xs
xsm
sm
md
lg

“สุนทรภู่” มหากวี ยอดนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวผู้มาก่อนกาล/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)

วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 นับเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญในประวัติศาสตร์ของสยามประเทศ

วันนี้เป็นวันที่ “เด็กชายภู่” ที่ต่อมาได้เติบโตเป็น “พระสุนทรโวหาร” หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม“สุนทรภู่” ได้ลืมตาถือกำเนิดขึ้นมาดูโลก ในเวลาประมาณ 2 โมงเช้า(แปดโมงเช้า) วันจันทร์ เดือน 8 ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 หรือตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 (วันคล้ายวันเกิดของท่านปีนี้(2560)เวียนมาตรงกับวันจันทร์ วันที่ท่านถือกำเนิดมาอีกครั้ง)

สุนทรภู่ ถือกำเนิดที่บริเวณย่านบางกอกน้อย(อาจจะแถวๆริมคลองบางกอกน้อย)ธนบุรี มารดาชื่อ “นางช้อย”(สันนิษฐานว่าเป็นชาวเมืองฉะเชิงเทรา)บิดาชื่อ“นายพลับ”หรือ“ขุนศรีสังหาร” เป็นชาวบ้านกร่ำ เมืองแกลง จ.ระยอง

โดยบิดา มารดา ได้ตั้งชื่อให้บุตรชายของตนว่า“ภู่”

แม้ดวงชะตาการเกิดของเด็กชายภู่จะมีเรื่องเล่าขานว่า โหรได้ผูกดวงของเด็กชายคนนี้ว่าเป็นผู้ที่มี “อาลักษณ์ขี้เมา” ซึ่งเรื่องนี้ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ โดยหลายคนเชื่อว่าน่าจะมีการมาแต่งเติมกันภายหลังตามลักษณะนิสัยคนชอบดื่มของสุนทรภู่

ขณะที่ผู้รู้บางคนก็แย้งว่าจริงๆแล้วสุนทรภู่ไม่ได้ขี้เมา แต่แค่ชอบดื่มสุรา(ดังปรากฏในบทกลอนของท่าน) เพราะถ้าหากว่าท่านขี้เมาดื่มหัวราน้ำคงไม่มีโอกาสได้สร้างสรรค์ผลงานดีออกมาสู่สายตาชาวโลกจวบจนทุกวันนี้

อย่างไรก็ดีเรื่องอาลักษณ์ขี้เมานั้นผมถือว่าเป็นสีสันชีวิตของท่าน แต่สิ่งสำคัญนั้นคือการเป็นมหากวีผู้ยิ่งใหญ่ โดยท่านสุนทรภู่ได้รับการยกย่องให้เป็น กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์จากผลงานกวีนิพนธ์ชิ้นเยี่ยมมากมาย เป็นหนึ่งในยอดกวีเอกของโลก และเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของโลก

นอกจากจะเป็นยอดกวี เป็นยอดนักกลอน และเป็นยอดนักดื่ม(ตามความเชื่อของหลายคน) สุนทรภู่ท่านยังได้รับการยกย่องให้เป็นยอด“นักเขียนสารคดีท่องเที่ยว” ผู้มาก่อนกาลอีกด้วย

เพราะผลงานบทกลอน บทกวีของท่าน ได้บอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์ สถานที่ต่างๆ ที่ท่านได้เดินทางไปพานพบ ได้อย่างยอดเยี่ยม

“ปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ” หนึ่งในนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวระดับคลาสสิกของเมืองไทย อดีตบรรณาธิการอนุสาร อสท. ผู้ล่วงลับ ได้กล่าวถึงท่านสุนทรภู่ไว้ในหนังสือ “เที่ยวไปกับสุนทรภู่” ว่า

“ที่อาจหาญมาเขียนเรื่องสุนทรภู่ก็ไม่ใช่อะไรอื่น มันเป็นเรื่องอันเกี่ยวเนื่องกับหัวใจของผมแท้ๆ ผมรู้จักสุนทรภู่จากผลงานด้านนิราศของท่าน อ่านนิราศของท่านแล้ว ผมก็แทบจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ท่านเขียนไว้

ผมยกย่องสุนทรภู่ว่า ท่านเป็นนักท่องเที่ยวรุ่นบุกเบิกของเมืองไทยโดยแท้ เพราะนิราศต่างๆ ที่ท่านเขียนไว้คือสารคดีท่องเที่ยวดีๆ นี่เอง แต่เป็นการเขียนแบบร้อยกรอง ผมอ่านผลงานนิราศของสุนทรภู่แล้วก็รักท่านแต่นั้นมา มันนานมาแล้ว...นานกว่า 30 ปี(สมัยที่ อ.ปราโมทย์ ได้ศึกษางานของสุนทรภู่)

แม้กระทั่งทุกวันนี้(ช่วงที่ปราโมทย์ยังมีชีวิตอยู่) ผมก็ยังรักยังชอบนิราศสุนทรภู่อยู่ไม่เสื่อมคลาย ผมเชื่อว่าท่านเป็นครูคนหนึ่งในการเขียนสารคดีท่องเที่ยว”

โดยหากใครเคยได้อ่านผลงานนิราศของสุนทรภู่ก็คงจะเคยเห็น และเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวและภาพต่างๆ ที่บรรยายไว้ในนิราศมาแล้ว เช่น ตอนหนึ่งจากนิราศเมืองแกลง นิราศเรื่องแรกของสุนทรภู่ ที่กล่าวบรรยายถึง “ห้วยโป่ง” หรือบ้านห้วยโป่ง ปัจจุบันอยู่ในอำเภอเมืองระยองไว้ว่า

“...ถึงห้วยโป่งเห็นธารละหานไหล
คงคาใสปลาว่ายคล้ายคล้ายเห็น
มีกรวดแก้วแพรวพรายรายกระเด็น
บ้างแลเห็นเป็นสีบุษราคัม...”

หรือจะเป็นนิราศเมืองเพชรในตอนหนึ่งว่า

“...ข้างฝั่งซ้ายชายทะเลเป็นลมคลื่น
นภางค์พื้นเผือดแดงดังแสงเสน
แม่น้ำกว้างว้างเวิ้งเป็นเชิงเลน
ลำพูเอนอ่อนทอดยอดระย้า...”

นั่นล้วนแต่บรรยายสภาพบรรยากาศของแต่ละเมืองแต่ละแห่งที่สุนทรภู่ผ่านไปได้เป็นอย่างดี

ในขณะที่อาจารย์ “เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์” ศิลปินแห่งชาติ ได้เคยกล่าวถึงบรมครูกวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในแง่ของการเป็นนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวว่า

“ถ้ากล่าวอย่างนั้นก็ถูกต้อง แต่ในรูปแบบการเขียนของท่านคือเขียนเป็นกลอน เป็นนิราศ เนื้อหานั้นก็แน่นอนว่าเท่ากับเป็นการเปิดโลกของการไปเห็นอะไรที่มันกว้างไปจากที่คนอื่นเขาเขียนกันอยู่ ไม่ใช่เฉพาะในจินตนาการเท่านั้น แต่ได้ไปเห็นสถานที่ต่างๆ จริงๆ”

อาจเป็นเพราะท่านสุนทรภู่ได้มีโอกาสได้เดินทางไปยังที่ต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง จึงมีโอกาสได้เห็นสิ่งต่างๆ มากกว่าคนอื่น แต่สิ่งที่เหนือยิ่งกว่านั้น อาจารย์เนาวรัตน์กล่าวว่า

“คนอื่นก็อาจจะมีโอกาสไปท่องเที่ยวอย่างท่าน เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้เขียนออกมา แต่สุนทรภู่ท่านมีวรรณกรรมเป็นชีวิต เป็นทางเดินของท่าน ไม่ว่าไปไหนก็จะเขียนเป็นเรื่องราวออกมา มันก็เลยเป็นความสมบูรณ์ และตรงนี้ถือเป็นประโยชน์กับคนอื่นต่อมาด้วย” อาจารย์เนาวรัตน์กล่าว

แต่เนื่องจากการแต่งเรื่องราวของสุนทรภู่เป็นแบบนิราศ โคลง กลอน ไม่ได้เป็นร้อยแก้วเหมือนอย่างในสมัยนี้ ไม่แน่ว่าคนอ่านอาจจะไม่ได้อรรถรสในการอ่านหรือไม่ ในจุดนี้อาจารย์เนาวรัตน์มองว่า

“ร้อยกรองจะให้ภาพมากกว่าร้อยแก้ว เพราะถ้อยคำ สำนวนโวหารมันเปิดโลกของจินตนาการในใจคนมากกว่าร้อยแก้ว ความไพเราะ ความสละสลวยและโวหารในการใช้คำในกาพย์กลอนหรือกวีนิพนธ์นั้น คือการใช้คำที่จำกัดเพื่อมาถ่ายทอดจินตนาการอันไม่จำกัด นี่คือคุณวิเศษของร้อยกรองหรือบทกวี ซึ่งแม้กระทั่งปัจจุบัน กลอนของท่านก็ยังเดินทางอยู่ในใจคนได้”

นอกจากนั้น อาจารย์เนาวรัตน์ยังกล่าวอีกว่า คนอ่านกลอนของสุนทรภู่นั้น นอกจากจะได้สุนทรียรส หรือความไพเราะของถ้อยคำราวกับเสียงดนตรีของท่านแล้ว ผลงานของสุนทรภู่ก็ยังถือเป็นสื่อของการเรียนรู้ได้ดีทั้งในเรื่องของวิชาการ ประวัติศาสตร์ และทางวรรณกรรมได้อีกด้วย

เช่นเดียวกับความคิดเห็นของ “เจนจบ ยิ่งสุมล” นักเขียนสารคดี ที่มีความสนใจในประวัติและผลงานของท่านสุนทรภู่มาหลายสิบปี ผู้สร้างสรรค์หนังสือสารคดีเรื่อง “ตามรอยสุนทรภู่” หนังสือที่ได้รับรางวัลสารคดียอดเยี่ยมสำหรับเยาวชน ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ.2536 ซึ่งมีความเห็นตรงกันกับการกล่าวเรียกสุนทรภู่ว่าเป็นนักเขียนสารคดีท่องเที่ยว โดยเจนจบกล่าวว่า

“ความแตกต่างระหว่างการเขียนเรื่องราวออกมาเป็นร้อยกรอง หรือร้อยแก้วนั้น จริงๆ แล้วก็ไม่ต่างกัน จะต่างก็แค่ในเรื่องความนิยมของคนอ่านแต่ละยุคสมัยเท่านั้นเอง สุนทรภู่ท่านพบอะไรมาท่านก็บรรยาย ทั้งสถานที่ ทั้งคน สัตว์ต่างๆ ท่านก็จะเอามาโยงกับความคิดของท่าน อกหัก ผิดหวัง ดีใจ เสียใจ แต่เรื่องความลึกซึ้งกินใจก็ต้องแล้วแต่คนอ่าน แต่สิ่งที่ได้จากการอ่านนั้นก็สามารถทำให้เห็นสภาพบรรยากาศของสถานที่ต่างๆ เมื่อเกือบ 200 ปี ก่อนที่สุนทรภู่เดินทางผ่านไป ซึ่งหลายสถานที่ก็ยังคงอยู่ตอนนี้ ก็เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ได้ด้วย”

เมื่อถามว่านิราศเรื่องไหนที่คิดว่าเป็นนิราศที่ดีที่สุดมีการบรรยายเห็นภาพที่สุด เจนจบกล่าวว่า “นักภาษาศาสตร์ นักวรรณคดีหลายๆ คนยกให้นิราศเมืองเพชรกับนิราศภูเขาทองเป็นนิราศที่ดีที่สุด โดยส่วนตัวก็คิดเช่นนั้น เพราะทั้งสองเรื่องนี้มีการดำเนินเรื่องได้ดี ใช้ภาษาสละสลวย และมีการเปรียบเทียบได้เห็นภาพพจน์” เจนจบ กล่าว

นับได้ว่าสุนทรภู่ท่านเป็นยอดนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวผู้มาก่อนกาล เป็นผู้บุกเบิกงานสารคดีท่องเที่ยวยุคแรกๆ ผ่านการใช้ภาษาอันสละสลวย เห็นภาพ และเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ ที่ยังคงความเป็นอมตะ และนับเป็นหนึ่งในอิทธิพลสำคัญต่อนักเขียนสารคดีร่วมสมัยหลายๆคน (ย้ำว่า“นักเขียน” ที่เป็น“นักเขียน”ไม่ใช่คนที่แอบอ้างว่าตัวเองเป็น“นักเขียน”)

ผลงานของสุนทรภู่ แม้จะผ่านกาลเวลามายาวนานนับร้อยปี แต่ว่าก็ยังคงความเป็นอมตะมาจนถึงทุกวันนี้

**************************************
พระสุนทรโวหาร หรือที่เรียกกันติดปากว่า "สุนทรภู่" มีนามเดิมว่า "ภู่" เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2329 ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

สุนทรภู่ได้เล่าเรียนวิชาหนังสือในสำนักวัดชีปะขาว ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า วัดศรีสุดาราม ในคลองบางกอกน้อย ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นเสมียน ในกรมพระคลังสวน แต่ไม่ชอบทำงานอื่นนอกจากแต่งบทกลอน ซึ่งสามารถแต่งได้ดี ตั้งแต่ยังรุ่นหนุ่ม

บทกลอนของสุนทรภู่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น นิราศเมืองแกลง นิราศพระบาท นิราศภูเขาทอง นิราศเมืองเพชร สุภาษิตสอนหญิง นิทานคำกลอน เช่น พระอภัยมณี โคบุตร และอีกมากมายหลายเรื่องด้วยกัน จนสุนทรภู่ได้รับยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นกวีดีเด่นของโลก ในวาระครอบรอบวันเกิด 200 ปีของท่านเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2529

หมายเหตุ : ภาพสุนทรภู่ประกอบบทความ เป็นภาพที่อนุสาวรีย์สุนทรภู่ อ.แกลง จ.ระยอง
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น