โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

“ดูก่อนพระอานนท์ ชนเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ 4 สถาน เหล่านั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส ชนเหล่านั้นทั้งหมด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุขคติโลกสวรรค์”
จาก : มหาปรินิพพานสูตร
สำหรับชาวพุทธแล้ว การได้ตามรอยพระพุทธเจ้าไปสักการะ“สังเวชนียสถาน 4 ตำบล” อันได้แก่ สถานที่ประสูติ(ลุมพินี) ตรัสรู้(พุทธคยา) ปฐมเทศนา(สารนาถ) และปรินิพพาน(กุสินารา) ในประเทศอินเดีย-เนปาล ถือเป็นหนึ่งในมงคลสูงสุดของชีวิต

นอกจากสังเวชนียสถานทั้ง 4 แล้ว ในกาลต่อมายังมีพุทธสถานสำคัญอีก 4 แห่ง ที่เกี่ยวข้องกับพุทธาภินิหารที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้ เป็น“อัฏฐมหาสถาน” อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 8 แห่งในพระพุทธศาสนา โดยพุทธสถานสำคัญอีก 4 แห่ง นอกเหนือจากสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ได้แก่ สถานที่เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์-เมืองสังกัสสะ, สถานที่ทรมานช้างนาฬคีรี-เมืองราชคฤห์,สถานที่ทรมานพญาวานร-เมืองเวสาลี และสถานที่แสดง“ยมกปาฏิหาริย์” แห่งเมือง“สาวัตถี” หนึ่งในเมืองที่มีความสำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา
สาวัตถี
“สาวัตถี” (Sravasti-ภาษาบาลีเรียก “สาวัตถี” ภาษาสันสกฤตเรียก“ศราวัสตี”)เป็นหนึ่งในเมืองหลักของทริปแสวงบุญ “ตามรอยพระพุทธเจ้า : อินเดีย-เนปาล” ของผมและคณะในทริปนี้กับเส้นทางทัวร์วงรอบ “ลัคเนา-สาวัตถี-ลุมพินี-กุสินารา-ลัคเนา”

จากเมืองไทย(สุวรรณภูมิ) ผมบินลัดฟ้าสู่เมือง“ลัคเนา”(Lucknow) เมืองเอกแห่งรัฐอุตตรประเทศ หรือรัฐยูพี ประเทศอินเดีย ด้วยสายการบิน“ไทยสมายล์” ซึ่งมีเที่ยวบินตรงสู่ “กรุงเทพฯ-ลัคเนา” และ “ลัคเนา-กรุงเทพฯ”
“ลัคเนา” นอกจากจะเป็นเมืองใหญ่ในอันดับต้นๆของอินเดียที่กำลังโตวันโตคืนแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่สังเวชนียสถานแห่งอินเดียเหนือ-เนปาล

จากลัคเนาผมกับคณะเดินทางด้วยรถบัสสู่เมืองสาวัตถีใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง(ระยะทางประมาณ 175 กม.) ซึ่งในการทัวร์บุญครั้งนี้ คณะเรามี “พระครูนิโครธบุญญากร” หรือ “ดร.มหาน้อย”(ดร. พระมหาปรีชา กตปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดไทยนิโครธาราม-เนปาล มาเป็นพระวิทยากรกิตติมศักดิ์บรรยายให้ทั้งข้อมูลความรู้อย่างลึกซึ้งและสนุกเพลิดเพลิน
สาวัตถีในวันนี้แม้จะมีฐานะเป็นเพียงอำเภอชนบทของรัฐยูพี แต่เมืองนี้ก็ยังคงมีรอยอดีตอันยิ่งใหญ่แห่งพุทธศาสนาให้เราได้สักการะเที่ยวชมกันในหลายจุดด้วยกัน เพราะนี่คือเมืองที่ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับจำพรรษาอยู่ยาวนานที่สุดถึง 25 พรรษา(พระพุทธองค์เผยแผ่ประกาศพระพุทธศาสนาอยู่ 45 พรรษา)

เมืองสาวัตถีจึงมีเรื่องราวในศาสนาพุทธต่างๆเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญนั่นก็คือ การแสดง“ยมกปาฏิหาริย์”อันน่าอัศจรรย์
ยมกปาฏิหาริย์
ยมกปาฏิหาริย์ เป็นการแสดงธรรมด้วยอิทธิฤทธิ์อัศจรรย์ ซึ่งถือเป็นการแสดงปาฏิหาริย์ครั้งสำคัญและครั้งสุดท้ายของพระพุทธองค์
อย่างไรก็ดี ปกติแล้วพระพุทธเจ้าไม่โปรดการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ อีกทั้งยังห้ามไม่ให้พระภิกษุแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ด้วยซ้ำ โดยพระองค์นั้นโปรดการแสดง“อนุสาสนีปาฏิหาริย์” ที่เป็นการแสดงให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์ความอัศจรรย์ของพระธรรมคำสอนมากกว่า

แต่เหตุที่พระพุทธองค์จำเป็นต้องแสดงยมกปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ ก็เนื่องจากว่าบรรดาเหล่าเดียรถีย์นักบวชนอกศาสนาพุทธได้มาท้าทายพระบรมศาสนาให้มาแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แข่งกัน ซึ่งหากพระพุทธเจ้าไม่แสดงยมกปาฏิหาริย์ก็จะยิ่งเป็นเหตุให้พวกเดียรถีย์หาเรื่องทำลายพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงประกาศว่า จะเสด็จไปแสดงปาฏิหาริย์ใกล้ต้นคัณฑามพฤกษ์ หรือ“ต้นมะม่วง”ในวันเพ็ญ(ขึ้น 15 ค่ำ)เดือน 8(อาสาฬหบูชา)

เหล่าเดียรถีย์เมื่อทราบข่าว ก็ให้พรรคพวกลูกน้องและสาวกที่นับถือพวกตนไปโค่นต้นมะม่วงในเมืองสาวัตถีทิ้งจนหมดสิ้น แม้แต่หน่อต้นเล็กต้นน้อยก็ขุดทำลายเสียจนสิ้นซาก แต่สุดท้ายนาย“คัณฑกะ”คนเฝ้าพระราชอุทยานของ“พระเจ้าปเสนทิโกศล”(เจ้าเมืองแห่งแคว้นโกศล ที่มีเมืองสาวัตถีเป็นเมืองหลวง) ซึ่งเห็นว่าภายในอุทยานที่ตนดูแลอยู่มีมะม่วงผลหนึ่งสุกเหลืองอร่ามน่ากิน จึงได้สอยเอามาเก็บไว้ โดยตั้งใจว่าจะนำไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล
อย่างไรก็ดี เมื่อนายคัณฑกะได้พบกับพระพุทธเจ้าในระหว่างทาง จึงได้ถวายมะม่วงสุกผลนั้น เมื่อพระพุทธองค์เสวยเนื้อมะม่วงแล้ว ได้ให้นายคัณฑกะวางเมล็ดมะม่วงลงในดิน จากนั้นทรงใช้น้ำล้างพระหัตถ์รดลงไปบนเมล็ดมะม่วง ทันใดก็เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น เมื่อเมล็ดมะม่วงได้ให้กำเนิดเป็นต้นมะม่วงสูงใหญ่ขึ้นถึง 15 ศอก หรือ 7 เมตรครึ่ง(บ้างก็ว่าสูงถึง 50 ศอก) พร้อมทั้งแผ่สยายกิ่งก้านสาขา ออกลูกดกเต็มต้น รวมถึงร่วงหล่นให้ผู้คนได้เก็บกินกัน

หลังจากนั้นก็ใกล้จะถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ บนพื้นดิน(โลกมนุษย์)ก็มีประชาชนมาเฝ้ารอชมการแสดงปาฏิหาริย์กันอย่างเนืองแน่น ขณะที่บนสวรรค์ชั้นฟ้า เหล่าเทวดาทุกชั้นต่างก็มาชุมนุมเพื่อเฝ้ารอชมการแสดงปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน
ครั้นเมื่อได้เวลาพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ คือ ปาฏิหาริย์คู่ โดยพระพุทธองค์ทรงเข้าฌาน แล้วเหาะลอยขึ้นไปในอากาศ พร้อมนิมิตให้มีร่างของพระองค์เองขึ้นมาคู่กันอีกหนึ่งองค์เพื่อแสดงปาฏิหาริย์คู่กันไป อาทิ ทำเกิดเปลวไฟออกจากพระวรกายพุ่งขึ้นเบื้องบนพร้อมกับทำให้มีสายน้ำออกมาจากพระวรกายพุ่งลงเบื้องล่าง แล้วสลับให้สายน้ำพุ่งขึ้นเบื้องบน เปลวไฟพุ่งลงเบื้องล่าง เปลวไฟพุ่งออกจากทางด้านซ้าย สายน้ำออกจากทางด้านขวา จากนั้นก็สลับกัน จนท้ายที่สุดทรงทำให้มีเปลวไฟและสายน้ำพุ่งออกจากร่างพร้อมกัน โดยเปลวไฟนั้นให้ความสว่างไสวสวยงาม ส่วนสายน้ำนั้นให้ความสดชื่นเย็นชุ่มฉ่ำ นับเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ซึ่งเหล่าเดียรถีย์ไม่สามารถจะทำได้ ทำให้ต้องแพ้พ่ายไม่เป็นท่าไปในที่สุด

หลังแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว ในวันรุ่งขึ้น(เข้าพรรษา)พระพุทธเจ้าได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์(สวรรค์ชั้นที่ 2) เพื่อแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา และจำพรรษาอยู่บนนั้นเป็นเวลา 1 พรรษา
เมื่อครบกำหนด 3 เดือน พระพุทธเจ้าทรงเสด็จกลับคืนสู่โลกมนุษย์ในวันออกพรรษา โดยทรงลงมาทางบันไดแก้วที่ทอดลงมาจากสวรรค์ โดยมีเหล่าเทวดาบนสวรรค์ตามส่งเสด็จ

ขณะที่บนโลกมนุษย์ชาวเมืองสาวัตถีและชาวเมืองอื่นที่มารอรับเสด็จ ได้เตรียมเครื่องภัตตาหารมาทำบุญตักบาตรถวายแด่พระพุทธเจ้า และพระสาวกผู้ตามเสด็จ เมื่อขบวนเสด็จผ่านพ้นลงมาจากสวรรค์ เดินผ่านไปทางใดผู้คนที่มารอรับก็จะพากันใส่บาตรถวายภัตตาหาร ซึ่งได้กลายมาเป็น “ประเพณีตักบาตรเทโว” ในวันออกพรรษา โดยคำว่า “เทโว” นั้นย่อมาจาก “เทโวโรหนะ” ที่แปลว่าการลงมาจากเทวโลก
สำหรับสถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์ หรือ “สถูปยมกปาฏิหาริย์” เมืองสาวัตถี ตั้งอยู่ริมถนนระหว่างเมืองพาลัมปุระกับเมืองสราวัสสติ มีลักษณะเป็นเนินดินขนาดใหญ่ บนยอดของเนินดินมีซากโบราณสถานตั้งอยู่ ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญของที่นี่ ซึ่งมีแท่นให้จุบธูปเทียนบูชา วางข้าวของถวาย รวมถึงมีการปิดทองกันประปรายตามแนวฐานอาคาร
บนฐานอาคารมีนักแสวงนิยมกันมานั่งสมาธิวิปัสสนา ซึ่งในวันที่ผมไปเยือนมีพุทธศาสนิกชนชาวไทยกลุ่มหนึ่ง มานั่งสมาธิกันในยามเย็นช่วงตะวันตกดิน ดูแล้วเป็นภาพที่สร้างความขลังให้กับสถูปยมกปาฏิหาริย์ไม่น้อยเลย

ธรณีสูบ
นอกจากสถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว ในเมืองสาวัตถียังมีสถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนาอีกหลายแห่ง และอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน ซึ่งท่านดร.มหาน้อย ได้พาคณะเราไปตามรอย พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวในพุทธประวัติและสอดแทรกด้วยคติธรรมเตือนใจประกอบ ช่วยให้พวกเราชมแล้วได้อรรถรสและ“อิน”มากยิ่งขึ้น
โลกเรานั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ในสมัยพุทธกาลก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน โดยในสมัยพุทธกาลได้มีตำนานบันทึกถึงคนบาปที่มีความผิดมหันต์จนถูกธรณีสูบไว้ 5 ราย และ 3 ใน 5 มีปรากฏที่เมืองสาวัตถี ซึ่งวันนี้มีร่องรอยที่เชื่อว่าเป็นจุดธรณีสูบแก่บุคคลทั้งสาม ได้แก่

-“นันทมานพ” ที่แม้จะมิได้ทำร้ายต่อพระพุทธเจ้าโดยตรง แต่ก็ได้ทำผิดขั้นร้ายแรงต่อพระอรหันต์
-“นางจิญจมาณวิกา” สาวงามที่รับจ้างพวกเดียรถีย์มาใส่ร้ายพระพุทธเจ้า โดยเธอทำทีว่ามีครรภ์กับพระพุทธองค์ด้วยการผูกไม้กลมไว้ที่ท้อง แล้วมาป่าวประกาศต่อหน้าพุทธบริษัทที่มาประชุมฟังธรรม แต่สุดท้ายความแตกถูกจับได้ เหล่าพุทธบริษัทจึงขับไล่นางจิญจมาณวิกาออกจากวัดเชตวัน เมื่อเธอหนีออกมาพ้นเขตวัดก็ถูกธรณีสูบสู่อเวจี
-และ“พระเทวทัต” ที่เราๆท่านๆรู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นผู้ที่คอยตามจองเวรทำร้ายและทำลายพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยมานับตั้งแต่หลายชาติปางก่อน โดยชาติสุดท้ายก่อนเกิดเป็นพระเทวทัตได้เกิดเป็นชูชก ส่วนพระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นพระเวสสันดร

อย่างไรก็ดีแม้พระเทวทัตจะได้ทำผิดคิดร้ายต่อพระพุทธเจ้าหลายครั้ง แต่พระพุทธองค์ไม่เคยถือโทษโกรธเคืองและไม่เคยคิดร้ายตอบ จนพระเทวทัตสำนึกผิดและจะไปเข้าเฝ้าเพื่อสำนึกผิด แต่สุดท้ายก็หนีบ่วงกรรมไม่พ้น ถูกธรณีสูบสู่แดนนรกอเวจีก่อนที่จะได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เนื่องเพราะได้กระทำอนันตริกรรม หรือ กรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดไว้ถึง 2 ประการด้วยกัน ประการแรกคือทำร้ายพระพุทธเจ้าจนได้รับบาดเจ็บห้อพระโลหิต ที่เรียกว่า “โลหิตุปบาท” และประการที่สองคือการทำให้เหล่าสงฆ์แตกแยก เรียกว่า “สังฆเภท”
ปัจจุบันร่องรอยสถานที่ธรณีสูบทั้ง 3 แม้จะเป็นเพียงลุ่มเป็นหนองเล็กๆในท้องทุ่งของชาวบ้าน แต่ก็มีคนสนใจอยากดูกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณที่เชื่อว่าเป็นจุดที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบในกลางทุ่งนา ดูจะมีคนสนใจมากเป็นพิเศษ หลายคนถึงขนาดเดินลุยทุ่งลงไปดูอย่างใกล้ชิดกันเลยทีเดียว
องคุลีมาล

เมืองสาวัตถีในสมัยพุทธกาลยังเป็นบ้านเกิดของ “อหิงสกะ”(บุตรของปุโรหิตแห่งพระเจ้าปเสนทิโกศล) หรือที่รู้จักกันดีในนาม “องคุลีมาล” ผู้ที่ถูกหลอกให้เดินทางผิด เป็นมหาโจรฆ่าคนไปมากมายถึง 999 ศพ พร้อมตัดนิ้วหัวแม่มือมาคล้องคอ และองคุลีมาลกำลังจะฆ่าคนศพสุดท้าย(คนที่ 1 พัน)คือมารดาของตน(ที่ได้ออกตามหาลูกชายของตนเพื่อช่วยเหลือไม่ให้ถูกกองทหารของพระเจ้าปเสนทิโกศลฆ่า) ซึ่งหากองคุลีมาลฆ่ามารดาของตนได้สำเร็จจะถือเป็นบาปมหันต์อย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าเมื่อทราบเรื่องราวด้วยพระญาณจึงได้เสด็จไปช่วยองคุลีมาลด้วยการแสดงธรรม โดยการปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า เมื่อองคุลีมาลเห็นพระพุทธเจ้าก็ดีใจเพราะนี่ถือเป็นเหยื่อรายสุดท้ายจึงได้วิ่งไล่ตามฆ่าพระพุทธองค์ แต่สุดท้ายวิ่งไล่ยังไงก็ไล่ไม่ทัน จึงได้ตะโกนเรียกให้ “สมณะหยุดก่อน” ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสกลับมาด้วยพระสุรเสียงปราณีว่า
“เราหยุดแล้ว ท่านสิยังไม่หยุด”(เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด)
ซึ่งสุดท้ายแล้วองคุลีมาลได้ยอมจำนน และตถาคตได้แสดงธรรมสั่งสอน จนองคุลีมาลซาบซึ้ง และสำนึกกลับตัวกลับใจบวชเป็นพระภิกษุที่วัดเชตวันช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะปลีกตัวไปบำเพ็ญธรรมในป่าจนสำเร็จอรหันต์

สำหรับ “บ้านเกิดขององคุลีมาล” หรือ “บ้านบิดาขององคุลีมาล” ปัจจุบันเป็นซากโบราณสถานที่ทิ้งร่องรอยความสำคัญไว้ให้เห็น โดยวันนี้ได้มีรั้วโปร่งล้อมรอบ เปิดให้ผู้สนใจเดินชมกันแต่ด้านนอก เนื่องจากในอดีตอานิสงส์แห่งองคุลีมาล ทำให้หลายคนเชื่อว่านี่คือสถานที่ล้างบาปจึงมีคนมาเก็บก้อนอิฐ ก้อนดิน มาลอดอุโมงค์ของซากอาคาร และมาทำตามความเชื่อต่างๆอีกหลากหลาย จนโบราณสถานแห่งนี้ชำรุดทรุดโทรมจึงต้องมีการล้อมรั้วให้เดินชมแค่บริเวณภายนอก ซึ่งถึงกระนั้นก็ยังมีคนให้ความสนใจและมากราบไหว้ต่อซากโบราณสถานแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก
อนาถบิณฑิกเศรษฐี

จากบ้านเกิดขององคุลีมาลข้ามฟากถนนไปจะเป็นบ้านของ“อนาถบิณฑิกเศรษฐี” อีกหนึ่งบุคคลสำคัญแห่งพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญแห่งกรุงสาวัตถีชื่อ“สุทัตต์” ซึ่งท่านได้รับการยกย่องให้เป็นมหาอุบาสกผู้มากไปด้วยมหาศรัทธาในองค์พระพุทธสาสนา ในสมัยพุทธกาลท่านได้ช่วยเหลือเกื้อกูลค้ำจุนศาสนาพุทธเป็นอย่างมาก

อนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อสิ้นชีวิตแล้วได้ไปบังเกิดเป็นอนาถบิณฑิกบนสวรรค์ชั้นดุสิต(สวรรค์ชั้นที่ 4-สวรรค์มีทั้งหมด 6 ชั้น) นอกจากนี้ในสมัยพุทธกาลยังมีมหาอุบาสิกาคนสำคัญคือ “นางวิสาขา” ธิดาของธนัญชัยเศรษฐี ซึ่งได้สร้าง “วัดบุพพาราม”ขึ้นที่เมืองสาวัตถี ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ประทับจำพรรษาอยู่ 9 พรรษา นางวิสาขามีอายุอยู่ยืนยาวถึง 120 ปีเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว ได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานนรดี(สวรรค์ชั้นที่ 5)
สำหรับบ้านของมหาอุบาสก อนาถบิณฑิกเศรษฐี ปัจจุบันเป็นซากโบราณสถานในลักษณะของสถูป เนื่องจากหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานในกาลต่อมาราว 200 กว่าปี “พระเจ้าอโศกมหาราช” ได้สร้างสถูปขึ้น ณ ที่บริเวณแห่งนี้เพื่อเป็นดังอนุสรณ์รำลำถึงคุณงามความดีของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

บ้านอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีความต่างจากบ้านเกิดองคุลีมาลตรงที่สามารถเดินขึ้นไปเที่ยวชมได้อย่างใกล้ชิด โดยมีบันไดให้เราเดินขึ้นไปยังส่วนบนของฐานอาคาร ที่มีช่วงหนึ่งเป็นทางเดินหวาดเสียว เพราะเป็นช่วงคานของห้อง 3 ห้อง ซึ่งท่านดร.มหาน้อย บอกกับผมว่านี่เป็นส่วนเก็บสมบัติของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่มีทั้งห้องเก็บเงิน เก็บทอง และอัญมณี ที่ต่างก็มีเก็บไว้จนเต็มห้อง แสดงให้เห็นว่าในยุคนั้นอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยสุดๆคนหนึ่งแห่งชมพูทวีป

นั่นจึงทำให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีสามารถซื้อที่มาสร้าง“วัดพระเชตวันวรมหาวิหาร”ด้วยเหรียญทอง(บ้างก็ว่าเหรียญเงิน)ที่ปูเต็มพื้นที่ที่ต้องการสร้างวัดเป็นจำนวนเงินถึง 18 โกฏิกหปาณะพร้อมทั้งได้ใช้เงินอีก 18 โกฏิกหปาณะ สร้างมหาวิหาร และเงินอีก 18 โกฏิกหปาณะ ทำการเฉลิมฉลองวัด รวมแล้วเป็นเงินที่ใช้ไปสำหรับการสร้างพระอารามแห่งนี้ถึง 54 โกฏิกหปาณะเลยทีเดียว(1 โกฏิ เท่ากับ 10 ล้าน)

สำหรับวัดพระเชตวันวรมหาวิหารหรือที่เรียกกันสั้นๆว่า “วัดเชตวัน” ในสมัยพุทธกาลเป็นวัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีความสำคัญที่สุด เนื่องจากพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับจำพรรษาอยู่ถึง 19 พรรษา ทำให้มีเรื่องราวสำคัญๆต่างเกิดขึ้นที่วัดแห่งนี้มากมาย
วันนี้วัดเชตวัน แม้จะหลงเหลือเพียงซากโบราณสถานอันกว้างใหญ่ แต่รอยอดีตของวัดแห่งนี้ยังคงทิ้งเรื่องราวอันวิจิตรเพริศแพร้วไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงพลังจากมหาศรัทธาอันยิ่งใหญ่กัน

นอกจากนี้ในปัจจุบัน ในการเผยแผ่ศาสนาพุทธของพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาล ยังได้มีการสร้าง “วัดไทยเชตวันมหาวิหาร” หรือ “วัดไทยเชตวัน”ขึ้น ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากโบราณสถานวัดเชตวันไปประมาณ 2 กิโลเมตร
วัดไทยเชตวัน ถือเป็นหนึ่งในพุทธสถานสำคัญของเมืองไทยในประเทศอินเดีย โดยวัดแห่งนี้ได้จำลอง “พระมูลคันธกุฏี” อันเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลจากโบราณสถานวัดเชตวัน มาไว้ให้เป็นพระอุโบสถของวัดไทยแห่งนี้

โดยในช่วงค่ำของวันที่ผมไปเยือนวัดไทยเชตวัน ตรงกับวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทางวัดได้มีการจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ซึ่งผมกับคณะได้มีโอกาสไปร่วมจุดเทียนและสวดมนต์ในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ด้วย นับเป็นการปิดท้ายในการเที่ยวเมืองสาวัตถีที่น่าประทับใจไม่น้อย
...ท่ามกลางแสงเทียนที่ส่องไสว บางคนมองเห็นเปลวไฟที่ลุกไหม้โชติช่วง บางคนมองเห็นถึงแสงเทียนแห่งธรรมอันลึกซึ้ง และบางคนมองไม่เห็นอะไรเลย...

******************************************
เมืองสาวัตถี มีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของรัฐอุตตรประเทศ หรือรัฐยูพี ประเทศอินเดีย เมืองนี้เป็น 4 ใน 8 เมือง แห่ง “อัฏฐมหาสถาน” ที่มีพุทธสถานสำคัญอันหลากหลาย
สำหรับการเดินทาง “ตามรอยพระพุทธเจ้า : อินเดีย-เนปาล : ลัคเนา-สาวัตถี-ลุมพินี-กุสินารา-ลัคเนา” ในทริปนี้ จากเมืองไทยเราบินตรงสู่เมือง “ลัคเนา” เมืองหลวงแห่งรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ก่อนจะเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆเป็นวงรอบ
ลัคเนา ได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่สังเวชนียสถาน ซึ่งสายการบิน “ไทยสมายล์” ได้เปิดเที่ยวบินตรง “กรุงเทพฯ-ลัคเนา” 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และ“ลัคเนา-กรุงเทพฯ” 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ในราคาเริ่มต้นที่ 4,135 บาท(รวมทุกอย่างแล้ว) และจะเพิ่มเป็น 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 2560 เป็นต้นไป ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 1181 หรือที่ 0-2118-8888 หรือดูที่ www.thaismileair.com
หมายเหตุ : เรื่องราวยมกปาฏิหาริย์อ้างอิงจากพุทธประวัติ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com
“ดูก่อนพระอานนท์ ชนเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ 4 สถาน เหล่านั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส ชนเหล่านั้นทั้งหมด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุขคติโลกสวรรค์”
จาก : มหาปรินิพพานสูตร
สำหรับชาวพุทธแล้ว การได้ตามรอยพระพุทธเจ้าไปสักการะ“สังเวชนียสถาน 4 ตำบล” อันได้แก่ สถานที่ประสูติ(ลุมพินี) ตรัสรู้(พุทธคยา) ปฐมเทศนา(สารนาถ) และปรินิพพาน(กุสินารา) ในประเทศอินเดีย-เนปาล ถือเป็นหนึ่งในมงคลสูงสุดของชีวิต
นอกจากสังเวชนียสถานทั้ง 4 แล้ว ในกาลต่อมายังมีพุทธสถานสำคัญอีก 4 แห่ง ที่เกี่ยวข้องกับพุทธาภินิหารที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้ เป็น“อัฏฐมหาสถาน” อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 8 แห่งในพระพุทธศาสนา โดยพุทธสถานสำคัญอีก 4 แห่ง นอกเหนือจากสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ได้แก่ สถานที่เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์-เมืองสังกัสสะ, สถานที่ทรมานช้างนาฬคีรี-เมืองราชคฤห์,สถานที่ทรมานพญาวานร-เมืองเวสาลี และสถานที่แสดง“ยมกปาฏิหาริย์” แห่งเมือง“สาวัตถี” หนึ่งในเมืองที่มีความสำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา
สาวัตถี
“สาวัตถี” (Sravasti-ภาษาบาลีเรียก “สาวัตถี” ภาษาสันสกฤตเรียก“ศราวัสตี”)เป็นหนึ่งในเมืองหลักของทริปแสวงบุญ “ตามรอยพระพุทธเจ้า : อินเดีย-เนปาล” ของผมและคณะในทริปนี้กับเส้นทางทัวร์วงรอบ “ลัคเนา-สาวัตถี-ลุมพินี-กุสินารา-ลัคเนา”
จากเมืองไทย(สุวรรณภูมิ) ผมบินลัดฟ้าสู่เมือง“ลัคเนา”(Lucknow) เมืองเอกแห่งรัฐอุตตรประเทศ หรือรัฐยูพี ประเทศอินเดีย ด้วยสายการบิน“ไทยสมายล์” ซึ่งมีเที่ยวบินตรงสู่ “กรุงเทพฯ-ลัคเนา” และ “ลัคเนา-กรุงเทพฯ”
“ลัคเนา” นอกจากจะเป็นเมืองใหญ่ในอันดับต้นๆของอินเดียที่กำลังโตวันโตคืนแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่สังเวชนียสถานแห่งอินเดียเหนือ-เนปาล
จากลัคเนาผมกับคณะเดินทางด้วยรถบัสสู่เมืองสาวัตถีใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง(ระยะทางประมาณ 175 กม.) ซึ่งในการทัวร์บุญครั้งนี้ คณะเรามี “พระครูนิโครธบุญญากร” หรือ “ดร.มหาน้อย”(ดร. พระมหาปรีชา กตปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดไทยนิโครธาราม-เนปาล มาเป็นพระวิทยากรกิตติมศักดิ์บรรยายให้ทั้งข้อมูลความรู้อย่างลึกซึ้งและสนุกเพลิดเพลิน
สาวัตถีในวันนี้แม้จะมีฐานะเป็นเพียงอำเภอชนบทของรัฐยูพี แต่เมืองนี้ก็ยังคงมีรอยอดีตอันยิ่งใหญ่แห่งพุทธศาสนาให้เราได้สักการะเที่ยวชมกันในหลายจุดด้วยกัน เพราะนี่คือเมืองที่ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับจำพรรษาอยู่ยาวนานที่สุดถึง 25 พรรษา(พระพุทธองค์เผยแผ่ประกาศพระพุทธศาสนาอยู่ 45 พรรษา)
เมืองสาวัตถีจึงมีเรื่องราวในศาสนาพุทธต่างๆเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญนั่นก็คือ การแสดง“ยมกปาฏิหาริย์”อันน่าอัศจรรย์
ยมกปาฏิหาริย์
ยมกปาฏิหาริย์ เป็นการแสดงธรรมด้วยอิทธิฤทธิ์อัศจรรย์ ซึ่งถือเป็นการแสดงปาฏิหาริย์ครั้งสำคัญและครั้งสุดท้ายของพระพุทธองค์
อย่างไรก็ดี ปกติแล้วพระพุทธเจ้าไม่โปรดการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ อีกทั้งยังห้ามไม่ให้พระภิกษุแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ด้วยซ้ำ โดยพระองค์นั้นโปรดการแสดง“อนุสาสนีปาฏิหาริย์” ที่เป็นการแสดงให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์ความอัศจรรย์ของพระธรรมคำสอนมากกว่า
แต่เหตุที่พระพุทธองค์จำเป็นต้องแสดงยมกปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ ก็เนื่องจากว่าบรรดาเหล่าเดียรถีย์นักบวชนอกศาสนาพุทธได้มาท้าทายพระบรมศาสนาให้มาแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แข่งกัน ซึ่งหากพระพุทธเจ้าไม่แสดงยมกปาฏิหาริย์ก็จะยิ่งเป็นเหตุให้พวกเดียรถีย์หาเรื่องทำลายพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงประกาศว่า จะเสด็จไปแสดงปาฏิหาริย์ใกล้ต้นคัณฑามพฤกษ์ หรือ“ต้นมะม่วง”ในวันเพ็ญ(ขึ้น 15 ค่ำ)เดือน 8(อาสาฬหบูชา)
เหล่าเดียรถีย์เมื่อทราบข่าว ก็ให้พรรคพวกลูกน้องและสาวกที่นับถือพวกตนไปโค่นต้นมะม่วงในเมืองสาวัตถีทิ้งจนหมดสิ้น แม้แต่หน่อต้นเล็กต้นน้อยก็ขุดทำลายเสียจนสิ้นซาก แต่สุดท้ายนาย“คัณฑกะ”คนเฝ้าพระราชอุทยานของ“พระเจ้าปเสนทิโกศล”(เจ้าเมืองแห่งแคว้นโกศล ที่มีเมืองสาวัตถีเป็นเมืองหลวง) ซึ่งเห็นว่าภายในอุทยานที่ตนดูแลอยู่มีมะม่วงผลหนึ่งสุกเหลืองอร่ามน่ากิน จึงได้สอยเอามาเก็บไว้ โดยตั้งใจว่าจะนำไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล
อย่างไรก็ดี เมื่อนายคัณฑกะได้พบกับพระพุทธเจ้าในระหว่างทาง จึงได้ถวายมะม่วงสุกผลนั้น เมื่อพระพุทธองค์เสวยเนื้อมะม่วงแล้ว ได้ให้นายคัณฑกะวางเมล็ดมะม่วงลงในดิน จากนั้นทรงใช้น้ำล้างพระหัตถ์รดลงไปบนเมล็ดมะม่วง ทันใดก็เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น เมื่อเมล็ดมะม่วงได้ให้กำเนิดเป็นต้นมะม่วงสูงใหญ่ขึ้นถึง 15 ศอก หรือ 7 เมตรครึ่ง(บ้างก็ว่าสูงถึง 50 ศอก) พร้อมทั้งแผ่สยายกิ่งก้านสาขา ออกลูกดกเต็มต้น รวมถึงร่วงหล่นให้ผู้คนได้เก็บกินกัน
หลังจากนั้นก็ใกล้จะถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ บนพื้นดิน(โลกมนุษย์)ก็มีประชาชนมาเฝ้ารอชมการแสดงปาฏิหาริย์กันอย่างเนืองแน่น ขณะที่บนสวรรค์ชั้นฟ้า เหล่าเทวดาทุกชั้นต่างก็มาชุมนุมเพื่อเฝ้ารอชมการแสดงปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน
ครั้นเมื่อได้เวลาพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ คือ ปาฏิหาริย์คู่ โดยพระพุทธองค์ทรงเข้าฌาน แล้วเหาะลอยขึ้นไปในอากาศ พร้อมนิมิตให้มีร่างของพระองค์เองขึ้นมาคู่กันอีกหนึ่งองค์เพื่อแสดงปาฏิหาริย์คู่กันไป อาทิ ทำเกิดเปลวไฟออกจากพระวรกายพุ่งขึ้นเบื้องบนพร้อมกับทำให้มีสายน้ำออกมาจากพระวรกายพุ่งลงเบื้องล่าง แล้วสลับให้สายน้ำพุ่งขึ้นเบื้องบน เปลวไฟพุ่งลงเบื้องล่าง เปลวไฟพุ่งออกจากทางด้านซ้าย สายน้ำออกจากทางด้านขวา จากนั้นก็สลับกัน จนท้ายที่สุดทรงทำให้มีเปลวไฟและสายน้ำพุ่งออกจากร่างพร้อมกัน โดยเปลวไฟนั้นให้ความสว่างไสวสวยงาม ส่วนสายน้ำนั้นให้ความสดชื่นเย็นชุ่มฉ่ำ นับเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ซึ่งเหล่าเดียรถีย์ไม่สามารถจะทำได้ ทำให้ต้องแพ้พ่ายไม่เป็นท่าไปในที่สุด
หลังแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว ในวันรุ่งขึ้น(เข้าพรรษา)พระพุทธเจ้าได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์(สวรรค์ชั้นที่ 2) เพื่อแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา และจำพรรษาอยู่บนนั้นเป็นเวลา 1 พรรษา
เมื่อครบกำหนด 3 เดือน พระพุทธเจ้าทรงเสด็จกลับคืนสู่โลกมนุษย์ในวันออกพรรษา โดยทรงลงมาทางบันไดแก้วที่ทอดลงมาจากสวรรค์ โดยมีเหล่าเทวดาบนสวรรค์ตามส่งเสด็จ
ขณะที่บนโลกมนุษย์ชาวเมืองสาวัตถีและชาวเมืองอื่นที่มารอรับเสด็จ ได้เตรียมเครื่องภัตตาหารมาทำบุญตักบาตรถวายแด่พระพุทธเจ้า และพระสาวกผู้ตามเสด็จ เมื่อขบวนเสด็จผ่านพ้นลงมาจากสวรรค์ เดินผ่านไปทางใดผู้คนที่มารอรับก็จะพากันใส่บาตรถวายภัตตาหาร ซึ่งได้กลายมาเป็น “ประเพณีตักบาตรเทโว” ในวันออกพรรษา โดยคำว่า “เทโว” นั้นย่อมาจาก “เทโวโรหนะ” ที่แปลว่าการลงมาจากเทวโลก
สำหรับสถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์ หรือ “สถูปยมกปาฏิหาริย์” เมืองสาวัตถี ตั้งอยู่ริมถนนระหว่างเมืองพาลัมปุระกับเมืองสราวัสสติ มีลักษณะเป็นเนินดินขนาดใหญ่ บนยอดของเนินดินมีซากโบราณสถานตั้งอยู่ ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญของที่นี่ ซึ่งมีแท่นให้จุบธูปเทียนบูชา วางข้าวของถวาย รวมถึงมีการปิดทองกันประปรายตามแนวฐานอาคาร
บนฐานอาคารมีนักแสวงนิยมกันมานั่งสมาธิวิปัสสนา ซึ่งในวันที่ผมไปเยือนมีพุทธศาสนิกชนชาวไทยกลุ่มหนึ่ง มานั่งสมาธิกันในยามเย็นช่วงตะวันตกดิน ดูแล้วเป็นภาพที่สร้างความขลังให้กับสถูปยมกปาฏิหาริย์ไม่น้อยเลย
ธรณีสูบ
นอกจากสถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว ในเมืองสาวัตถียังมีสถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนาอีกหลายแห่ง และอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน ซึ่งท่านดร.มหาน้อย ได้พาคณะเราไปตามรอย พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวในพุทธประวัติและสอดแทรกด้วยคติธรรมเตือนใจประกอบ ช่วยให้พวกเราชมแล้วได้อรรถรสและ“อิน”มากยิ่งขึ้น
โลกเรานั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ในสมัยพุทธกาลก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน โดยในสมัยพุทธกาลได้มีตำนานบันทึกถึงคนบาปที่มีความผิดมหันต์จนถูกธรณีสูบไว้ 5 ราย และ 3 ใน 5 มีปรากฏที่เมืองสาวัตถี ซึ่งวันนี้มีร่องรอยที่เชื่อว่าเป็นจุดธรณีสูบแก่บุคคลทั้งสาม ได้แก่
-“นันทมานพ” ที่แม้จะมิได้ทำร้ายต่อพระพุทธเจ้าโดยตรง แต่ก็ได้ทำผิดขั้นร้ายแรงต่อพระอรหันต์
-“นางจิญจมาณวิกา” สาวงามที่รับจ้างพวกเดียรถีย์มาใส่ร้ายพระพุทธเจ้า โดยเธอทำทีว่ามีครรภ์กับพระพุทธองค์ด้วยการผูกไม้กลมไว้ที่ท้อง แล้วมาป่าวประกาศต่อหน้าพุทธบริษัทที่มาประชุมฟังธรรม แต่สุดท้ายความแตกถูกจับได้ เหล่าพุทธบริษัทจึงขับไล่นางจิญจมาณวิกาออกจากวัดเชตวัน เมื่อเธอหนีออกมาพ้นเขตวัดก็ถูกธรณีสูบสู่อเวจี
-และ“พระเทวทัต” ที่เราๆท่านๆรู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นผู้ที่คอยตามจองเวรทำร้ายและทำลายพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยมานับตั้งแต่หลายชาติปางก่อน โดยชาติสุดท้ายก่อนเกิดเป็นพระเทวทัตได้เกิดเป็นชูชก ส่วนพระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นพระเวสสันดร
อย่างไรก็ดีแม้พระเทวทัตจะได้ทำผิดคิดร้ายต่อพระพุทธเจ้าหลายครั้ง แต่พระพุทธองค์ไม่เคยถือโทษโกรธเคืองและไม่เคยคิดร้ายตอบ จนพระเทวทัตสำนึกผิดและจะไปเข้าเฝ้าเพื่อสำนึกผิด แต่สุดท้ายก็หนีบ่วงกรรมไม่พ้น ถูกธรณีสูบสู่แดนนรกอเวจีก่อนที่จะได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เนื่องเพราะได้กระทำอนันตริกรรม หรือ กรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดไว้ถึง 2 ประการด้วยกัน ประการแรกคือทำร้ายพระพุทธเจ้าจนได้รับบาดเจ็บห้อพระโลหิต ที่เรียกว่า “โลหิตุปบาท” และประการที่สองคือการทำให้เหล่าสงฆ์แตกแยก เรียกว่า “สังฆเภท”
ปัจจุบันร่องรอยสถานที่ธรณีสูบทั้ง 3 แม้จะเป็นเพียงลุ่มเป็นหนองเล็กๆในท้องทุ่งของชาวบ้าน แต่ก็มีคนสนใจอยากดูกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณที่เชื่อว่าเป็นจุดที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบในกลางทุ่งนา ดูจะมีคนสนใจมากเป็นพิเศษ หลายคนถึงขนาดเดินลุยทุ่งลงไปดูอย่างใกล้ชิดกันเลยทีเดียว
องคุลีมาล
เมืองสาวัตถีในสมัยพุทธกาลยังเป็นบ้านเกิดของ “อหิงสกะ”(บุตรของปุโรหิตแห่งพระเจ้าปเสนทิโกศล) หรือที่รู้จักกันดีในนาม “องคุลีมาล” ผู้ที่ถูกหลอกให้เดินทางผิด เป็นมหาโจรฆ่าคนไปมากมายถึง 999 ศพ พร้อมตัดนิ้วหัวแม่มือมาคล้องคอ และองคุลีมาลกำลังจะฆ่าคนศพสุดท้าย(คนที่ 1 พัน)คือมารดาของตน(ที่ได้ออกตามหาลูกชายของตนเพื่อช่วยเหลือไม่ให้ถูกกองทหารของพระเจ้าปเสนทิโกศลฆ่า) ซึ่งหากองคุลีมาลฆ่ามารดาของตนได้สำเร็จจะถือเป็นบาปมหันต์อย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าเมื่อทราบเรื่องราวด้วยพระญาณจึงได้เสด็จไปช่วยองคุลีมาลด้วยการแสดงธรรม โดยการปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า เมื่อองคุลีมาลเห็นพระพุทธเจ้าก็ดีใจเพราะนี่ถือเป็นเหยื่อรายสุดท้ายจึงได้วิ่งไล่ตามฆ่าพระพุทธองค์ แต่สุดท้ายวิ่งไล่ยังไงก็ไล่ไม่ทัน จึงได้ตะโกนเรียกให้ “สมณะหยุดก่อน” ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสกลับมาด้วยพระสุรเสียงปราณีว่า
“เราหยุดแล้ว ท่านสิยังไม่หยุด”(เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด)
ซึ่งสุดท้ายแล้วองคุลีมาลได้ยอมจำนน และตถาคตได้แสดงธรรมสั่งสอน จนองคุลีมาลซาบซึ้ง และสำนึกกลับตัวกลับใจบวชเป็นพระภิกษุที่วัดเชตวันช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะปลีกตัวไปบำเพ็ญธรรมในป่าจนสำเร็จอรหันต์
สำหรับ “บ้านเกิดขององคุลีมาล” หรือ “บ้านบิดาขององคุลีมาล” ปัจจุบันเป็นซากโบราณสถานที่ทิ้งร่องรอยความสำคัญไว้ให้เห็น โดยวันนี้ได้มีรั้วโปร่งล้อมรอบ เปิดให้ผู้สนใจเดินชมกันแต่ด้านนอก เนื่องจากในอดีตอานิสงส์แห่งองคุลีมาล ทำให้หลายคนเชื่อว่านี่คือสถานที่ล้างบาปจึงมีคนมาเก็บก้อนอิฐ ก้อนดิน มาลอดอุโมงค์ของซากอาคาร และมาทำตามความเชื่อต่างๆอีกหลากหลาย จนโบราณสถานแห่งนี้ชำรุดทรุดโทรมจึงต้องมีการล้อมรั้วให้เดินชมแค่บริเวณภายนอก ซึ่งถึงกระนั้นก็ยังมีคนให้ความสนใจและมากราบไหว้ต่อซากโบราณสถานแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก
อนาถบิณฑิกเศรษฐี
จากบ้านเกิดขององคุลีมาลข้ามฟากถนนไปจะเป็นบ้านของ“อนาถบิณฑิกเศรษฐี” อีกหนึ่งบุคคลสำคัญแห่งพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญแห่งกรุงสาวัตถีชื่อ“สุทัตต์” ซึ่งท่านได้รับการยกย่องให้เป็นมหาอุบาสกผู้มากไปด้วยมหาศรัทธาในองค์พระพุทธสาสนา ในสมัยพุทธกาลท่านได้ช่วยเหลือเกื้อกูลค้ำจุนศาสนาพุทธเป็นอย่างมาก
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อสิ้นชีวิตแล้วได้ไปบังเกิดเป็นอนาถบิณฑิกบนสวรรค์ชั้นดุสิต(สวรรค์ชั้นที่ 4-สวรรค์มีทั้งหมด 6 ชั้น) นอกจากนี้ในสมัยพุทธกาลยังมีมหาอุบาสิกาคนสำคัญคือ “นางวิสาขา” ธิดาของธนัญชัยเศรษฐี ซึ่งได้สร้าง “วัดบุพพาราม”ขึ้นที่เมืองสาวัตถี ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ประทับจำพรรษาอยู่ 9 พรรษา นางวิสาขามีอายุอยู่ยืนยาวถึง 120 ปีเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว ได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานนรดี(สวรรค์ชั้นที่ 5)
สำหรับบ้านของมหาอุบาสก อนาถบิณฑิกเศรษฐี ปัจจุบันเป็นซากโบราณสถานในลักษณะของสถูป เนื่องจากหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานในกาลต่อมาราว 200 กว่าปี “พระเจ้าอโศกมหาราช” ได้สร้างสถูปขึ้น ณ ที่บริเวณแห่งนี้เพื่อเป็นดังอนุสรณ์รำลำถึงคุณงามความดีของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
บ้านอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีความต่างจากบ้านเกิดองคุลีมาลตรงที่สามารถเดินขึ้นไปเที่ยวชมได้อย่างใกล้ชิด โดยมีบันไดให้เราเดินขึ้นไปยังส่วนบนของฐานอาคาร ที่มีช่วงหนึ่งเป็นทางเดินหวาดเสียว เพราะเป็นช่วงคานของห้อง 3 ห้อง ซึ่งท่านดร.มหาน้อย บอกกับผมว่านี่เป็นส่วนเก็บสมบัติของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่มีทั้งห้องเก็บเงิน เก็บทอง และอัญมณี ที่ต่างก็มีเก็บไว้จนเต็มห้อง แสดงให้เห็นว่าในยุคนั้นอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยสุดๆคนหนึ่งแห่งชมพูทวีป
นั่นจึงทำให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีสามารถซื้อที่มาสร้าง“วัดพระเชตวันวรมหาวิหาร”ด้วยเหรียญทอง(บ้างก็ว่าเหรียญเงิน)ที่ปูเต็มพื้นที่ที่ต้องการสร้างวัดเป็นจำนวนเงินถึง 18 โกฏิกหปาณะพร้อมทั้งได้ใช้เงินอีก 18 โกฏิกหปาณะ สร้างมหาวิหาร และเงินอีก 18 โกฏิกหปาณะ ทำการเฉลิมฉลองวัด รวมแล้วเป็นเงินที่ใช้ไปสำหรับการสร้างพระอารามแห่งนี้ถึง 54 โกฏิกหปาณะเลยทีเดียว(1 โกฏิ เท่ากับ 10 ล้าน)
สำหรับวัดพระเชตวันวรมหาวิหารหรือที่เรียกกันสั้นๆว่า “วัดเชตวัน” ในสมัยพุทธกาลเป็นวัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีความสำคัญที่สุด เนื่องจากพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับจำพรรษาอยู่ถึง 19 พรรษา ทำให้มีเรื่องราวสำคัญๆต่างเกิดขึ้นที่วัดแห่งนี้มากมาย
วันนี้วัดเชตวัน แม้จะหลงเหลือเพียงซากโบราณสถานอันกว้างใหญ่ แต่รอยอดีตของวัดแห่งนี้ยังคงทิ้งเรื่องราวอันวิจิตรเพริศแพร้วไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงพลังจากมหาศรัทธาอันยิ่งใหญ่กัน
นอกจากนี้ในปัจจุบัน ในการเผยแผ่ศาสนาพุทธของพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาล ยังได้มีการสร้าง “วัดไทยเชตวันมหาวิหาร” หรือ “วัดไทยเชตวัน”ขึ้น ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากโบราณสถานวัดเชตวันไปประมาณ 2 กิโลเมตร
วัดไทยเชตวัน ถือเป็นหนึ่งในพุทธสถานสำคัญของเมืองไทยในประเทศอินเดีย โดยวัดแห่งนี้ได้จำลอง “พระมูลคันธกุฏี” อันเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลจากโบราณสถานวัดเชตวัน มาไว้ให้เป็นพระอุโบสถของวัดไทยแห่งนี้
โดยในช่วงค่ำของวันที่ผมไปเยือนวัดไทยเชตวัน ตรงกับวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทางวัดได้มีการจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ซึ่งผมกับคณะได้มีโอกาสไปร่วมจุดเทียนและสวดมนต์ในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ด้วย นับเป็นการปิดท้ายในการเที่ยวเมืองสาวัตถีที่น่าประทับใจไม่น้อย
...ท่ามกลางแสงเทียนที่ส่องไสว บางคนมองเห็นเปลวไฟที่ลุกไหม้โชติช่วง บางคนมองเห็นถึงแสงเทียนแห่งธรรมอันลึกซึ้ง และบางคนมองไม่เห็นอะไรเลย...
******************************************
เมืองสาวัตถี มีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของรัฐอุตตรประเทศ หรือรัฐยูพี ประเทศอินเดีย เมืองนี้เป็น 4 ใน 8 เมือง แห่ง “อัฏฐมหาสถาน” ที่มีพุทธสถานสำคัญอันหลากหลาย
สำหรับการเดินทาง “ตามรอยพระพุทธเจ้า : อินเดีย-เนปาล : ลัคเนา-สาวัตถี-ลุมพินี-กุสินารา-ลัคเนา” ในทริปนี้ จากเมืองไทยเราบินตรงสู่เมือง “ลัคเนา” เมืองหลวงแห่งรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ก่อนจะเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆเป็นวงรอบ
ลัคเนา ได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่สังเวชนียสถาน ซึ่งสายการบิน “ไทยสมายล์” ได้เปิดเที่ยวบินตรง “กรุงเทพฯ-ลัคเนา” 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และ“ลัคเนา-กรุงเทพฯ” 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ในราคาเริ่มต้นที่ 4,135 บาท(รวมทุกอย่างแล้ว) และจะเพิ่มเป็น 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 2560 เป็นต้นไป ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 1181 หรือที่ 0-2118-8888 หรือดูที่ www.thaismileair.com
หมายเหตุ : เรื่องราวยมกปาฏิหาริย์อ้างอิงจากพุทธประวัติ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com