โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
ผมรู้จัก“จักรยาน”มาตั้งแต่เด็ก...รู้ว่า มันมี 2 ล้อ 2 แฮนด์ เคลื่อนที่ด้วยการ“ปั่น”หรือ“ถีบ”
ผม“ปั่นจักรยาน”มาตั้งแต่เด็ก...มาวันนี้ก็ยัง(พอ)มีโอกาสได้ปั่นจักรยานอยู่บ้าง ปั่นไปปากซอย ปั่นไปซื้อของ ปั่นไปซื้อเหล้าเบียร์ ปั่นเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยว ปั่นตะมุตะมิให้สาวนั่งซ้อนท้าย เป็นต้น
แต่สำหรับทริปนี้ ผมได้รู้จักจักรยานลึกซึ้งยิ่งขึ้น รู้จักการปั่นจักรยานลึกซึ้งมากขึ้น
และนั่นมันทำให้ผมได้รู้จักกับ“ใจ”ของตัวเองอย่างลึกซึ้งมากขึ้น เช่นเดียวกัน...
อิวาเตะ
หลังพี่ๆจากบริษัท“Octo Cycling” ชวนไปปั่นจักรยานพิชิตยอดเขาในต่างแดน แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นหวั่นไหว เพราะตัวเองไม่ใช่นักปั่นจักรยาน ไม่แม้กระทั่งจะเฉียดกับคำว่านักปั่นมือสมัครเล่น, เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะปั่นไหวหรือเปล่า ปั่นไปแล้วจะโดนตะขาบตะคริวกินตอนไหน ,เพราะไม่รู้ว่าหนทางมันลำบากหนักหนาสาหัสสักเพียงไหน มีอะไรรออยู่เบื้องหน้าบ้าง
แต่สุดท้ายผมก็ตอบรับไปอย่างยินดี เนื่องจากเป็นคนที่ไม่ปฏิเสธการปั่นจักรยาน และเป็นคนที่ไม่ปฏิเสธการเปิดประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆ ซึ่งหลายๆครั้งของการเดินทาง
...“ครั้งหนึ่งในชีวิต” มันคือความทรงจำที่ยังคงติดแน่นตราตรึงไปตราบนานเท่านาน...
ดังเช่นครั้งนี้กับทริปปั่นจักรยานเที่ยวจังหวัด“อิวาเตะ”ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีไฮไลท์สำคัญคือการปั่นจักรยานไปตามเส้นทาง“กำแพงหิมะ”(Snow Wall) เพื่อขึ้นไปพิชิตยอดเขา“ฮะจิมันไต”(ฮาชิมันไต) บนระดับความสูงกว่า 1,600 เมตร ที่เป็นอีกหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อของญี่ปุ่น รอคอยให้เราเดินทางไปสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติกัน
อิวาเตะ(Iwate)เป็นจังหวัดใหญ่ในภูมิภาคโทโฮคุ(Tohoku) หรือภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวมุมมองใหม่ในญี่ปุ่นที่ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายสำหรับคนไทย
จังหวัดอิวาเตะอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความเป็นชนบทอันสงบงาม โดดเด่นไปด้วยวิวทิวทัศน์ของขุนเขา ท้องทุ่ง โดยเฉพาะกับ“ภูเขาอิวาเตะ” หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า“อิวาเตะซัง” ที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นดังสัญลักษณ์เคียงคู่จังหวัดนี้
จังหวัดอิวาเตะมีเมือง“โมริโอกะ”(Morioka)เป็นเมืองเอก ตั้งอยู่ทางตอนกลางของจังหวัด ตัวเมืองล้อมรอบด้วยภูเขาทั้ง 3 ด้าน ในวันที่ฟ้าเป็นใจสามารถมองเห็นภูเขาอิวาเตะได้อย่างชัดเจน
เมืองโมริโอกะถือเป็นจุดตั้งต้นสำคัญในการเดินทางเชื่อมต่อไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ภายในจังหวัดอิวาเตะของเราในทริปนี้
โดยหลังบินลัดฟ้าจากเมืองไทยมาลงยังสนามบินฮาเนดะ กรุงโตเกียว ในช่วงเช้าตรู่ของวัน คณะนักปั่นจากเมืองไทยที่มีทั้งหมด 13 ชีวิต(รวมทั้งผมด้วย) ได้เดินทางต่อด้วยรถไฟชินคันเซ็นสายโทโฮคุ จากโตเกียวขึ้นเหนือไปลงยังสถานีโมริโอกะ เพื่อพบกับคุณ“วากะ”(Wakako Sakuraba) พนักงานสาวผู้น่ารักจาก “การท่องเที่ยวจังหวัดอิวาเตะ”(Iwate Tourism)หนึ่งในเจ้าภาพหลักที่จะมาพาพวกเราเที่ยวไปตลอดทั้งทริป
เกบิเก
สำหรับโปรแกรมวันแรกนี้ ไม่มีปั่น แต่จะอุ่นเครื่องด้วยการนั่งเรือเที่ยว“แก่งเกบิเค”(Geibikei)หรือ “หุบเขาเกบิเก”(เกบิเค) ที่เป็นหนึ่งในร้อยสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำของญี่ปุ่น
เกบิเก หมายถึง “จมูกสิงโต” หรือ “จมูกราชสีห์” เป็นหุบเขาผาหินรูปร่างแปลกตาที่เกิดจากธรรมชาติสรรค์สร้าง มีธารน้ำใสเย็นไหลผ่านระหว่างช่องเขา ท่ามกลางธรรมชาติของผืนป่าที่ใบไม้จะเปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล พร้อมทั้งยังมีดอกไม้ต่างๆ นก อีกา เป็ด และปลาหลากหลายที่มาแหวกว่ายอยู่ในลำธารใสแจ๋ว
ที่นี่จะมีกิจกรรมล่องเรือชมความงามของธรรมชาติ ในระยะทางประมาณ 1 กม.กว่าๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งวันนี้คณะเรามีชุดเบนโตะ มื้อบ่ายไปนั่งกินกันในเรือด้วย โดยคุณลุงกัปตันเรือจะถ่อเรือล่องชมทิวทัศน์ของเกบิเกไปในลำธารตื้นๆ
ระหว่างทางจะผ่านช่องแคบผาหินที่วิวทิวทัศน์จะเปลี่ยนรูปร่างรูปทรงไปตามมุมมอง ซึ่งคนญี่ปุ่นได้จินตนาการตั้งชื่อหุบเขาผาหินในระหว่างทางออกไปต่างๆกัน ไม่ว่าจะเป็น “เคียวเมกัน”-หินกระจกที่ผืนแผ่นน้ำมีความใสแจ๋วดุจดังกระจก, “โซฟุกัน-โซวฟุกัน”-หิน 2 ก้อนที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกันจนได้รับการเรียกขานว่าเป็น “หินสามี-ภรรยา”
อีกทั้งยังมี “หินอะมะโยะเกะ”-หินหลบฝน ที่มีลักษณะเป็นเพิงผาหินเอียงยื่นออกไปในธารน้ำคล้ายกันสาด เวลาฝนตกเป็นที่หลบฝนของชาวเรือ, “เซนไทกัน”-มีลักษณะเป็นหน้าผาหินมีรอยแยกเป็นเส้นเฉียงๆเหมือนเข็มขัดเอียงๆจนได้ชื่อว่าหินเข็มขัดเอียง และ “ซิซิงะฮานะ” - หินขนาดใหญ่ที่มีบางมุมดูคล้ายจมูกสิงโต ที่ถือเป็นอีกหนึ่งดาวเด่นของสถานที่แห่งนี้
นอกจากนี้ในเส้นทางล่องเรือเที่ยวยังมีการแวะจอดให้โยนเหรียญอธิษฐาน เขวี้ยงหินแฉลบน้ำขอโชคลาภ เดินชมวิวทิวทัศน์ข้ามสะพานไปแขวนป้ายอธิษฐาน และทำบุญเพื่อนำหินมาขว้างเสี่ยงโชคให้เข้าไปในช่องเล็กๆริมหน้าผา ถ้าใครสามารถขว้างหินเข้าไปได้ก็(เชื่อว่า)จะประสบโชคดีมีชัย ซึ่งผมว่ามันยากกว่าการปั่นจักรยานขึ้นภูเขาเสียอีก
วัดจูซงจิ
จากหุบเขาเกบิเก คณะเรามุ่งหน้าต่อไปยัง “วัดจูซงจิ”(Chuson-Ji Temple)หรือ“วัดซูซนจิ”(วัดซูซอนจิ) ที่ตั้งอยู่ที่โคโรโมะโนะเซกิ เมืองฮิราอิซึมิ(ฮิราอิซุมิ) จังหวัดอิวาเตะ
วัดจูซงจิ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 850 เพื่ออุทิศแก่ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตในสงคราม โดยพระจิคาคุไดชิเอ็นนิน ฟูจิวาระ คิโยฮาระ ต้นตระกูลฟูจิวาระแห่งโอชู รวมถึงเพื่อเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาในต้นศตวรรษที่ 12
ทว่าในช่วงศตวรรษที่ 14 วัดวาอารามต่างๆในญี่ปุ่นได้ถูกเผาทำลายลงไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงวัดจูซงจิที่ถูกเผาทำลายเหลือเพียงสิ่งก่อสร้างบางส่วนเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทางยูเนสโกได้ยกให้วัดจูซงจิเป็นหนึ่งในมรดกโลกทางวัฒนธรรมของเมืองฮิราอิซึมิในปี ค.ศ. 2011
ปัจจุบันวัดจูซงจิเป็นหนึ่งในวัดน่าเที่ยวอันดับต้นๆของญี่ปุ่น ภายในวัดแห่งนี้มีสิ่งน่าสนใจให้เที่ยวชมกันหลากหลาย ไล่ไปตั้งแต่ทางเดินจากที่จอดรถซึ่งในช่วงที่ผมไป ดอกซากุระยังไม่ร่วงโรย เราจึงได้เห็นซากุระต้นเตี้ยๆออกดอกสีชมพูสะพรั่งประดับไปในเส้นทางเดินช่วงหนึ่ง นำเข้าสู่ภายในบริเวณวัดที่ร่มรื่นเขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ โดยเฉพาะสนโบราณต้นสูงใหญ่ที่มีปลูกตั้งแต่ปากทางเข้าวัดไปจนถึงภายในบริเวณตัววัด
สำหรับสิ่งน่าสนใจชวนเที่ยวชมภายในวัดแห่งนี้นำโดยไฮไลท์คือ “วิหารสีทอง” กับงานสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1124(ปีเท็นจิที่ 1) นับเป็นอาคารหนึ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระอมิตาภะพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์พระมหาสถามปราบต์โพธิ์สัตว์ประดิษฐานอยู่เคียงข้าง
ตัววิหารปิดทองทั้งหลังเหลืองอร่าม มีการประดับลวดลายอันวิจิตรสวยงามตามจุดต่างๆ ลวดลายประดับมุกที่เสาทั้ง 4 ลวดลายประดับนกยูงประติมากรรมนูนสูงที่ฐานของแท่นบูชาเป็นต้น(แต่ว่าภายในนี้ห้ามถ่ายรูป ผมจึงนำภาพประกอบจากโบชัวร์(ภาษาไทย)เที่ยววัดจูซงจิมาให้ชมกัน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น)
นอกจากวิหารสีทองแล้ว วัดแห่งนี้ก็ยังมี “พระอุโบสถ” ศูนย์กลางของวัด ภายในมีพระศากยมุนีพุทธเจ้าเป็นองค์พระประธาน, “พิพิธภัณฑ์” หรือ “หอเก็บสมบัติ” ที่มากไปด้วยโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุทรงคุณค่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปต่างๆ เครื่องสักการะ พระสูตร ภาพเขียน ตลอดจนสมบัติของตระกูลฟูจิวาระ เป็นต้น และ “หอธรรม” ที่ตั้งอยู่ด้านข้างของวิหารสีทอง เป็นที่เก็บรักษา “พระสูตรแห่งวัดจูซงจิ” มีองค์พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายใน ท่ามกลางบรรยากาศแวดล้อมของหอธรรมอันร่มรื่นสงบร่มเย็น โดยเฉพาะกับเหล่าต้นเมเปิ้ลที่ในฤดูใบไม้ร่วงจะพร้อมใจกันเปลี่ยนใบเป็นสีแดงสดใสดูสวยงามยิ่งนัก
และนี่ก็คือเสน่ห์แห่งแดนธรรมะนามวัดจูซงจิ ซึ่งทั้งแก่งเกบิเคและวัดจูซงจิ วันนี้ต่างก็มีโบชัวร์ภาษาไทยไว้คอยบริการด้านข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวชาวไทย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความพร้อมในการเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่คาดว่าต่อไปจะเดินทางไปเมืองอิวาเตะมากยิ่งขึ้น
ก้าวแรก
หลังเที่ยวชมสิ่งน่าสนใจ 2 แห่งดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เย็นวันนั้นเราเดินทางด้วยรถบัสกลับเข้าสู่ตัวเมืองโมริโอกะอีกครั้ง เพื่อเข้าที่พักในโรงแรมย่านใจกลางเมืองโมริโอกะ ก่อนจะออกไปรับประทานอาหารค่ำเติมพลัง แล้วกลับมาโรงแรมจัดเตรียมอุปกรณ์ ประกอบจักรยาน และเตรียมความพร้อมต่างๆ เพื่อที่จะควบเจ้าสองล้อไปตะลุยปั่นใจวันรุ่งขึ้น
ซึ่งนี่ถือเป็นประสบการณ์ของการปั่นจักรยาน Touring แบบ Full Load ครั้งแรกในชีวิตของผม กับการปั่นจักรยานท่องเที่ยวทางไกลที่ต้องขนสัมภาระ(หนักๆ)บรรทุกขึ้นจักรยานไปเอง ที่มีทั้งการปั่นข้ามเมือง ข้ามเขา บางช่วงต้องขึ้นเขาสูงชันเพื่อไต่ขึ้นไปพิชิตยอดเขาสูงมีหิมะปกคลุม ท่ามกลางสภาพอากาศอันหนาวเหน็บเสียดแทงกระดูก
สำหรับเส้นทางและสภาพการณ์ในอีก 3 วัน 2 คืน ข้างหน้า กับระยะทางรวมกว่า 180 กม. จะเป็นเช่นใดนั้น ผมมิอาจรู้ได้?!?
รู้แต่ว่า ประสบการณ์“ครั้งแรกในชีวิต”ครั้งนี้ มันเป็นดังก้าวแรก เพื่อให้เรามีก้าวที่สอง ก้าวที่สาม
และก้าวที่กล้าต่อๆไป...(อ่านต่อตอนหน้า)
******************************************
Octo Cycling เป็นบริษัทที่มุ่งเชิญชวนผู้ชื่นชอบการปั่นจักรยานออกไปผจญโลกกว้างด้วยการปั่นจักรยานท่องเที่ยวสัมผัสกับสถานที่ต่างๆ ทั้งใน กทม. ในเมืองไทย อาเซียน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เอเชีย และยุโรป เป็นต้น ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2181-2088 หรือที่ www. Octocycling.com หรือ www.facebook.com/octocycling
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com
ผมรู้จัก“จักรยาน”มาตั้งแต่เด็ก...รู้ว่า มันมี 2 ล้อ 2 แฮนด์ เคลื่อนที่ด้วยการ“ปั่น”หรือ“ถีบ”
ผม“ปั่นจักรยาน”มาตั้งแต่เด็ก...มาวันนี้ก็ยัง(พอ)มีโอกาสได้ปั่นจักรยานอยู่บ้าง ปั่นไปปากซอย ปั่นไปซื้อของ ปั่นไปซื้อเหล้าเบียร์ ปั่นเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยว ปั่นตะมุตะมิให้สาวนั่งซ้อนท้าย เป็นต้น
แต่สำหรับทริปนี้ ผมได้รู้จักจักรยานลึกซึ้งยิ่งขึ้น รู้จักการปั่นจักรยานลึกซึ้งมากขึ้น
และนั่นมันทำให้ผมได้รู้จักกับ“ใจ”ของตัวเองอย่างลึกซึ้งมากขึ้น เช่นเดียวกัน...
อิวาเตะ
หลังพี่ๆจากบริษัท“Octo Cycling” ชวนไปปั่นจักรยานพิชิตยอดเขาในต่างแดน แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นหวั่นไหว เพราะตัวเองไม่ใช่นักปั่นจักรยาน ไม่แม้กระทั่งจะเฉียดกับคำว่านักปั่นมือสมัครเล่น, เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะปั่นไหวหรือเปล่า ปั่นไปแล้วจะโดนตะขาบตะคริวกินตอนไหน ,เพราะไม่รู้ว่าหนทางมันลำบากหนักหนาสาหัสสักเพียงไหน มีอะไรรออยู่เบื้องหน้าบ้าง
แต่สุดท้ายผมก็ตอบรับไปอย่างยินดี เนื่องจากเป็นคนที่ไม่ปฏิเสธการปั่นจักรยาน และเป็นคนที่ไม่ปฏิเสธการเปิดประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆ ซึ่งหลายๆครั้งของการเดินทาง
...“ครั้งหนึ่งในชีวิต” มันคือความทรงจำที่ยังคงติดแน่นตราตรึงไปตราบนานเท่านาน...
ดังเช่นครั้งนี้กับทริปปั่นจักรยานเที่ยวจังหวัด“อิวาเตะ”ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีไฮไลท์สำคัญคือการปั่นจักรยานไปตามเส้นทาง“กำแพงหิมะ”(Snow Wall) เพื่อขึ้นไปพิชิตยอดเขา“ฮะจิมันไต”(ฮาชิมันไต) บนระดับความสูงกว่า 1,600 เมตร ที่เป็นอีกหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อของญี่ปุ่น รอคอยให้เราเดินทางไปสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติกัน
อิวาเตะ(Iwate)เป็นจังหวัดใหญ่ในภูมิภาคโทโฮคุ(Tohoku) หรือภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวมุมมองใหม่ในญี่ปุ่นที่ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายสำหรับคนไทย
จังหวัดอิวาเตะอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความเป็นชนบทอันสงบงาม โดดเด่นไปด้วยวิวทิวทัศน์ของขุนเขา ท้องทุ่ง โดยเฉพาะกับ“ภูเขาอิวาเตะ” หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า“อิวาเตะซัง” ที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นดังสัญลักษณ์เคียงคู่จังหวัดนี้
จังหวัดอิวาเตะมีเมือง“โมริโอกะ”(Morioka)เป็นเมืองเอก ตั้งอยู่ทางตอนกลางของจังหวัด ตัวเมืองล้อมรอบด้วยภูเขาทั้ง 3 ด้าน ในวันที่ฟ้าเป็นใจสามารถมองเห็นภูเขาอิวาเตะได้อย่างชัดเจน
เมืองโมริโอกะถือเป็นจุดตั้งต้นสำคัญในการเดินทางเชื่อมต่อไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ภายในจังหวัดอิวาเตะของเราในทริปนี้
โดยหลังบินลัดฟ้าจากเมืองไทยมาลงยังสนามบินฮาเนดะ กรุงโตเกียว ในช่วงเช้าตรู่ของวัน คณะนักปั่นจากเมืองไทยที่มีทั้งหมด 13 ชีวิต(รวมทั้งผมด้วย) ได้เดินทางต่อด้วยรถไฟชินคันเซ็นสายโทโฮคุ จากโตเกียวขึ้นเหนือไปลงยังสถานีโมริโอกะ เพื่อพบกับคุณ“วากะ”(Wakako Sakuraba) พนักงานสาวผู้น่ารักจาก “การท่องเที่ยวจังหวัดอิวาเตะ”(Iwate Tourism)หนึ่งในเจ้าภาพหลักที่จะมาพาพวกเราเที่ยวไปตลอดทั้งทริป
เกบิเก
สำหรับโปรแกรมวันแรกนี้ ไม่มีปั่น แต่จะอุ่นเครื่องด้วยการนั่งเรือเที่ยว“แก่งเกบิเค”(Geibikei)หรือ “หุบเขาเกบิเก”(เกบิเค) ที่เป็นหนึ่งในร้อยสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำของญี่ปุ่น
เกบิเก หมายถึง “จมูกสิงโต” หรือ “จมูกราชสีห์” เป็นหุบเขาผาหินรูปร่างแปลกตาที่เกิดจากธรรมชาติสรรค์สร้าง มีธารน้ำใสเย็นไหลผ่านระหว่างช่องเขา ท่ามกลางธรรมชาติของผืนป่าที่ใบไม้จะเปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล พร้อมทั้งยังมีดอกไม้ต่างๆ นก อีกา เป็ด และปลาหลากหลายที่มาแหวกว่ายอยู่ในลำธารใสแจ๋ว
ที่นี่จะมีกิจกรรมล่องเรือชมความงามของธรรมชาติ ในระยะทางประมาณ 1 กม.กว่าๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งวันนี้คณะเรามีชุดเบนโตะ มื้อบ่ายไปนั่งกินกันในเรือด้วย โดยคุณลุงกัปตันเรือจะถ่อเรือล่องชมทิวทัศน์ของเกบิเกไปในลำธารตื้นๆ
ระหว่างทางจะผ่านช่องแคบผาหินที่วิวทิวทัศน์จะเปลี่ยนรูปร่างรูปทรงไปตามมุมมอง ซึ่งคนญี่ปุ่นได้จินตนาการตั้งชื่อหุบเขาผาหินในระหว่างทางออกไปต่างๆกัน ไม่ว่าจะเป็น “เคียวเมกัน”-หินกระจกที่ผืนแผ่นน้ำมีความใสแจ๋วดุจดังกระจก, “โซฟุกัน-โซวฟุกัน”-หิน 2 ก้อนที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกันจนได้รับการเรียกขานว่าเป็น “หินสามี-ภรรยา”
อีกทั้งยังมี “หินอะมะโยะเกะ”-หินหลบฝน ที่มีลักษณะเป็นเพิงผาหินเอียงยื่นออกไปในธารน้ำคล้ายกันสาด เวลาฝนตกเป็นที่หลบฝนของชาวเรือ, “เซนไทกัน”-มีลักษณะเป็นหน้าผาหินมีรอยแยกเป็นเส้นเฉียงๆเหมือนเข็มขัดเอียงๆจนได้ชื่อว่าหินเข็มขัดเอียง และ “ซิซิงะฮานะ” - หินขนาดใหญ่ที่มีบางมุมดูคล้ายจมูกสิงโต ที่ถือเป็นอีกหนึ่งดาวเด่นของสถานที่แห่งนี้
นอกจากนี้ในเส้นทางล่องเรือเที่ยวยังมีการแวะจอดให้โยนเหรียญอธิษฐาน เขวี้ยงหินแฉลบน้ำขอโชคลาภ เดินชมวิวทิวทัศน์ข้ามสะพานไปแขวนป้ายอธิษฐาน และทำบุญเพื่อนำหินมาขว้างเสี่ยงโชคให้เข้าไปในช่องเล็กๆริมหน้าผา ถ้าใครสามารถขว้างหินเข้าไปได้ก็(เชื่อว่า)จะประสบโชคดีมีชัย ซึ่งผมว่ามันยากกว่าการปั่นจักรยานขึ้นภูเขาเสียอีก
วัดจูซงจิ
จากหุบเขาเกบิเก คณะเรามุ่งหน้าต่อไปยัง “วัดจูซงจิ”(Chuson-Ji Temple)หรือ“วัดซูซนจิ”(วัดซูซอนจิ) ที่ตั้งอยู่ที่โคโรโมะโนะเซกิ เมืองฮิราอิซึมิ(ฮิราอิซุมิ) จังหวัดอิวาเตะ
วัดจูซงจิ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 850 เพื่ออุทิศแก่ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตในสงคราม โดยพระจิคาคุไดชิเอ็นนิน ฟูจิวาระ คิโยฮาระ ต้นตระกูลฟูจิวาระแห่งโอชู รวมถึงเพื่อเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาในต้นศตวรรษที่ 12
ทว่าในช่วงศตวรรษที่ 14 วัดวาอารามต่างๆในญี่ปุ่นได้ถูกเผาทำลายลงไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงวัดจูซงจิที่ถูกเผาทำลายเหลือเพียงสิ่งก่อสร้างบางส่วนเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทางยูเนสโกได้ยกให้วัดจูซงจิเป็นหนึ่งในมรดกโลกทางวัฒนธรรมของเมืองฮิราอิซึมิในปี ค.ศ. 2011
ปัจจุบันวัดจูซงจิเป็นหนึ่งในวัดน่าเที่ยวอันดับต้นๆของญี่ปุ่น ภายในวัดแห่งนี้มีสิ่งน่าสนใจให้เที่ยวชมกันหลากหลาย ไล่ไปตั้งแต่ทางเดินจากที่จอดรถซึ่งในช่วงที่ผมไป ดอกซากุระยังไม่ร่วงโรย เราจึงได้เห็นซากุระต้นเตี้ยๆออกดอกสีชมพูสะพรั่งประดับไปในเส้นทางเดินช่วงหนึ่ง นำเข้าสู่ภายในบริเวณวัดที่ร่มรื่นเขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ โดยเฉพาะสนโบราณต้นสูงใหญ่ที่มีปลูกตั้งแต่ปากทางเข้าวัดไปจนถึงภายในบริเวณตัววัด
สำหรับสิ่งน่าสนใจชวนเที่ยวชมภายในวัดแห่งนี้นำโดยไฮไลท์คือ “วิหารสีทอง” กับงานสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1124(ปีเท็นจิที่ 1) นับเป็นอาคารหนึ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระอมิตาภะพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์พระมหาสถามปราบต์โพธิ์สัตว์ประดิษฐานอยู่เคียงข้าง
ตัววิหารปิดทองทั้งหลังเหลืองอร่าม มีการประดับลวดลายอันวิจิตรสวยงามตามจุดต่างๆ ลวดลายประดับมุกที่เสาทั้ง 4 ลวดลายประดับนกยูงประติมากรรมนูนสูงที่ฐานของแท่นบูชาเป็นต้น(แต่ว่าภายในนี้ห้ามถ่ายรูป ผมจึงนำภาพประกอบจากโบชัวร์(ภาษาไทย)เที่ยววัดจูซงจิมาให้ชมกัน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น)
นอกจากวิหารสีทองแล้ว วัดแห่งนี้ก็ยังมี “พระอุโบสถ” ศูนย์กลางของวัด ภายในมีพระศากยมุนีพุทธเจ้าเป็นองค์พระประธาน, “พิพิธภัณฑ์” หรือ “หอเก็บสมบัติ” ที่มากไปด้วยโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุทรงคุณค่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปต่างๆ เครื่องสักการะ พระสูตร ภาพเขียน ตลอดจนสมบัติของตระกูลฟูจิวาระ เป็นต้น และ “หอธรรม” ที่ตั้งอยู่ด้านข้างของวิหารสีทอง เป็นที่เก็บรักษา “พระสูตรแห่งวัดจูซงจิ” มีองค์พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายใน ท่ามกลางบรรยากาศแวดล้อมของหอธรรมอันร่มรื่นสงบร่มเย็น โดยเฉพาะกับเหล่าต้นเมเปิ้ลที่ในฤดูใบไม้ร่วงจะพร้อมใจกันเปลี่ยนใบเป็นสีแดงสดใสดูสวยงามยิ่งนัก
และนี่ก็คือเสน่ห์แห่งแดนธรรมะนามวัดจูซงจิ ซึ่งทั้งแก่งเกบิเคและวัดจูซงจิ วันนี้ต่างก็มีโบชัวร์ภาษาไทยไว้คอยบริการด้านข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวชาวไทย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความพร้อมในการเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่คาดว่าต่อไปจะเดินทางไปเมืองอิวาเตะมากยิ่งขึ้น
ก้าวแรก
หลังเที่ยวชมสิ่งน่าสนใจ 2 แห่งดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เย็นวันนั้นเราเดินทางด้วยรถบัสกลับเข้าสู่ตัวเมืองโมริโอกะอีกครั้ง เพื่อเข้าที่พักในโรงแรมย่านใจกลางเมืองโมริโอกะ ก่อนจะออกไปรับประทานอาหารค่ำเติมพลัง แล้วกลับมาโรงแรมจัดเตรียมอุปกรณ์ ประกอบจักรยาน และเตรียมความพร้อมต่างๆ เพื่อที่จะควบเจ้าสองล้อไปตะลุยปั่นใจวันรุ่งขึ้น
ซึ่งนี่ถือเป็นประสบการณ์ของการปั่นจักรยาน Touring แบบ Full Load ครั้งแรกในชีวิตของผม กับการปั่นจักรยานท่องเที่ยวทางไกลที่ต้องขนสัมภาระ(หนักๆ)บรรทุกขึ้นจักรยานไปเอง ที่มีทั้งการปั่นข้ามเมือง ข้ามเขา บางช่วงต้องขึ้นเขาสูงชันเพื่อไต่ขึ้นไปพิชิตยอดเขาสูงมีหิมะปกคลุม ท่ามกลางสภาพอากาศอันหนาวเหน็บเสียดแทงกระดูก
สำหรับเส้นทางและสภาพการณ์ในอีก 3 วัน 2 คืน ข้างหน้า กับระยะทางรวมกว่า 180 กม. จะเป็นเช่นใดนั้น ผมมิอาจรู้ได้?!?
รู้แต่ว่า ประสบการณ์“ครั้งแรกในชีวิต”ครั้งนี้ มันเป็นดังก้าวแรก เพื่อให้เรามีก้าวที่สอง ก้าวที่สาม
และก้าวที่กล้าต่อๆไป...(อ่านต่อตอนหน้า)
******************************************
Octo Cycling เป็นบริษัทที่มุ่งเชิญชวนผู้ชื่นชอบการปั่นจักรยานออกไปผจญโลกกว้างด้วยการปั่นจักรยานท่องเที่ยวสัมผัสกับสถานที่ต่างๆ ทั้งใน กทม. ในเมืองไทย อาเซียน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เอเชีย และยุโรป เป็นต้น ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2181-2088 หรือที่ www. Octocycling.com หรือ www.facebook.com/octocycling
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com