พอใกล้วันหยุดทีไร “ตะลอนเที่ยว” ต้องรีบเตรียมหาที่เที่ยวไปตะลอนให้คลายเครียดจากการทำงานตลอดเลย อยู่ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ก็ขอเลือกไปลัดเลาะตามเส้นทาง “พิษณุโลก-เพชรบูรณ์” เมืองสายหมอก ดอกไม้งาม แถมมีกิจกรรมสุดมันส์อย่าง “ล่องแก่ง” ชวนตื่นเต้นอีกด้วย
แรกเริ่มเมื่อมาถึง จ.พิษณุโลก ก็ต้องมาสักการะ “พระพุทธชินราช” ที่ประดิษฐานอยู่ที่ “วัดพระศรีรัตมหาธาตุวรมหาวิหาร” ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.พิษณุโลก บนถนนพุทธบูชาริมฝั่งแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออกตรงข้ามกับศาลหลักเมือง เพื่อเป็นสิริมงคลกันก่อน
วัดแห่งนี้ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “วัดใหญ่” หรือไม่ก็ “วัดพระศรี” เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. 1500 สำหรับ “พระพุทธชินราช” หรือ “หลวงพ่อใหญ่” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะสุโขทัย หล่อด้วยทองสำริด เส้นรอบนอกพระวรกายอ่อนช้อย ชายผ้าสังฆาฏิแยกเป็นเขี้ยวตะขาบ พระขนงโก่ง พระเกตุมาลาเป็นเปลวเพลิง พระหัตถ์มีปลายนิ้วทั้งสี่เสมอกัน ส่วนซุ้มเรือนแก้วทำด้วยไม้แกะสลักอย่างงดงามคาดว่าน่าจะสร้างในสมัยอยุธยา
เมื่อไหว้พระกันเสร็จแล้วก็มุ่งหน้าต่อไปที่ “ลำน้ำเข็ก” ใน อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ที่ไหลเคียงคู่ไปกับถนนหมายเลข 12 โดยปกติแล้วสีน้ำจะเป็นสีขาวใสในช่วงหน้าแล้ง แต่จะเปลี่ยนเป็นสายน้ำสีน้ำตาลแดงไหลเชี่ยวกรากมากไปด้วยแก่งต่างๆ ในช่วงหน้าฝนเดือนกรกฎาคม-ตุลาคมของทุกปี ซึ่งทำให้มีปริมาณสายน้ำที่เหมาะสมกับกิจกรรม “ล่องแก่ง” กิจกรรมขึ้นชื่อของที่นี่นั่นเอง
จุดเด่นของการล่องแก่งน้ำเข็กคือ อยู่ริมถนน เข้าถึงสะดวก ไม่ต้องเดินเท้าเข้าป่าแบกเรือยางให้เหนื่อย และสองฟากฝั่งยังมีทัศนียภาพของธรรมชาติที่สวยงามอีกด้วย ที่สำคัญคือมีความปลอดภัยสูง เพราะมีการดูแลตลอดกิจกรรมโดยนายหัวและนายท้าย ที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการล่องแก่งมาอย่างดี และนักท่องเที่ยวที่มาล่องแก่งจะต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันภัย เสื้อชูชีพ หมวกนิรภัย เพื่อช่วยลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ และต้องรับฟังคำสั่งของนายหัวและนายท้ายอย่างเคร่งครัด
สำหรับเส้นทางล่องเรือยางพิชิตแก่งมีระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับกระแสน้ำ) โดยเรือจะล่องไปยังบริเวณตอนบนของน้ำตกแก่งซอง ผจญฝ่าแก่งต่างๆ จำนวน 15 แก่ง (เดิมเคยฝ่า 17 แก่งแต่ปัจจุบันตัด 2 แก่งสุดท้ายออก) ซึ่งมีความแรงของกระแสน้ำครบสูตรในการล่องแก่งตั้งแต่ระดับ 1-5 จากน้ำนิ่งไปจนถึงน้ำไหลเชี่ยวกราก
ระยะความห่างของแต่ละแก่งอยู่ไม่ไกลกันมีระยะให้พัก ให้ชมวิว และให้ลุยแบบไม่ทิ้งช่วงนานเกินไปจนรู้สึกเบื่อ อีกทั้งยังมีสภาพแก่งที่หลากหลายครบเครื่อง ทั้งแก่งต่างระดับ แก่งคดเคี้ยวหักเลี้ยวเป็นตัว S แก่งไล่ระดับเป็นชั้นๆ ดังขั้นบันได เป็นต้น นั่นจึงทำให้น้ำเข็กได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสายน้ำที่ขึ้นชื่อในเรื่องกิจกรรมล่องแก่ง ติดอันดับ 1 ใน 5 ของเมืองไทย
เริ่มกันที่แก่งแรกคือ “แก่งท่าข้าม” (ระดับ 1-2) ให้พวกเราได้อุ่นเครื่องสร้างความคุ้นกับสายน้ำ จากนั้นต่อกันด้วย “แก่งไทร” (ระดับ 3-4) ที่เพิ่มความยากและความตื่นเต้นขึ้นมาอีก แล้วต่อด้วย “แก่งเวฟยาว” (ระดับ 1-2) และ “แก่งพนาวัลย์” (ระดับ 1-2)
จากนั้นจะเป็น “แก่งมรดกป่า” (ระดับ 3) “แก่งปากยาง” (ระดับ 3) ที่จะเพิ่มความยากมากขึ้น และสายน้ำจะเริ่มลดระดับความแรงลงมาใน “แก่งหินลาด”(ระดับ 2-3) และ “แก่งวังตะเคียน”(ระดับ 1-2) ช่วยให้ผ่อนคลายเพื่อเตรียมตัวลุยพิชิตแก่งในช่วงที่สองที่สายน้ำยิ่งทวีความเข้มข้นดุดันมากยิ่งขึ้น
สำหรับในเส้นทางช่วงสองของการล่องน้ำเข็กนั้นมี 4 แก่งไฮไลต์ให้พิชิตฟันฝ่า โดยเริ่มที่ “แก่งสบยาง” (ระดับ 2-3) ก่อนจะเพิ่มดีกรีขึ้นใน “แก่งรัชมังคลา” (ระดับ 3-4) ที่ในช่วงน้ำมากๆ จะชวนให้ตื่นเต้นไปกับยอดที่สูงเกิน 1 เมตรเลยทีเดียว
พ้นจากแก่งรัชมังคลามา นายท้ายบอกให้ทุกคนในเรือเตรียมตัวให้พร้อม เพราะต่อไปนี้เป็นของจริง โดยแก่งถัดไปเป็นแก่งไฮไลต์จุดแรกกับ “แก่งซาง” (ระดับ 4-5) ที่น่าตื่นเต้นสะเทือนซางไปกับลักษณะของแก่งเป็นลานหินกว้าง และมีความยาวของแก่งไม่ต่ำกว่า 10 เมตร สายน้ำมีการลดระดับลงในแต่ละช่วง โดยมีจุดพีคเป็นลำน้ำหักศอกให้จ้ำพายกันเต็มที่
จากนั้นจะเจอแก่งไฮไลต์ลำดับที่สองให้ตื่นเต้นต่อเนื่องกันกับ “แก่งโสภาราม” (ระดับ 4-5) ที่เป็นแก่งคดเคี้ยวรูปตัว S ให้เหล่าฝีพายต้องออกแรงบังคับเรือกันให้ดี และจะเริ่มผ่อนระดับลงมาที่ “แก่งดงสัก” (ระดับ 3-4) ให้พอได้ผ่อนคลายความตื่นเต้นลงมาหน่อย
พักจากแก่งดงสัดได้ไม่นานก็มาถึง “แก่งนางคอย” (ระดับ 4-5) ซึ่งเป็นแก่งไฮไลต์สำคัญที่ยากที่สุด ตื่นเต้นที่สุด และหวาดเสียวที่สุด กับลักษณะของแก่งที่ค่อยๆ ลดระดับมาเป็นชั้นๆ โดยจุดสำคัญคือชั้นแก่งที่มีความสูงถึงเกือบ 2 เมตร ที่ทุกคนในเรือยางต้องช่วยกันบังคับฟันฝ่ามันไปให้ได้ เพื่อไปให้ถึงแก่งสุดท้ายซึ่งเป็นไฮไลต์ลำดับที่ 4 นั่นคือ “แก่งยาว”(ระดับ 3-5) ที่ชวนตื่นเต้นไปด้วยลักษณะของแก่งที่มีความยาวร่วม 100 เมตร สมชื่อแก่งยาวให้ได้จ้ำพายพิชิตจริงๆ
ถ้าหากใครยังมีแรงเหลือจากการพายเรือล่องแก่ง “ตะลอนเที่ยว” ขอแนะนำให้เดินทางไปต่อที่ “อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า” (อ.นครไทย จ.พิษณุโลก) ซึ่งที่นี่ในอดีตเคยถูกใช้เป็นฐานที่มั่นสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ช่วงที่มีการสู้รบจากความคิดต่างทางการเมืองเมื่อราว 40 ปีที่แล้ว
และนอกจากมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์แล้ว ที่นี่ยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่มีความสวยงามแปลกตาของธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนที่ไหนให้สัมผัสเที่ยวชมไล่เรียงกันไปตลอดระยะทางประมาณ 2,460 เมตร เริ่มจาก “ผาหินกบ” ก้อนหินใหญ่วางเทินกันอยู่ซึ่งเมื่อมองถูกมุมจะดูคล้ายกบเกาะอยู่บนหิน และ “ผาหัวใจหิน” ก้อนหินใหญ่รูปร่างคล้ายหัวใจ
เมื่อเดินเท้าต่อเข้ามาอีกจะพบกับ “ลานหินปุ่ม” จุดไฮไลต์สำคัญที่เป็นดังสัญลักษณ์ของภูหินร่องกล้า มีลักษณะเป็นลานหินขนาดย่อมริมหน้าผาที่มีรูปร่างลักษณะอันแปลกประหลาด เป็นลานกว้างแล้วมีหินเป็นลูกกลมมนผุดขึ้นมาเป็นลูกๆปุ่มๆ ละลานเต็มไปหมด สันนิษฐานว่าลานหินปุ่มเกิดจากการโก่งตัวของเปลือกโลก แล้วเกิดการสึกกร่อนพร้อมถูกลมฝนกระทำขัดเกลา จนเกิดเป็นลานหินปุ่มขึ้นมา
ถัดจากลานหินปุ่มมาก็จะถึง “ผาชูธง” หน้าผาสูงที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงามกว้างไกล โดยเฉพาะจุดชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่สวยงามไม่เป็นรองใคร ผาชูธงในอดีตเคยเป็นจุดที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เมื่อรบชนะทหารไทยจะขึ้นไปชูธงแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ส่วนปัจจุบันบนผามีธงชาติไทยปักอยู่
หากเดินทางมาในช่วงหน้าฝนเช่นนี้จะได้พบกับดอกไม้ป่านานาพันธุ์ที่พากันออกดอกชูช่อสวยงามตลอดเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติอีกด้วย อาทิ “ลิ้นมังกร” สีส้มสดเด่นอยู่ตามพื้นดิน, “ตาเหินไหว” ที่ออกดอกสีขาวชูช่อเป็นริ้วพลิ้วไหวอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ๆ, “ดอกเปราะภู” ดอกสีขาวราวสำลีอยู่ทั่วไปตามพื้นดิน, “ดอกหงส์เหิน” ที่ดูคล้ายกับหงส์สีส้มน่ารัก และ “ใบบีโกเนีย” ที่กำลังบานตามโขดหินสวยงาม
ในเขต อช.ภูหินร่องกล้ายังมีอีกหลายสถานที่น่าสนใจให้ไปเที่ยวชมกัน ทั้ง ลานหินแตก, ซันแครก, น้ำตกหมันแดง, พิพิธภัณฑ์การสู้รบ, สำนักอำนาจรัฐ และโรงเรียนการเมืองการทหาร รวมถึงจุดชมวิวต่างๆ อีกมากมาย หรือจะลัดเลาะมาเที่ยว “ภูทับเบิก” และ “เขาค้อ” ทางจังหวัดเพชรบูรณ์ต่อก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย
และหากมาทางจังหวัดเพชรบูรณ์แล้วก็ต้องไม่พลาดมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” (บ้านทางแดง ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ) ให้เป็นสิริมงคล ซึ่งภายในวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว จะประกอบไปด้วยงานพุทธศิลป์สำคัญใน 2 ส่วนด้วยกัน คือ “มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์” สถาปัตยกรรมพระพุทธรูปซ้อนองค์ไล่เรียงจากองค์เล็กขึ้นไปสู่ใหญ่สีขาวเด่นดูโดดเด่นงดงามนัก และ “เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต” ที่ประดับตกแต่งในทุกส่วนด้วยเครื่องถ้วยเบญจรงค์ อัญมณี แก้ว แหวน เงินทองมากมาย
ปิดท้ายการเดินทางด้วยการแวะร้านกาแฟ “พิโน ลาเต้” (Pino Latte) ร้านกาแฟที่ถือเป็นอีกไฮไลต์ของการมาเที่ยว จ.เพชรบูรณ์ เพราะที่นี่มีทั้งเครื่องดื่มและของกินเล่นอร่อยๆ และวิวทิวทัศน์สวยงามทจากแปลงปลูกดอกไม้หลากสีและวิวของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วให้เก็บภาพประทับใจด้วย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวและการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพิษณุโลก (พื้นที่รับผิดชอบ พิษณุโลก, เพชรบูรณ์) โทร. 0-5525-2742 หรือ 0-5525-2743
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com