินและหมู่บ้านช้างแล้ว จังหวัดสุรินทร์ยังมีสิ่งน่าสนใจอื่นๆที่ชวนให้ไปสัมผัสกัน อาทิ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์”แหล่งรวมศิลปวัตถุขอมโบราณที่น่าสนใจ, “วัดบูรพาราม” วัดคู่บ้านคู่เมืองสุรินทร์ ซึ่งประดิษฐาน “หลวงพ่อพระชีว์” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวสุรินทร์ต่างเคารพศรัทธา, “วนอุทยานเขาพนมสวาย” ภูเขาไฟที่ปัจจุบันดับสนิทแล้ว บนยอดเขามีสิ่งน่าสนใจหลากหลายให้เที่ยวชม อาทิ “พระพุทธสุรินทรมงคล” หรือ “พระใหญ่” อัฐิหลวงปู่ดุลย์ อตุโล รอยพระพุทธบาทจำลอง พระพุทธรูปองค์ดำ เป็นต้น

และนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง “บุรีรัมย์ plus สุรินทร์” ที่นอกจากจะโดดเด่นด้วยรอยอดีตแห่งอารยธรรมขอมโบราณที่น่าสนใจแล้ว ยังมากไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอันหลากหลายชวนให้ไปสัมผัสค้นหา

นับเป็นมนต์เสน่ห์ที่จะพาให้เราได้เพลิดเพลินไปในดินแดนอีสานใต้ได้อย่างน่าประทับใจยิ่ง
นางอัปสราหินทรายอันอ่อนช้อยด้านหน้าปราสาทศีขรภูมิ
******************************************
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดของสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในเส้นทาง เมืองต้องห้าม...พลาด พลัส “บุรีรัมย์ plus สุรินทร์” เพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุรินทร์ (พื้นที่รับผิดชอบสุรินทร์ บุรีรัมย์ ) โทร.0 4451-4447-8
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
กำลังโหลดความคิดเห็น