ฉันได้ยินคำขวัญของเขตจอมทองที่ว่า “หลวงปู่เฒ่าวัดหนัง ตลาดดังวัดไทร หวานชื่นใจส้มบางมด ราชโอรสวัดงาม” แล้วรู้สึกสะดุดหูกับท่อน “ราชโอรสวัดงาม...” ขึ้นมา เลยนึกอยากลองไปยลโฉมวัดงามของเขตจอมทองด้วยตาของตัวเอง
”วัดราชโอรสาราม ราชวรวิหาร" ตั้งอยู่ริมคลองสนามไชย ฝั่งตะวันตก (ฝั่งธนบุรี) และติดคลองบางหว้า ทางด้านทิศเหนือของวัด ตั้งอยู่ที่เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร ถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 3 สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมมีชื่อว่า "วัดจอมทอง" ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 2 ของกรุงรัตนโกสินทร์ ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระองค์ได้ทรงเป็นแม่ทัพคุมทหารไปสกัดทัพพม่าที่เมืองกาญจนบุรีโดยทางเรือ
เส้นทางเดินทัพในวันแรกนั้นเสด็จผ่านคลองบางกอกใหญ่ และคลองด่าน และทัพของพระองค์ได้หยุดประทับแรมที่หน้าวัดจอมทอง และได้ทรงประกอบพิธีเบิกโขลนทวารตามตำราพิชัยสงคราม เจ้าอาวาสวัดจอมทองในขณะนั้นได้ถวายคำพยากรณ์แด่พระองค์ว่ากิจของพระองค์นั้นจะประสบความสำเร็จและจะเสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ พระองค์จึงตรัสว่า หากเป็นเช่นนั้นจริงจะกลับมาสร้างวัดถวายให้ใหม่
ดังนั้นหลังจากเลิกทัพเสด็จกลับมาพระนครโดยปลอดภัยแล้ว พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ปฏิสังขรณ์วัดนี้ขึ้นใหม่ทั้งวัดตามที่ตรัสไว้ และต่อมาเมื่อปฏิสังขรณ์วัดเสร็จพระองค์ก็ได้น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวงแด่พระราชบิดา รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดให้ใหม่ว่า “วัดราชโอรส” อย่างในปัจจุบัน ซึ่งหมายถึง "วัดที่พระราชโอรสทรงสถาปนา" นั่นเอง
จะเห็นได้ว่าหลายๆ วัดในกรุงเทพฯ ที่มีส่วนผสมของความเป็นศิลปะจีนสอดแทรกอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวัดกัลยาณมิตร วัดเทพธิดาราม วัดพิชัยญาติ ฯลฯ ซึ่งรูปแบบของวัดที่เป็นเช่นนี้ถือเป็น "พระราชนิยม" ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ที่ทรงโปรดสไตล์แบบจีนและนิยมนำมาผสมผสานกับวัดไทยเสมอๆ ดังนั้นหากเห็นวัดที่มีกลิ่นอายแบบจีนๆ เมื่อไร ก็เชื่อได้เลยว่าย่อมต้องเกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่งกับรัชกาลที่ 3 แน่นอน
"วัดราชโอรสาราม ราชวรวิหาร" แห่งนี้ถือเป็นต้นแบบของวัดไทยสไตล์จีน รัชกาลที่ 3 ทรงนำเอาศิลปะแบบจีนมาประยุกต์ให้เข้ากับวัดไทย โดยพระอุโบสถและพระวิหารต่างๆ จะไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่าชำรุดเสียหายได้ง่ายและเปลืองเวลาในการทำ หน้าบันจึงเป็นแบบเรียบๆ มีการประดับหน้าบันด้วยกระเบื้องเคลือบเป็นลวดลายดอกไม้ หรือสัตว์ต่างๆ เช่นหงส์ หรือมังกรตามแบบจีน สถาปัตยกรรมเช่นนี้ถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของที่วัดเลย
คราวนี้มาชมสิ่งต่างๆ ภายในวัดกันดีกว่า เริ่มต้นกันที่ “พระอุโบสถ” ซึ่งตั้งหันหน้าไปทางคลองด่าน มองเห็นการผสมผสานระหว่างศิลปะจีนและไทยได้ตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าสู่ตัวพระอุโบสถซึ่งเป็นซุ้มประตูแบบจีน มีสิงโตหินยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าทางเข้าทั้งสองด้าน ลอดซุ้มประตูเข้าไปมองเห็นหน้าบันของพระอุโบสถเป็นลักษณะตามแบบพระราชนิยม ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบเป็นรูปแจกันดอกเบญจมาศ ล้อมรอบด้วยมังกร หงส์ และนกยูง ซึ่งเป็นสัตว์มงคลของจีน
และพอเดินเข้าไปถึงประตูพระอุโบสถก็ต้องตกใจเมื่อเจอ "ทวารบาล" หน้าตาถมึงทึงยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูที่ประดับมุกเป็นลวดลายมังกรดั้นเมฆ ส่วนทวารบาลนั้นทำด้วยกระเบื้องเคลือบขนาดใหญ่กว่าคนจริง ดูน่าเกรงขามไม่น้อยพอเข้ามาภายในพระอุโบสถก็ยังมีกลิ่นอายของความเป็นจีนอยู่ตรงภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่เขียนเป็นลายเครื่องบูชาและสิ่งมงคลแบบจีน
ส่วนพระประธานในอุโบสถนั้นยังคงเป็นพระพุทธรูปแบบไทยแท้ปางสมาธิ มีพระนามว่า "พระพุทธอนันตคุณอดุลญาณบพิตร" ซึ่งที่ใต้ฐานพระพุทธรูปก็มีพระบรมราชสรีรังคารของรัชกาลที่ 3 บรรจุไว้ด้วย และในบริเวณด้านข้างพระอุโบสถนั้นมี “พระแท่นที่ประทับ” อยู่ใต้ต้นพิกุล ซึ่งพระองค์ใช้เป็นที่ประทับเมื่อเสด็จมาทรงคุมงานและตรวจการก่อสร้างนั่นเอง
จากพระอุโบสถ คราวนี้ไปดูพระวิหารต่างๆ ของวัดกันต่อ ซึ่งความน่าสนใจก็คือที่วัดราชโอรสฯ นี้มีทั้งพระวิหารพระนั่ง พระวิหารพระนอน และพระวิหารพระยืน ครบทั้งสามอิริยาบถเลยทีเดียว สำหรับ “พระวิหารพระนอน” หรือ “พระวิหารพระพุทธไสยาสน์” นั้น ตั้งอยู่ด้านหลังพระอุโบสถ ตัววิหารมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบจีนเช่นเดียวกัน ประตูทางเข้าสู่พระวิหารนั้นเป็นประตูกลมแบบจีน เชื่อกันว่าจะนำสิ่งดีงามให้แก่ผู้ที่ผ่านประตูนี้เข้ามา
สำหรับพระประธานในพระวิหารนั้นก็คือ "พระพุทธไสยาสน์นารถชนินทร์ ชินศากยบรมสมเด็จ สรรเพชญพุทธบพิตร" วัดความยาวจากพระบาทถึงเปลวพระรัศมีได้ 20 เมตร สูง 6 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นพระนอนที่องค์ใหญ่ไม่น้อย นอกจากนั้นบริเวณรอบลานพระวิหารก็ยังมีหมู่พระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองประดิษฐานอยู่ 32 องค์ด้วยกัน และที่ผนังด้านนอกพระระเบียงของพระวิหารพระนอนก็ยังมีแผ่นหินอ่อนจารึกตำรายาแผนโบราณและตำราหมอนวด ติดไว้รอบพระระเบียงทั้งสี่ด้าน จำนวน 92 แผ่น คล้ายกับที่วัดโพธิ์
ส่วน “พระวิหารพระยืน” นั้น ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของพระอุโบสถ เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนอีกเช่นเคย ภายในพระวิหารหลังนี้แบ่งออกเป็นสองห้องคือห้องตอนหน้าและตอนหลัง ตอนหน้านั้นประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ ส่วนตอนหลังเป็นที่ประดิษฐานหมู่พระพุทธรูปหลายปางหลายขนาด มีพระประธานองค์ใหญ่เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะแบบอยุธยา
สำหรับพระวิหารหลังนี้สันนิษฐานว่าเคยเป็นพระอุโบสถเก่าของวัดมาก่อน ส่วนพระพุทธรูปยืนนั้นก็คงจะเป็นพระประธานในพระอุโบสถหลังเดิมด้วยเช่นกัน ด้านหน้าพระวิหารมีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสององค์ใหญ่ ซึ่งเป็นเจดีย์ที่บรรจุอัฐิของราชสกุลลดาวัลย์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าลดาวัลย์ กรมหมื่นภูมินทรภักดี (พระองค์เจ้าชายลดาวัลย์) พระราชโอรสในรัชกาลที่ 3 นั่นเอง
มาถึง “พระวิหารพระนั่ง” หรือ “ศาลาการเปรียญ” ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านขวาของพระอุโบสถ เป็นอาคารที่มีลักษณะผสมทางศิลปกรรมระหว่างไทยและจีนเช่นเดียวกัน บริเวณด้านหน้าพระวิหารก็จะมี "ถะ" หรือเจดีย์หินแบบจีนองค์เล็กๆ ตั้งอยู่ ซึ่งเป็นที่บรรจุอัฐิของอดีตเจ้าอาวาสวัดราชโอรสฯ สำหรับพระประธานในพระวิหารนี้เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางประทานพระธรรมเทศนา ถือตาลปัตร ดังนั้นหากนั่งกราบพระพุทธรูปทางด้านหน้าก็จะมองไม่เห็นพระพักตร์ของพระพุทธรูป หากอยากมองหน้าท่านก็ต้องเขยิบมาข้างๆ จึงจะเห็น นอกจากนั้นภายในพระวิหารยังมี "รอยพระพุทธบาทจำลอง" ประดิษฐานไว้ให้สักการะอีกด้วย
บริเวณริมคลองด่านยังมีศาลาให้นั่งพักผ่อนริมน้ำ และยังเป็นจุดให้อาหารปลาอีกด้วย ด้วยศิลปกรรมที่งดงามแปลกตา แต่ก็ยังคงครบถ้วนด้วยความเป็นวัดแห่งพระพุทธศาสนา ก็ทำให้วัดนี้เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เป็นที่น่าภูมิใจของชาวจอมทอง

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ 258 ซอยเอกชัย 4 ถนนเอกชัย แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กรุงเทพฯ 10150 มีรถประจำทางสาย 43, 120, 167 ผ่าน สอบถามรายละเอียดโทร.0-2415-2286, 0-2893-7274
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com