โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

“เพลิงพระนาง”
ละครเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากหนังสือ “เที่ยวพม่า” พระนิพนธ์ของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และ หนังสือ “พม่าเสียเมือง” ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เขียนบอกเล่าเรื่องราวของ ราชธานีสุดท้ายของราชวงศ์พม่าก่อนจะตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในยุคล่าอาณานิคม อันนำมาซึ่งการสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ของพม่าในเวลาต่อมา
เพลิงพระนาง เป็นละครเก่าที่นำมาสร้างใหม่ เคยถูกสร้างเป็นละครฉายทางทีวีมาแล้วครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2539 เพลิงพระนางยุคนั้นเต็มไปด้วยดาราชื่อดังจำนวนมาก มาในยุคนี้ เพลิงพระนางถือเป็นหนึ่งในละครฟอร์มยักษ์แห่งปี 2560 ที่อุดมไปด้วยดาราระดับในระดับบิ๊กเนมคับคั่งเช่นกัน แถมละครเรื่องนี้ยังมีดราม่ามาแห่งโลกโซเชียลมาช่วยสร้างกระแสตั้งแต่ละครยังไม่ออนแอร์
และล่าสุดกับดรามาร้อนข้ามชาติ พม่าเรียกร้องให้ยุติออกอากาศละคร “เพลิงพระนาง” เหตุบิดเบือนประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ดี ดราม่าแห่งโลกโซเชียล ดราม่านอกจอ ยังเทียบเท่าไม่ได้กับดราม่าทางประวัติศาสตร์ของพม่าที่แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมายาวนานก็ยังคงถูกกล่าวขานถึง โดยเฉพาะกับผู้ที่ไปเที่ยวเมือง“มัณฑะเลย์” ซึ่งไกด์ส่วนใหญ่ ทั้งไกด์ไทยและไกด์พม่า ต่างก็มักจะเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์สุดดราม่าแห่งมัณฑะเลย์ อดีตราชธานีเก่าของพม่าให้ลูกทัวร์(คนไทย)ฟังกันอย่างออกรสออกชาติ
พระราชวังมัณฑะเลย์

มัณฑะเลย์ปัจจุบันเป็นเมืองเจริญในอันดับต้นๆของพม่า และก็เป็นเมืองท่องเที่ยวในอันดับต้นๆของพม่า
เมืองมัณฑะเลย์มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ นำโดยไฮไลท์คือ พระมหามัยมุนี 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญสูงสุดของพม่า, ภูเขามัณฑะเลย์ จุดชมวิวทิวทัศน์อันงดงาม, วัดชเวนันดอ ที่มีอาคารประดับงานแกะสลักไม้ลวดลายวิจิตร, วัดกุโสดอ วัดที่มีจารึกพระไตรปิฎกบนแผ่นหินอ่อนจำนวน 729 แผ่น จากการจัดสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 ของโลกในสมัยพระเจ้ามินดง ฯลฯ

นอกจากนี้เมืองมัณฑะเลย์ยังมี“พระราชวังมัณฑะเลย์” อีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งใครที่มาเมืองนี้แล้ว ต้องหาโอกาสเข้าไปเที่ยวชม ไม่งั้นจะมาไม่ถึงมัณฑะเลย์โดยสมบูรณ์
พระราชวังมัณฑะเลย์ สร้างในสมัยพระเจ้ามินดง ด้วยการรื้อพระราชวังเดิมจากเมืองอมรปุระ(ราชธานีเก่า)มาสร้างใหม่ที่นี่ จากนั้นพระเจ้าสีป่อทรงโปรดให้ก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกหลายหลัง
พระราชวังมัณฑะเลย์องค์ดั้งเดิมก่อสร้างอย่างวิจิตร ประกอบด้วยอาคารไม้จำนวนมาก หลายหลังมีการสลักเสลา ปิดทอง อย่างสวยงาม แต่...อาคารพระราชวังเหล่านี้ได้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระราชวังมัณฑะเลย์ที่เห็นในปัจจุบันนี้จึงเป็นการจำลองของดั้งเดิมมาสร้างใหม่ให้นักเที่ยวได้เที่ยวชมกัน

อย่างไรก็ดีแม้พระราชวังมัณฑะเลย์ในปัจจุบันจะเป็นการจำลองของเก่ามาสร้างใหม่ แต่ว่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สำคัญของพระราชวังแห่งนี้ยังดำรงคงอยู่
โดยเฉพาะเรื่องราวประวัติศาสตร์สุดรันทดของพม่าที่มีเมืองมัณฑะเลย์เป็นราชธานี และมีพระราชวังมัณฑะเลย์เป็นสถานที่สำคัญ อันนำมาสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์สุดดราม่าก่อนสิ้นยุคกษัตริย์ของพม่า ซึ่งม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้นำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ “พม่าเสียเมือง” ที่เป็นการนำเอาข้อเท็จจริงและข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาเขียนบอกเล่าได้อย่างมีศิลปะ มีลีลาน่าอ่านน่าติดตาม ชนิดผมอ่านรวดเดียวภายในคืนเดียว

หนังสือพม่าเสียเมืองนับเป็นอิทธิพลสำคัญต่อละคนเรื่องเพลิงพระนาง ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เขียนถ้อยแถลงไขไว้ในตอนหนึ่งของคำนำว่า
....ทั้งที่ตั้งใจในขณะที่เขียนว่าจะเขียนให้เป็นพม่ามากที่สุดเท่าที่คนไทยจะทำได้ แต่เมื่อเขียนแล้วจึงรู้ว่าคนไทยเมื่อเขียนเรื่องพม่าก็มีใจเอนเอียงเป็นไทยได้มากเหมือนกัน...
ใครที่อยากรับรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วงสำคัญของพม่าที่ติดกลิ่นแบบไทยๆ สามารถไปหาอ่านได้ในหนังสือดังกล่าว
พระเจ้ามินดง
ในหนังสือพม่าเสียเมืองของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ที่ตัวละครล้วนต่างเป็นตัวจริงเสียงจริงในประวัติศาสตร์ของพม่านั้น มีตัวละครสำคัญอยู่ 4 คน ซึ่งถือเป็นตัวดำเนินเรื่องหลักจากรุ่นสู่รุ่น อันนำมาสู่เหตุการณ์พม่าเสียเมืองในที่สุดด้วยฤทธิ์ของเพลิงพระนาง ซึ่งผมขอหยิบยกประวัติศาสตร์อันสุดดราม่าของเมืองพม่ามาบอกเล่าสู่กันฟัง(ในเวอร์ชั่นรวบรัดตัดความ)แบบพอเป็นกระสาย

เริ่มตั้งแต่ ในยุคล่าอาณานิคมราวๆปี พ.ศ. 2367 ซึ่งจักวรรดิอังกฤษสามารถยึดครองพม่าตอนล่างแถบเมืองท่าย่างกุ้งไว้ได้
กรุงรัตนบุระอังวะหรือพม่าในยุคนั้น จึงจำเป็นต้องย้ายราชธานีจากกรุงอังวะมาอยู่ที่กรุงอมรปุระ โดยมีกษัตริย์คือ“พระเจ้าพะคันหมิ่น” ผู้มีความโลภ ปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์อย่างกดขี่ รีดนาทาเร้น เข่นฆ่าประชาชนเพื่อแย่งชิงทรัพย์สมบัติเอามาไว้เป็นของตน อันเป็นเหตุให้“พระเจ้ามินดง” ได้รวบรวมไพร่พล เข้าทำการยึดพระราชอำนาจ แล้วทรงย้ายราชธานีไปอยู่ ณ ที่แห่งใหม่
เหตุที่พระเจ้ามินดงทรงย้ายเมืองใหม่ มีทั้งเรื่องของความเชื่อและยุทธศาสตร์ โดยพระเจ้ามินดงทรงพระสุบิน(ฝัน)เห็นภูเขามัณฑะเลย์ที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงอมรปุระอยู่บ่อยๆ จึงให้โหรทำนายได้ข้อสรุปว่าควรจะสร้างราชธานีใหม่ขึ้นระหว่างภูเขามัณฑะเลย์กับแม่น้ำอิระวดี เพราะเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับอยู่ที่ด้านหลังพร้อมกับทรงตรัสว่า เมืองนี้ในอนาคตจะเจริญรุ่งเรืองเป็นแหล่งเผยแผ่ศาสนาพุทธที่สำคัญยิ่งในด้านตะวันออก
ส่วนในด้านยุทธศาสตร์นั้น เมืองใหม่มีทำเลที่เหมาะสม และอยู่ไกลจากแม่น้ำมากกว่าอมรปุระ ทำให้สามารถหนีเรือกลไฟของกองทัพอังกฤษที่จะรุกประชิดเข้ามาได้ในระดับหนึ่ง

นั่นจึงทำให้พระเจ้ามินดงที่มีศรัทธาแรงกล้าในพุทธศาสนา ทำการย้ายเมืองใหม่มาที่นี่ในช่วงราวปี พ.ศ. 2400 พร้อมกับตั้งชื่อเมืองตามภูเขาว่าเมือง“มัณฑะเลย์”
ในการย้ายเมืองใหม่แม้พระเจ้ามินดงจะได้ชื่อว่า “ธรรมกษัตริย์” แต่ก็ยังเชื่อถือในพิธีโบราณเรื่อง“อาถรรพ์เมือง” ดังนั้นการสร้างเมืองหลวงใหม่มัณฑะเลย์จึงมีการนำคนเป็นๆมาฝังถึง 52 คน ทั้งตามมุมเมือง ประตูเมือง ประตูพระราชวัง และ 4 มุมกำแพงเมือง รวมถึงใต้พระที่นั่งในท้องพระโรงก็ต้องฝังคนเป็นๆไว้ถึง 4 คนด้วย
...เรื่องนี้ไม่ว่าพระเจ้ามินดง โหร และผู้ปกครองในยุคนั้นจะเชื่อถืออย่างไร แต่ต่อมาในยุคหลังๆ ใครหลายๆคนต่างเชื่อว่านี่คือบาปกรรมที่ทำให้ราชธานีมัณฑะเลย์ที่สร้างอย่างยิ่งใหญ่ ต้องล่มสลายภายในเวลาเพียงแค่ 28 ปี เท่านั้น อีกทั้งพระราชวังมัณฑะเลย์ที่ประทับของกษัตริย์ก็ยังหนีไม่พ้นบ่วงกรรม ถูกทิ้งระเบิดราบคาบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2...
พระนางอเลนันดอ
แม้จะเป็นธรรมกษัตริย์ผู้เคร่งครัดในพุทธศาสนา แต่พระเจ้ามินดงก็ทรงมีพระมเหสีมากถึง 45 องค์(บ้างก็ว่า 54 องค์) มีพระอัครมเหสี(มเหสีเอก) คือ พระนาง“นัมมะดอ” ผู้ทรงธรรมไม่มักใหญ่ใฝ่สูง
ต่างจากพระมเหสีรอง คือพระนาง “อเลนันดอ”(พระนางซินผิ่วมะฉิ่น) ที่ทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วพระนางอเลนันดอสามารถเบียดแทรกตีตนขึ้นมาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้ามินดงและเป็นมเหสีเบอร์หนึ่งในทางพฤตินัย ก่อนที่จะดำเนินการวางแผนยึดกุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จชนิดที่พระเจ้ามินดงไม่กล้าหือ กล้าอือ

หลังพระเจ้ามินดงสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับมัณฑะเลย์ ทำนุบำรุงพุทธศาสนา สังคยานาพระไตรปิฎก ในช่วงครึ่งหลังของรัชกาลพระองค์เอาแต่หมกมุ่นกับการศาสนาจนทำให้การบริหารราชการแผ่นดินในช่วงนี้อ่อนแอ ไร้สมรรถภาพ เกิดการแก่งแย่งชิงอำนาจกันอย่างสูง จนพระเจ้ามินดงเกิดความเหนื่อยหน่าย วันๆจึงเอาแต่นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร ก่อนที่จะทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตไปอย่างรันทดใจ โดยยังมิได้แต่งตั้งผู้ใดมาสืบทอดราชบัลลังก์องค์ต่อไป ทิ้งอำนาจให้พระนางอเลนันดอปกครองเมืองพม่าตามใจชอบต่อไป
พระเจ้าสีป่อ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้พม่าเสียเมือง เรื่องนี้หากย้อนไปดูข้อเท็จจริงนับว่าน่าเห็นใจพระเจ้ามินดงไม่น้อย เพราะพระองค์เคยตั้งรัชทายาทไว้แล้ว แต่ถูกพระราชโอรสจากพระมเหสีองค์อื่นลอบสังหาร(แล้วยังพาลจะมาลอบสังหารพระเจ้ามินดงเพื่อขึ้นเป็นใหญ่ด้วย)

เมื่อไม่มีรัชทายาทสืบทอด พระนางอเลนันดอได้วางแผนผลักดัน“เจ้าชายสีป่อ” พระราชโอรสที่ประสูติจากพระมเหสีชาวไทใหญ่ ซึ่งเป็นคนหัวอ่อน อ่อนแอ หูเบา ไม่ฉลาดเฉลียว ให้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์หุ่นเชิด ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และนางคอยชักใยอยู่เบื้องหลังอีกที โดยหลังพระเจ้ามินดงสวรรคต พระนางอเลนันดอได้กำจัดพระราชโอรสที่มีสิทธ์ได้รับการสืบรัชทอดทายาทด้วยการไล่ล่า นำไปจับขัง และให้กินหวุ่นหมิ่นกี้ล็อบบี้เหล่าขุนนางให้เลือกเจ้าชายสีป่อขึ้นสืบราชบังลังก์ เป็น“พระเจ้าสีป่อ”(พระเจ้าสีป้อ,พระเจ้าธียอ) ในลำดับต่อไป
พระนางศุภยลัต
เมื่อผลักดันเจ้าชายสีป่อขึ้นครองบัลลังก์ได้แล้ว แผนการลำดับต่อไปก็คือการแต่งตั้งพระมเหสี พระนางจึงให้ธิดาของตนคือ“เจ้าฟ้าศุภยคยี”(องค์พี่) และ “เจ้าฟ้าศุภยลัต”(องค์น้อง) อภิเษกกับพระเจ้าสีป่อ (ทั้งๆที่มีสายเลือดพ่อเดียวกัน) โดยเจ้าฟ้าศุภยคยีมีตำแหน่งเป็นอัครมเหสี ส่วนเจ้าฟ้าศุภยลัตเป็นมเหสีรอง

พระนางศุภยคยีองค์พี่นั้นเป็นคนดี ต่างกันลิบกับองค์น้องคือ “พระนางศุภยลัต” ที่ร้ายกาจเหลือคณา
พระนางศุภยลัต หรือที่ฝรั่งตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “พระนางซุปเพลท” หรือ “พระนางชามแกง” ซึ่งเธอนอกจากจะร้ายแล้วยังจัดอยู่ในประเภท “มเหสีขี้หึงเหมือนหนึ่งเสือ”(ตามสำนวนของอาจารย์หม่อม) ภายหลังขึ้นเป็นมเหสีรอง พระนางได้หาทางกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจ ด้วยการส่งคนไปวางยาลอบฆ่าพี่สาวของเธอ ที่แม้พระนางศุภยคยีจะหนีไปบวชชีแต่พระนางศุภยลัตก็ไม่ละเว้น
แน่นอนว่าความตายพระนางศุภยคยีผู้ที่ทุกข์ทนแทบใจสลายย่อมหนีไม่พ้นพระนางอเลนันดอ ที่เห็นน้องสาวมาฆ่าพี่สาวร่วมอุทรเดียวกันได้อย่างเลือดเย็น

ใครหลายๆคนบอกว่านี่เป็นกรรมสนองของพระนางอเลนันดอ แต่เป็นกรรมที่มันช่างไม่ยุติกรรมเอาเสียเลย เพราะความตายดันไปตกกับพระนางศุภยคยีผู้พี่ที่เป็นคนดีแทน
จากเหตุการณ์ครั้งนี้พระนางอเลนันดอได้ทราบถึงความร้ายกาจของพระราชธิดาของนาง ซึ่งสุดท้ายแล้วอำนาจที่พระนางอเลนันดอใช้ความชั่วร้ายก่อกรรมทำเข็ญมา กลายเป็นธิดาของนางชุบมือเปิบไปเชยชมแทน
ซูสีไทเฮาแห่งลุ่มอิระวดี
หลังจากที่พระนางศุภยลัตฆ่าพี่สาว ขึ้นเป็นพระมเหสีเอกอย่างเป็นทางการ และสามารถกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ บงการพระเจ้าสีป่อได้ พระนางศุภยลัตยิ่งเพิ่มความร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนในยุคต่อมาผู้คนได้ให้ฉายาเธอว่า “ซูสีไทเฮาแห่งลุ่มอิระวดี”(แต่ตำแหน่งจริงของเธอเปรียบได้กับฮองเฮา)

สำหรับแผนสุดชั่วร้ายลำดับต่อไปก็คือการกำจัดผู้ที่พระนางคิดว่าจะเป็นศัตรูเสี้ยนหนาม นั่นก็คือบรรดาพระราชวงศ์ใกล้ชิดด้วยกลัวจะแข็งข้อขึ้นมาแย่งชิงอำนาจ ซึ่งพวกนี้ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นพี่น้องร่วมพระบิดาเดียวกับนางนั่นเอง
แม้เหล่าเครือญาติจะมีอยู่นับร้อยพระองค์ แต่นั่นหาใช่เรื่องยากสำหรับพระนางศุภยลัตไม่ เพราะนางได้วางแผนสังหารหมู่ขึ้น ด้วยการขุดหลุมยาวไว้ภายในพระราชวังมัณฑะเลย์เพื่อรอรับบางสิ่งบางอย่าง
ครั้นเมื่อวันนองเลือดมาถึง ด้านหนึ่งพระนางใจร้ายได้จัดให้มีละครมาเล่นในวังชั้นในแบบมาราธอนข้ามวันข้ามคืนขึ้น เพื่อให้พระเจ้าสีป่อทอดพระเนตร ร่ำน้ำจัณฑ์ โดยไม่ต้องสนใจไยดีต่อเหตุการณ์ภายนอก ส่วนอีกด้านหนึ่งพระนางได้ให้เหล่าเพชฌฆาต คอยไล่ฆ่าเหล่าเครือญาติอย่างโหดเหี้ยมเลือดเย็น

ในการสังหารหมู่นั้น เดิมกำหนดให้ใช้ท่อนจันทน์ทุบ หากเป็นเจ้านายฝ่ายในให้ทุบที่ลูกกระเดือก เจ้านายฝ่ายนอกให้ทุบที่ต้นคอ จากนั้นให้โยนรวมลงไปในบ่อ บางคนแม้ยังไม่ตายคาที่ก็ถูกโยนลงไปทับกันตายในบ่อ แต่การฆ่าไม่ได้มีแค่นี้ เพราะมีพวกเพชฌฆาตที่เมามัน เมาเลือด ได้ทำการสังหารโหดอีกต่างๆนานาๆ โดยเฉพาะเหล่าเด็กๆนั้นตายอย่างน่าเวทนานัก หลายคนถูกกระชากมาจากอ้อมอกพ่อแม่แล้วจับสองขาเหวี่ยงฟาดกับกำแพงวังให้แดดิ้นไป...ช่างเป็นการสังหารอย่างโหดร้ายทารุณสุดจะเกินพรรณนา
ช่วงเวลาในการสังหารหมู่ หากเสียงร้องของผู้ถูกฆ่าดังโหยหวนเข้ามาในวังชั้นในจนที่สงสัยแก่พระเจ้าสีป่อ พระนางศุภยลัตที่คิดวางแผนมาอย่างแยบยลก็จะส่งสัญญาณให้วงปี่พาทย์อัดเสียงดนตรีระรัวให้ดังกระหึ่มเพื่อกลบเสียงหวีดร้องเหล่านั้น แถมบางครั้งนางยังหัวเราะขบขันเหมือนสะใจเหลือประมาณ
การสังหารหมู่กระทำควบคู่ไปกับการเล่นละครนอกแบบมาราธอน 3 วัน 3 คืน (เหมือนดูหนังที่ผู้ร้ายฆ่าคนไปมีซาวนด์แทรคประกอบควบคู่ไปด้วย) การฆ่าหมู่จึงสิ้นสุด ละครนอกจบเสร็จสิ้น ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างแยกย้าย

ทว่าเรื่องยังไม่จบเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นอีก 4-5 วัน ศพในหลุมที่ถูกโยนลงไปได้อืดบวมขึ้น พระนางศุภยลัตได้สั่งให้เอาช้างหลวงมาย่ำกลบ แต่อีกไม่กี่วันศพก็บวมอืดขึ้นมาอีก สุดท้ายจึงต้องนำศพใส่เกวียนหลายสิบเล่มบรรทุกไปเททิ้งยังแม่น้ำอิระวดี
ว่ากันว่าช่วงนี้เมืองมัณฑะเลย์ยามค่ำคืนร่ำระงมไปด้วยเสียงร้องโหยของวิญญาณพยาบาท ขณะที่ชาวบ้านนั้นต้องนอนคลุมโปงกันแทบทั้งเมือง
พม่าเสียเมือง
หลังเหตุการณ์สังหารหมู่สุดโหดแพร่กระจายไปทั่ว อังกฤษที่หาเหตุจ้องจะเข้ามายึดพม่าเหนืออยู่แล้วก็ได้รุกคืบเข้ามา
เมื่อผู้นำกล้ากระทำการอุกอาจ ชาวบ้านก็เอาอย่าง ราชธานีมัณฑะเลย์ช่วงนี้จึงไร้ขื่อไร้แป มีโจรผู้ร้ายชุกชุม ข้าวยากหมากแพง ชนชั้นปกครองกดขี่ขูดรีดประชาชน บ้านเมืองระส่ำระสาย ประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า จนบางส่วนต้องอพยพไปอยู่ในเขตพม่าใต้ยอมอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ แต่เรื่องเหล่านี้ดูเหมือนพระเจ้าสีป่อและพระนางศุภยลัตจะไม่รู้สึกรู้สา กลับใช้วิธีหาเงินเข้าคลังด้วยการออกหวยให้ประชาชนติด และพระเจ้าสีป่อก็นำเงินหวยที่รัฐเก็บได้มาถลุงเสวยสุข

ฝ่ายอังกฤษที่หาเหตุจ้องจะเข้ามายึดกรุงรัตนบุระอังวะอยู่แล้ว หลังเหตุการณ์สังหารหมู่สุดโหดก็ได้หาเหตุรุกคืบเข้าไปอีก ช่วงนั้นขุนนางพม่าผู้รักชาติบางคนได้พยายามกราบบังคมทูลเตือนภัยให้พระนางศุภยลัตรับรู้ในความน่ากลัวของกองทัพอังกฤษ แต่กลับไม่เป็นผล หนำซ้ำผู้นำความจริงไปกราบทูลยังถูกจับไปประหารอีก เพราะพระนางศุภยลัตหยิ่งผยองมั่นใจว่ากองทัพอังกฤษไม่สามารถทำอะไรกองทัพพม่าได้
แล้ววันล่มสลายก็มาถึงในตอนใกล้ค่ำของวันที่ 28 พ.ย. 2428 เมื่ออังกฤษยกกองทัพเข้ามาตามแม่น้ำอิระวดีและสามารถรุกประชิดมายึดพระราชวังได้ พร้อมกับเนรเทศพระเจ้าสีป่อ พระนางศุภยลัต พระนางอเลนันดอ และผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ให้ออกทางประตูผีอย่างไร้เกียรติ(ประตูผีเป็นประตูสำหรับหามศพออกไป)โดยให้นั่งเกวียนไปลงเรือต่อไปยังย่างกุ้ง เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองรัตนคีรี ประเทศอินเดีย ปิดฉากกรุงรัตนบุระอังวะลงในยุคนี้
บทส่งท้าย

หลังพม่าเสียเมืองให้อังกฤษ พระเจ้าสีป่อ พระนางศุภยลัต พระนางอเลนันดอ ถูกขับไสให้ไปอยู่อินเดียในฐานะเชลยราช
- พระนางอเลนันดอ หลังประทับอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งได้ทะเลาะกับพระนางศุภยลัตอย่างรุนแรงถึงขั้นตัดแม่ลูกกัน พระนางอเลนันดอขออนุญาตอังกฤษกลับมายังเมืองย่างกุ้ง และเสด็จทิวงคตที่นั่นในเวลาต่อมาอีกไม่นาน
- พระเจ้าสีป่อ ใช้ชีวิตอย่างเศร้าหมอง ไร้จุดมุ่งหมาย ในบ้านพักที่อินเดียเป็นเวลา 31 ก่อนเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2459 มีพระชนม์มายุได้ 58 ปี ถือเป็นอันสิ้นสุดยุคราชวงศ์(อลองพญา)ของพม่า

- พระนางศุภยลัต ทางการอังกฤษส่งกลับมาอยู่ที่ย่างกุ้งหลังสิ้นพระเจ้าสีป่อ โดยนางได้แต่งชุดขาวไว้ทุกข์ให้พระสวามีอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังคงถือยศศักดิ์เหมือนเมื่อครั้งเป็นราชินี ก่อนสินพระชนม์เมื่อ ปี พ.ศ. 2468 มีอายุได้ 68 ปี ทิ้งตำนานความโหดร้ายเลือดเย็นอย่างสุดแสนของพระนางศุภยลัต ทรราชย์แห่งลุ่มน้ำอิระวดีให้อนุชนคนรุ่นหลังได้รำลึกถึงอย่างเจ็บแค้นใจ
- 4 ม.ค. 2491 พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษอย่างเป็นทางการ และมีการปกครองอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
...และนี่ก็คือประวัติศาสตร์ยุคหนึ่งของพม่าที่แม้จะเป็นโศกนาฏกรรมรันทดสุดดราม่า แต่นี่ไยมิใช่สัจธรรมของการแย่งชิงอำนาจที่ไม่ว่าชายหรือหญิงหากลองได้เสพติดมัน ย่อมสามารถกระทำเรื่องเหนือความคาดหมายได้อย่างเหลือเชื่อ
แถมหลายครั้งยังเป็นการกระทำที่ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์จะกระทำได้

หมายเหตุ : บทความนี้ดัดแปลงเพิ่มเติมข้อมูลจากบทความ...“มัณฑะเลย์”...บนเสน่ห์ประวัติศาสตร์สุดดราม่า...ซึ่งบทความดังกล่าวอ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก หนังสือ “พม่าเสียเมือง” โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช และหนังสือ “ท่องแดนเจดีย์ไพรใน พุกามประเทศ” โดย ธีรภาพ โลหิตกุล

ละครเรื่อง “เพลิงพระนาง” มีตัวละครเทียบเคียงได้กับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์พม่าดังนี้(อ้างอิงจากหนังสือ “ท่องแดนเจดีย์ไพรใน พุกามประเทศ” โดย ธีรภาพ โลหิตกุล)
-พระเจ้ามินดง ในละครคือ เจ้าเมืองคุ้ม : เพลิงพระนาง 2539 แสดงโดย“สันติสุข พรหมศิริ” : เพลิงพระนาง 2560 แสดงโดย “เคลลี่-เคลลี่ ธนะพัฒน์”
-พระนางอเลนันดอ ในละครคือ เจ้านางอนัญทิพย์ : เพลิงพระนาง 2539 แสดงโดย “ชไมพร จตุรภุช” : เพลิงพระนาง 2560 แสดงโดย “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ”
-เจ้าชายสีป่อ ในละครคือ เจ้าม่านฟ้า : เพลิงพระนาง 2539 แสดงโดย “พลังธรรม กล่อมทองสุข” : เพลิงพระนาง 2560 แสดงโดย “บอส-โตนนท์ วงศ์บุญ”
-พระนางศุภยลัต ในละครคือ เจ้านางปิ่นมณี : เพลิงพระนาง 2539 แสดงโดย “วาสนา พูนผล” : เพลิงพระนาง 2560 แสดงโดย “เปรี้ยว-ทัศนียา การสมนุช”
“เพลิงพระนาง”
ละครเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากหนังสือ “เที่ยวพม่า” พระนิพนธ์ของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และ หนังสือ “พม่าเสียเมือง” ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เขียนบอกเล่าเรื่องราวของ ราชธานีสุดท้ายของราชวงศ์พม่าก่อนจะตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในยุคล่าอาณานิคม อันนำมาซึ่งการสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ของพม่าในเวลาต่อมา
เพลิงพระนาง เป็นละครเก่าที่นำมาสร้างใหม่ เคยถูกสร้างเป็นละครฉายทางทีวีมาแล้วครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2539 เพลิงพระนางยุคนั้นเต็มไปด้วยดาราชื่อดังจำนวนมาก มาในยุคนี้ เพลิงพระนางถือเป็นหนึ่งในละครฟอร์มยักษ์แห่งปี 2560 ที่อุดมไปด้วยดาราระดับในระดับบิ๊กเนมคับคั่งเช่นกัน แถมละครเรื่องนี้ยังมีดราม่ามาแห่งโลกโซเชียลมาช่วยสร้างกระแสตั้งแต่ละครยังไม่ออนแอร์
และล่าสุดกับดรามาร้อนข้ามชาติ พม่าเรียกร้องให้ยุติออกอากาศละคร “เพลิงพระนาง” เหตุบิดเบือนประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ดี ดราม่าแห่งโลกโซเชียล ดราม่านอกจอ ยังเทียบเท่าไม่ได้กับดราม่าทางประวัติศาสตร์ของพม่าที่แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมายาวนานก็ยังคงถูกกล่าวขานถึง โดยเฉพาะกับผู้ที่ไปเที่ยวเมือง“มัณฑะเลย์” ซึ่งไกด์ส่วนใหญ่ ทั้งไกด์ไทยและไกด์พม่า ต่างก็มักจะเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์สุดดราม่าแห่งมัณฑะเลย์ อดีตราชธานีเก่าของพม่าให้ลูกทัวร์(คนไทย)ฟังกันอย่างออกรสออกชาติ
พระราชวังมัณฑะเลย์
มัณฑะเลย์ปัจจุบันเป็นเมืองเจริญในอันดับต้นๆของพม่า และก็เป็นเมืองท่องเที่ยวในอันดับต้นๆของพม่า
เมืองมัณฑะเลย์มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ นำโดยไฮไลท์คือ พระมหามัยมุนี 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญสูงสุดของพม่า, ภูเขามัณฑะเลย์ จุดชมวิวทิวทัศน์อันงดงาม, วัดชเวนันดอ ที่มีอาคารประดับงานแกะสลักไม้ลวดลายวิจิตร, วัดกุโสดอ วัดที่มีจารึกพระไตรปิฎกบนแผ่นหินอ่อนจำนวน 729 แผ่น จากการจัดสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 ของโลกในสมัยพระเจ้ามินดง ฯลฯ
นอกจากนี้เมืองมัณฑะเลย์ยังมี“พระราชวังมัณฑะเลย์” อีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งใครที่มาเมืองนี้แล้ว ต้องหาโอกาสเข้าไปเที่ยวชม ไม่งั้นจะมาไม่ถึงมัณฑะเลย์โดยสมบูรณ์
พระราชวังมัณฑะเลย์ สร้างในสมัยพระเจ้ามินดง ด้วยการรื้อพระราชวังเดิมจากเมืองอมรปุระ(ราชธานีเก่า)มาสร้างใหม่ที่นี่ จากนั้นพระเจ้าสีป่อทรงโปรดให้ก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกหลายหลัง
พระราชวังมัณฑะเลย์องค์ดั้งเดิมก่อสร้างอย่างวิจิตร ประกอบด้วยอาคารไม้จำนวนมาก หลายหลังมีการสลักเสลา ปิดทอง อย่างสวยงาม แต่...อาคารพระราชวังเหล่านี้ได้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระราชวังมัณฑะเลย์ที่เห็นในปัจจุบันนี้จึงเป็นการจำลองของดั้งเดิมมาสร้างใหม่ให้นักเที่ยวได้เที่ยวชมกัน
อย่างไรก็ดีแม้พระราชวังมัณฑะเลย์ในปัจจุบันจะเป็นการจำลองของเก่ามาสร้างใหม่ แต่ว่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สำคัญของพระราชวังแห่งนี้ยังดำรงคงอยู่
โดยเฉพาะเรื่องราวประวัติศาสตร์สุดรันทดของพม่าที่มีเมืองมัณฑะเลย์เป็นราชธานี และมีพระราชวังมัณฑะเลย์เป็นสถานที่สำคัญ อันนำมาสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์สุดดราม่าก่อนสิ้นยุคกษัตริย์ของพม่า ซึ่งม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้นำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ “พม่าเสียเมือง” ที่เป็นการนำเอาข้อเท็จจริงและข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาเขียนบอกเล่าได้อย่างมีศิลปะ มีลีลาน่าอ่านน่าติดตาม ชนิดผมอ่านรวดเดียวภายในคืนเดียว
หนังสือพม่าเสียเมืองนับเป็นอิทธิพลสำคัญต่อละคนเรื่องเพลิงพระนาง ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เขียนถ้อยแถลงไขไว้ในตอนหนึ่งของคำนำว่า
....ทั้งที่ตั้งใจในขณะที่เขียนว่าจะเขียนให้เป็นพม่ามากที่สุดเท่าที่คนไทยจะทำได้ แต่เมื่อเขียนแล้วจึงรู้ว่าคนไทยเมื่อเขียนเรื่องพม่าก็มีใจเอนเอียงเป็นไทยได้มากเหมือนกัน...
ใครที่อยากรับรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วงสำคัญของพม่าที่ติดกลิ่นแบบไทยๆ สามารถไปหาอ่านได้ในหนังสือดังกล่าว
พระเจ้ามินดง
ในหนังสือพม่าเสียเมืองของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ที่ตัวละครล้วนต่างเป็นตัวจริงเสียงจริงในประวัติศาสตร์ของพม่านั้น มีตัวละครสำคัญอยู่ 4 คน ซึ่งถือเป็นตัวดำเนินเรื่องหลักจากรุ่นสู่รุ่น อันนำมาสู่เหตุการณ์พม่าเสียเมืองในที่สุดด้วยฤทธิ์ของเพลิงพระนาง ซึ่งผมขอหยิบยกประวัติศาสตร์อันสุดดราม่าของเมืองพม่ามาบอกเล่าสู่กันฟัง(ในเวอร์ชั่นรวบรัดตัดความ)แบบพอเป็นกระสาย
เริ่มตั้งแต่ ในยุคล่าอาณานิคมราวๆปี พ.ศ. 2367 ซึ่งจักวรรดิอังกฤษสามารถยึดครองพม่าตอนล่างแถบเมืองท่าย่างกุ้งไว้ได้
กรุงรัตนบุระอังวะหรือพม่าในยุคนั้น จึงจำเป็นต้องย้ายราชธานีจากกรุงอังวะมาอยู่ที่กรุงอมรปุระ โดยมีกษัตริย์คือ“พระเจ้าพะคันหมิ่น” ผู้มีความโลภ ปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์อย่างกดขี่ รีดนาทาเร้น เข่นฆ่าประชาชนเพื่อแย่งชิงทรัพย์สมบัติเอามาไว้เป็นของตน อันเป็นเหตุให้“พระเจ้ามินดง” ได้รวบรวมไพร่พล เข้าทำการยึดพระราชอำนาจ แล้วทรงย้ายราชธานีไปอยู่ ณ ที่แห่งใหม่
เหตุที่พระเจ้ามินดงทรงย้ายเมืองใหม่ มีทั้งเรื่องของความเชื่อและยุทธศาสตร์ โดยพระเจ้ามินดงทรงพระสุบิน(ฝัน)เห็นภูเขามัณฑะเลย์ที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงอมรปุระอยู่บ่อยๆ จึงให้โหรทำนายได้ข้อสรุปว่าควรจะสร้างราชธานีใหม่ขึ้นระหว่างภูเขามัณฑะเลย์กับแม่น้ำอิระวดี เพราะเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับอยู่ที่ด้านหลังพร้อมกับทรงตรัสว่า เมืองนี้ในอนาคตจะเจริญรุ่งเรืองเป็นแหล่งเผยแผ่ศาสนาพุทธที่สำคัญยิ่งในด้านตะวันออก
ส่วนในด้านยุทธศาสตร์นั้น เมืองใหม่มีทำเลที่เหมาะสม และอยู่ไกลจากแม่น้ำมากกว่าอมรปุระ ทำให้สามารถหนีเรือกลไฟของกองทัพอังกฤษที่จะรุกประชิดเข้ามาได้ในระดับหนึ่ง
นั่นจึงทำให้พระเจ้ามินดงที่มีศรัทธาแรงกล้าในพุทธศาสนา ทำการย้ายเมืองใหม่มาที่นี่ในช่วงราวปี พ.ศ. 2400 พร้อมกับตั้งชื่อเมืองตามภูเขาว่าเมือง“มัณฑะเลย์”
ในการย้ายเมืองใหม่แม้พระเจ้ามินดงจะได้ชื่อว่า “ธรรมกษัตริย์” แต่ก็ยังเชื่อถือในพิธีโบราณเรื่อง“อาถรรพ์เมือง” ดังนั้นการสร้างเมืองหลวงใหม่มัณฑะเลย์จึงมีการนำคนเป็นๆมาฝังถึง 52 คน ทั้งตามมุมเมือง ประตูเมือง ประตูพระราชวัง และ 4 มุมกำแพงเมือง รวมถึงใต้พระที่นั่งในท้องพระโรงก็ต้องฝังคนเป็นๆไว้ถึง 4 คนด้วย
...เรื่องนี้ไม่ว่าพระเจ้ามินดง โหร และผู้ปกครองในยุคนั้นจะเชื่อถืออย่างไร แต่ต่อมาในยุคหลังๆ ใครหลายๆคนต่างเชื่อว่านี่คือบาปกรรมที่ทำให้ราชธานีมัณฑะเลย์ที่สร้างอย่างยิ่งใหญ่ ต้องล่มสลายภายในเวลาเพียงแค่ 28 ปี เท่านั้น อีกทั้งพระราชวังมัณฑะเลย์ที่ประทับของกษัตริย์ก็ยังหนีไม่พ้นบ่วงกรรม ถูกทิ้งระเบิดราบคาบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2...
พระนางอเลนันดอ
แม้จะเป็นธรรมกษัตริย์ผู้เคร่งครัดในพุทธศาสนา แต่พระเจ้ามินดงก็ทรงมีพระมเหสีมากถึง 45 องค์(บ้างก็ว่า 54 องค์) มีพระอัครมเหสี(มเหสีเอก) คือ พระนาง“นัมมะดอ” ผู้ทรงธรรมไม่มักใหญ่ใฝ่สูง
ต่างจากพระมเหสีรอง คือพระนาง “อเลนันดอ”(พระนางซินผิ่วมะฉิ่น) ที่ทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วพระนางอเลนันดอสามารถเบียดแทรกตีตนขึ้นมาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้ามินดงและเป็นมเหสีเบอร์หนึ่งในทางพฤตินัย ก่อนที่จะดำเนินการวางแผนยึดกุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จชนิดที่พระเจ้ามินดงไม่กล้าหือ กล้าอือ
หลังพระเจ้ามินดงสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับมัณฑะเลย์ ทำนุบำรุงพุทธศาสนา สังคยานาพระไตรปิฎก ในช่วงครึ่งหลังของรัชกาลพระองค์เอาแต่หมกมุ่นกับการศาสนาจนทำให้การบริหารราชการแผ่นดินในช่วงนี้อ่อนแอ ไร้สมรรถภาพ เกิดการแก่งแย่งชิงอำนาจกันอย่างสูง จนพระเจ้ามินดงเกิดความเหนื่อยหน่าย วันๆจึงเอาแต่นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร ก่อนที่จะทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตไปอย่างรันทดใจ โดยยังมิได้แต่งตั้งผู้ใดมาสืบทอดราชบัลลังก์องค์ต่อไป ทิ้งอำนาจให้พระนางอเลนันดอปกครองเมืองพม่าตามใจชอบต่อไป
พระเจ้าสีป่อ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้พม่าเสียเมือง เรื่องนี้หากย้อนไปดูข้อเท็จจริงนับว่าน่าเห็นใจพระเจ้ามินดงไม่น้อย เพราะพระองค์เคยตั้งรัชทายาทไว้แล้ว แต่ถูกพระราชโอรสจากพระมเหสีองค์อื่นลอบสังหาร(แล้วยังพาลจะมาลอบสังหารพระเจ้ามินดงเพื่อขึ้นเป็นใหญ่ด้วย)
เมื่อไม่มีรัชทายาทสืบทอด พระนางอเลนันดอได้วางแผนผลักดัน“เจ้าชายสีป่อ” พระราชโอรสที่ประสูติจากพระมเหสีชาวไทใหญ่ ซึ่งเป็นคนหัวอ่อน อ่อนแอ หูเบา ไม่ฉลาดเฉลียว ให้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์หุ่นเชิด ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และนางคอยชักใยอยู่เบื้องหลังอีกที โดยหลังพระเจ้ามินดงสวรรคต พระนางอเลนันดอได้กำจัดพระราชโอรสที่มีสิทธ์ได้รับการสืบรัชทอดทายาทด้วยการไล่ล่า นำไปจับขัง และให้กินหวุ่นหมิ่นกี้ล็อบบี้เหล่าขุนนางให้เลือกเจ้าชายสีป่อขึ้นสืบราชบังลังก์ เป็น“พระเจ้าสีป่อ”(พระเจ้าสีป้อ,พระเจ้าธียอ) ในลำดับต่อไป
พระนางศุภยลัต
เมื่อผลักดันเจ้าชายสีป่อขึ้นครองบัลลังก์ได้แล้ว แผนการลำดับต่อไปก็คือการแต่งตั้งพระมเหสี พระนางจึงให้ธิดาของตนคือ“เจ้าฟ้าศุภยคยี”(องค์พี่) และ “เจ้าฟ้าศุภยลัต”(องค์น้อง) อภิเษกกับพระเจ้าสีป่อ (ทั้งๆที่มีสายเลือดพ่อเดียวกัน) โดยเจ้าฟ้าศุภยคยีมีตำแหน่งเป็นอัครมเหสี ส่วนเจ้าฟ้าศุภยลัตเป็นมเหสีรอง
พระนางศุภยคยีองค์พี่นั้นเป็นคนดี ต่างกันลิบกับองค์น้องคือ “พระนางศุภยลัต” ที่ร้ายกาจเหลือคณา
พระนางศุภยลัต หรือที่ฝรั่งตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “พระนางซุปเพลท” หรือ “พระนางชามแกง” ซึ่งเธอนอกจากจะร้ายแล้วยังจัดอยู่ในประเภท “มเหสีขี้หึงเหมือนหนึ่งเสือ”(ตามสำนวนของอาจารย์หม่อม) ภายหลังขึ้นเป็นมเหสีรอง พระนางได้หาทางกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจ ด้วยการส่งคนไปวางยาลอบฆ่าพี่สาวของเธอ ที่แม้พระนางศุภยคยีจะหนีไปบวชชีแต่พระนางศุภยลัตก็ไม่ละเว้น
แน่นอนว่าความตายพระนางศุภยคยีผู้ที่ทุกข์ทนแทบใจสลายย่อมหนีไม่พ้นพระนางอเลนันดอ ที่เห็นน้องสาวมาฆ่าพี่สาวร่วมอุทรเดียวกันได้อย่างเลือดเย็น
ใครหลายๆคนบอกว่านี่เป็นกรรมสนองของพระนางอเลนันดอ แต่เป็นกรรมที่มันช่างไม่ยุติกรรมเอาเสียเลย เพราะความตายดันไปตกกับพระนางศุภยคยีผู้พี่ที่เป็นคนดีแทน
จากเหตุการณ์ครั้งนี้พระนางอเลนันดอได้ทราบถึงความร้ายกาจของพระราชธิดาของนาง ซึ่งสุดท้ายแล้วอำนาจที่พระนางอเลนันดอใช้ความชั่วร้ายก่อกรรมทำเข็ญมา กลายเป็นธิดาของนางชุบมือเปิบไปเชยชมแทน
ซูสีไทเฮาแห่งลุ่มอิระวดี
หลังจากที่พระนางศุภยลัตฆ่าพี่สาว ขึ้นเป็นพระมเหสีเอกอย่างเป็นทางการ และสามารถกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ บงการพระเจ้าสีป่อได้ พระนางศุภยลัตยิ่งเพิ่มความร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนในยุคต่อมาผู้คนได้ให้ฉายาเธอว่า “ซูสีไทเฮาแห่งลุ่มอิระวดี”(แต่ตำแหน่งจริงของเธอเปรียบได้กับฮองเฮา)
สำหรับแผนสุดชั่วร้ายลำดับต่อไปก็คือการกำจัดผู้ที่พระนางคิดว่าจะเป็นศัตรูเสี้ยนหนาม นั่นก็คือบรรดาพระราชวงศ์ใกล้ชิดด้วยกลัวจะแข็งข้อขึ้นมาแย่งชิงอำนาจ ซึ่งพวกนี้ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นพี่น้องร่วมพระบิดาเดียวกับนางนั่นเอง
แม้เหล่าเครือญาติจะมีอยู่นับร้อยพระองค์ แต่นั่นหาใช่เรื่องยากสำหรับพระนางศุภยลัตไม่ เพราะนางได้วางแผนสังหารหมู่ขึ้น ด้วยการขุดหลุมยาวไว้ภายในพระราชวังมัณฑะเลย์เพื่อรอรับบางสิ่งบางอย่าง
ครั้นเมื่อวันนองเลือดมาถึง ด้านหนึ่งพระนางใจร้ายได้จัดให้มีละครมาเล่นในวังชั้นในแบบมาราธอนข้ามวันข้ามคืนขึ้น เพื่อให้พระเจ้าสีป่อทอดพระเนตร ร่ำน้ำจัณฑ์ โดยไม่ต้องสนใจไยดีต่อเหตุการณ์ภายนอก ส่วนอีกด้านหนึ่งพระนางได้ให้เหล่าเพชฌฆาต คอยไล่ฆ่าเหล่าเครือญาติอย่างโหดเหี้ยมเลือดเย็น
ในการสังหารหมู่นั้น เดิมกำหนดให้ใช้ท่อนจันทน์ทุบ หากเป็นเจ้านายฝ่ายในให้ทุบที่ลูกกระเดือก เจ้านายฝ่ายนอกให้ทุบที่ต้นคอ จากนั้นให้โยนรวมลงไปในบ่อ บางคนแม้ยังไม่ตายคาที่ก็ถูกโยนลงไปทับกันตายในบ่อ แต่การฆ่าไม่ได้มีแค่นี้ เพราะมีพวกเพชฌฆาตที่เมามัน เมาเลือด ได้ทำการสังหารโหดอีกต่างๆนานาๆ โดยเฉพาะเหล่าเด็กๆนั้นตายอย่างน่าเวทนานัก หลายคนถูกกระชากมาจากอ้อมอกพ่อแม่แล้วจับสองขาเหวี่ยงฟาดกับกำแพงวังให้แดดิ้นไป...ช่างเป็นการสังหารอย่างโหดร้ายทารุณสุดจะเกินพรรณนา
ช่วงเวลาในการสังหารหมู่ หากเสียงร้องของผู้ถูกฆ่าดังโหยหวนเข้ามาในวังชั้นในจนที่สงสัยแก่พระเจ้าสีป่อ พระนางศุภยลัตที่คิดวางแผนมาอย่างแยบยลก็จะส่งสัญญาณให้วงปี่พาทย์อัดเสียงดนตรีระรัวให้ดังกระหึ่มเพื่อกลบเสียงหวีดร้องเหล่านั้น แถมบางครั้งนางยังหัวเราะขบขันเหมือนสะใจเหลือประมาณ
การสังหารหมู่กระทำควบคู่ไปกับการเล่นละครนอกแบบมาราธอน 3 วัน 3 คืน (เหมือนดูหนังที่ผู้ร้ายฆ่าคนไปมีซาวนด์แทรคประกอบควบคู่ไปด้วย) การฆ่าหมู่จึงสิ้นสุด ละครนอกจบเสร็จสิ้น ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างแยกย้าย
ทว่าเรื่องยังไม่จบเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นอีก 4-5 วัน ศพในหลุมที่ถูกโยนลงไปได้อืดบวมขึ้น พระนางศุภยลัตได้สั่งให้เอาช้างหลวงมาย่ำกลบ แต่อีกไม่กี่วันศพก็บวมอืดขึ้นมาอีก สุดท้ายจึงต้องนำศพใส่เกวียนหลายสิบเล่มบรรทุกไปเททิ้งยังแม่น้ำอิระวดี
ว่ากันว่าช่วงนี้เมืองมัณฑะเลย์ยามค่ำคืนร่ำระงมไปด้วยเสียงร้องโหยของวิญญาณพยาบาท ขณะที่ชาวบ้านนั้นต้องนอนคลุมโปงกันแทบทั้งเมือง
พม่าเสียเมือง
หลังเหตุการณ์สังหารหมู่สุดโหดแพร่กระจายไปทั่ว อังกฤษที่หาเหตุจ้องจะเข้ามายึดพม่าเหนืออยู่แล้วก็ได้รุกคืบเข้ามา
เมื่อผู้นำกล้ากระทำการอุกอาจ ชาวบ้านก็เอาอย่าง ราชธานีมัณฑะเลย์ช่วงนี้จึงไร้ขื่อไร้แป มีโจรผู้ร้ายชุกชุม ข้าวยากหมากแพง ชนชั้นปกครองกดขี่ขูดรีดประชาชน บ้านเมืองระส่ำระสาย ประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า จนบางส่วนต้องอพยพไปอยู่ในเขตพม่าใต้ยอมอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ แต่เรื่องเหล่านี้ดูเหมือนพระเจ้าสีป่อและพระนางศุภยลัตจะไม่รู้สึกรู้สา กลับใช้วิธีหาเงินเข้าคลังด้วยการออกหวยให้ประชาชนติด และพระเจ้าสีป่อก็นำเงินหวยที่รัฐเก็บได้มาถลุงเสวยสุข
ฝ่ายอังกฤษที่หาเหตุจ้องจะเข้ามายึดกรุงรัตนบุระอังวะอยู่แล้ว หลังเหตุการณ์สังหารหมู่สุดโหดก็ได้หาเหตุรุกคืบเข้าไปอีก ช่วงนั้นขุนนางพม่าผู้รักชาติบางคนได้พยายามกราบบังคมทูลเตือนภัยให้พระนางศุภยลัตรับรู้ในความน่ากลัวของกองทัพอังกฤษ แต่กลับไม่เป็นผล หนำซ้ำผู้นำความจริงไปกราบทูลยังถูกจับไปประหารอีก เพราะพระนางศุภยลัตหยิ่งผยองมั่นใจว่ากองทัพอังกฤษไม่สามารถทำอะไรกองทัพพม่าได้
แล้ววันล่มสลายก็มาถึงในตอนใกล้ค่ำของวันที่ 28 พ.ย. 2428 เมื่ออังกฤษยกกองทัพเข้ามาตามแม่น้ำอิระวดีและสามารถรุกประชิดมายึดพระราชวังได้ พร้อมกับเนรเทศพระเจ้าสีป่อ พระนางศุภยลัต พระนางอเลนันดอ และผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ให้ออกทางประตูผีอย่างไร้เกียรติ(ประตูผีเป็นประตูสำหรับหามศพออกไป)โดยให้นั่งเกวียนไปลงเรือต่อไปยังย่างกุ้ง เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองรัตนคีรี ประเทศอินเดีย ปิดฉากกรุงรัตนบุระอังวะลงในยุคนี้
บทส่งท้าย
หลังพม่าเสียเมืองให้อังกฤษ พระเจ้าสีป่อ พระนางศุภยลัต พระนางอเลนันดอ ถูกขับไสให้ไปอยู่อินเดียในฐานะเชลยราช
- พระนางอเลนันดอ หลังประทับอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งได้ทะเลาะกับพระนางศุภยลัตอย่างรุนแรงถึงขั้นตัดแม่ลูกกัน พระนางอเลนันดอขออนุญาตอังกฤษกลับมายังเมืองย่างกุ้ง และเสด็จทิวงคตที่นั่นในเวลาต่อมาอีกไม่นาน
- พระเจ้าสีป่อ ใช้ชีวิตอย่างเศร้าหมอง ไร้จุดมุ่งหมาย ในบ้านพักที่อินเดียเป็นเวลา 31 ก่อนเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2459 มีพระชนม์มายุได้ 58 ปี ถือเป็นอันสิ้นสุดยุคราชวงศ์(อลองพญา)ของพม่า
- พระนางศุภยลัต ทางการอังกฤษส่งกลับมาอยู่ที่ย่างกุ้งหลังสิ้นพระเจ้าสีป่อ โดยนางได้แต่งชุดขาวไว้ทุกข์ให้พระสวามีอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังคงถือยศศักดิ์เหมือนเมื่อครั้งเป็นราชินี ก่อนสินพระชนม์เมื่อ ปี พ.ศ. 2468 มีอายุได้ 68 ปี ทิ้งตำนานความโหดร้ายเลือดเย็นอย่างสุดแสนของพระนางศุภยลัต ทรราชย์แห่งลุ่มน้ำอิระวดีให้อนุชนคนรุ่นหลังได้รำลึกถึงอย่างเจ็บแค้นใจ
- 4 ม.ค. 2491 พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษอย่างเป็นทางการ และมีการปกครองอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
...และนี่ก็คือประวัติศาสตร์ยุคหนึ่งของพม่าที่แม้จะเป็นโศกนาฏกรรมรันทดสุดดราม่า แต่นี่ไยมิใช่สัจธรรมของการแย่งชิงอำนาจที่ไม่ว่าชายหรือหญิงหากลองได้เสพติดมัน ย่อมสามารถกระทำเรื่องเหนือความคาดหมายได้อย่างเหลือเชื่อ
แถมหลายครั้งยังเป็นการกระทำที่ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์จะกระทำได้
หมายเหตุ : บทความนี้ดัดแปลงเพิ่มเติมข้อมูลจากบทความ...“มัณฑะเลย์”...บนเสน่ห์ประวัติศาสตร์สุดดราม่า...ซึ่งบทความดังกล่าวอ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก หนังสือ “พม่าเสียเมือง” โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช และหนังสือ “ท่องแดนเจดีย์ไพรใน พุกามประเทศ” โดย ธีรภาพ โลหิตกุล
ละครเรื่อง “เพลิงพระนาง” มีตัวละครเทียบเคียงได้กับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์พม่าดังนี้(อ้างอิงจากหนังสือ “ท่องแดนเจดีย์ไพรใน พุกามประเทศ” โดย ธีรภาพ โลหิตกุล)
-พระเจ้ามินดง ในละครคือ เจ้าเมืองคุ้ม : เพลิงพระนาง 2539 แสดงโดย“สันติสุข พรหมศิริ” : เพลิงพระนาง 2560 แสดงโดย “เคลลี่-เคลลี่ ธนะพัฒน์”
-พระนางอเลนันดอ ในละครคือ เจ้านางอนัญทิพย์ : เพลิงพระนาง 2539 แสดงโดย “ชไมพร จตุรภุช” : เพลิงพระนาง 2560 แสดงโดย “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ”
-เจ้าชายสีป่อ ในละครคือ เจ้าม่านฟ้า : เพลิงพระนาง 2539 แสดงโดย “พลังธรรม กล่อมทองสุข” : เพลิงพระนาง 2560 แสดงโดย “บอส-โตนนท์ วงศ์บุญ”
-พระนางศุภยลัต ในละครคือ เจ้านางปิ่นมณี : เพลิงพระนาง 2539 แสดงโดย “วาสนา พูนผล” : เพลิงพระนาง 2560 แสดงโดย “เปรี้ยว-ทัศนียา การสมนุช”