ถ้าพูดถึงเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศฝรั่งเศส หลายคนต้องนึกถึง “ปารีส” อันเป็นเมืองหลวงและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก แต่ที่ฝรั่งเศสนั้นก็ไม่ได้มีแค่ปารีสที่เป็นจุดมุ่งหมายในการท่องเที่ยวเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายๆ เมืองที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจในงามงดงามของสถาปัตยกรรมที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร อย่างเช่นใน “แคว้นอาลซัส” (Alsace) ทางตะวันออกของฝรั่งเศส
“แคว้นอาลซัส” (Alsace) เป็นหนึ่งใน 26 แคว้นของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่บริเวณพรมแดนทางทิศตะวันออกของฝรั่งเศส และทิศตะวันตกของแม่น้ำไรน์ ติดกับประเทศเยอรมนีและสวิสเซอร์แลนด์ เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน แต่ต่อมาฝรั่งเศสและเยอรมันผลัดกันครอบครองแคว้นนี้เรื่อยมา จนสุดท้ายได้อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส
แต่เนื่องด้วยอิทธิพลของทางสองประเทศที่มีอยู่ในแคว้นแห่งนี้ทำให้ที่นี่มีสองวัฒนธรรมที่ผสมผสานรวมกัน รวมถึงในเรื่องของภาษา ที่ใช้กันทั้งภาษาเยอรมันและภาษาฝรั่งเศส
สำหรับเมืองหลวงของแคว้นนี้ก็คือเมือง “สตราซบูร์ก” (Strasbourg) อันเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีความสำคัญตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมกันไม่ขาดสาย
เมืองสตราซบูร์กเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีแม่น้ำไหลผ่าน แบ่งออกเป็นเขตเมืองเก่าและเขตเมืองใหม่ ซึ่งเขตเมืองเก่าเรียกว่า Grande Île (กรอง อิลล์) จะมีแม่น้ำล้อมรอบเหมือนเป็นเกาะ และเขตเมืองเก่านี้ก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย
ส่วนจุดท่องเที่ยวในเมืองสตราซบูร์ก หากจะเที่ยวในเขตเมืองเก่าก็สามารถเดินเล่นชมเมืองไปได้เรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ “จัตุรัสกลางเมือง” ที่เหมือนเป็นศูนย์กลางในการตั้งต้นชมเมือง บริเวณนี้จะมีทั้งร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต และเป็นจุดขึ้นรถบัสและรถรางหลายสาย
เดินมาจากจัตุรัสกลางเมืองไม่ไกลมากนักก็จะเป็นที่ตั้งของ “มหาวิหารสตราซบูร์ก” หรือ “อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งสตราซบูร์ก” (Cathédrale Notre-Dame de Strasbourg) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางเมือง เดิมสร้างเป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ ต่อมาถูกไฟไหม้เสียหายมากจึงมีการบูรณะใหม่และกลายเป็นศิลปะแบบกอธิค
เคยมีการบันทึกไว้ว่ามหาวิหารแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงที่สุดในโลก ในช่วงปี ค.ศ.1647-1874 ซึ่งในปัจจุบันเป็นวิหารที่สูงที่สุดอันดับหกของโลก และยังถือเป็นวิหารที่สูงที่สุดที่สร้างในยุคกลางที่ยังคงสภาพอยู่จนถึงปัจจุบัน และด้วยความเก่าแก่งดงามนี้ทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
หากมองมายังมหาวิทหารแห่งนี้ จะเห็นหอระฆังซึ่งเป็นยอดของมหาวิหารตั้งตระหง่ายอยู่ เดิมทีนั้นมีความต้องการสร้างยอดมหาวิหารทั้งสองข้าง แต่เนื่องจากในครั้งแรกที่สร้างแล้วโบสถ์ห็เกิดการทรุดตัว จึงต้องระงับการสร้างยอดที่สองลงไป จนกลายเป็นยอดมหาวิหารยอดเดียวที่ตั้งเป็นเอกลักษณ์ ส่วนภายในนั้นก็ประดับประดาด้วยกระจกสีสันสวยงาม และยังมีนาฬิกาดาราศาสตร์ อายุกว่า 500 ปี ให้ได้ชมกันด้วย
จากมหาวิหาร ก็เดินเล่นออกมาชมตึกรามบ้านช่องของเมืองไปเรื่อยๆ เลาะเลียบแม่น้ำสายเล็กๆ มายัง “Petite France” เขตเมืองเก่าแก่ที่สุดที่สามารถนับย้อนไปได้ถึงต้นศตวรรษที่ 12 เดิมคนส่วนใหญ่ในย่านนี้ทำอาชีพประมง ฟอกหนัง และทำโรงโม่แป้ง แต่ปัจจุบันก็กลายมาเป็นย่านท่องเที่ยว เปิดร้านอาหาร ที่พัก และร้านขายของที่ระลึก เนื่องจากเสน่ห์ของบ้านไม้แบบยุโรปที่ทาสีสันสวยงาม แบบที่เรียกว่า “Timber Framing” หรือแปลได้ว่าเป็นบ้านกรอบไม้ บ้านบางหลังมีอายุ 400-500 ปี การสร้างก็ใช้ไม้มาตีกรอบก่อนแล้วก็โบกปูนไปตามช่อง มีการประดับประดาหน้าบ้านด้วยดอกไม้ และของตกแต่งกระจุกกระจิก กับบรรยากาศเงียบสงบที่ริมคลอง ทำให้กลายเป็นเมืองเล็กๆ แบบโรแมนติกที่สามารถเดินเล่นชมเมืองกันได้ทั้งวัน
อีกหนึ่งเมืองสวยโรแมนติกในแคว้นอาลซัส นั่นก็คือ “กอลม่า” (Colmar) ที่นั่งรถไฟออกจากเมืองสตราซบูร์กมาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว
กอลม่าถือว่าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านความโรแมนติกอีกเมืองหนึ่งของฝรั่งเศส ตั้งอยู่ห่างจากเมืองสตราซบูร์กไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 64 กิโลเมตร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก และยังได้รับฉายาว่าเป็น “ลิตเติ้ลเวนิส” ด้วยความสวยงามของบ้านเรือนสไตล์ Timber Framing ที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมน้ำ โดยเฉพาะในตัวเมืองเก่าที่มีทั้งบ้านแบบโบราณ ร้านค้า โบสถ์ พิพิธภัณฑ์ ที่ยังคงสภาพเหมืองได้เดินเล่นอยู่ในยุคกลาง
การเที่ยวในเมืองกลอม่า สามารถเดินเที่ยวลัดเลาะตามตรอกซอกซอยได้เลย หรือจะใช้บริการรถม้า หรือรถไฟขนาดเล็กในการเยี่ยมชมเมืองก็ได้ ภายในเมืองนั้นมีจุดสำคัญหลายแห่ง อาทิ “โบสถ์เซนต์มาร์ติน” (St. Martin’s Church) ซึ่งเป็นโบสถ์ประจำเมืองสร้างขึ้นจากหินสีชมพูทั้งหลัง “La Petite Venise” เป็นจุดถ่ายรูปริมคลองที่มีบ้านเรือนสวยๆ อยู่ทั้งสองข้างทาง ให้บรรยากาศที่เงียบสงบและโรแมนติก
ภายในเมืองกอลม่ายังเต็มไปด้วยร้านรวงน่ารักๆ มีทั้งร้านขายของที่ระลึก ขายของประดับตกแต่งแบบโฮมเมด มีร้านอาหาร คาเฟ่ และแหล่งชอปปิ้งเล็กๆ ให้เดินชมกันได้เพลินๆ
นอกจากนี้ กอลม่ายังได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งไวน์แห่งอาลซัส เรียกว่าใครมาเมืองนี้ก็ต้องมาชิมไวน์ขาวอันเลื่องชื่อ รวมถึงยังสามารถออกไปชมไร่องุ่นที่นอกเมืองและในบริเวณใกล้เคียง เนื่องจากพื้นที่ในแถบนี้มีการปลูกองุ่นและมีอุตสาหกรรมการทำไวน์มากมาย
อย่างที่หมู่บ้าน “ริคเวียร์” (Riquewihr) ที่อยู่ห่างจากกอลม่าราว 15 กิโลเมตร ซึ่งระหว่างทางนั้นก็จะมีหมู่บ้าน และไร่องุ่นขนาดใหญ่ให้ได้เห็นกันตลอดทาง
“ริคเวียร์” เป็นเมืองในยุคกลางที่มีกำแพงโอบลอบมิดชิด ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศส และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกอีกด้วย
เนื่องจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ริคเวียร์ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก ทำให้ที่นี่ยังคงรักษาสภาพบ้านเรือนแบบเก่าๆ เอาไว้ได้มาก รวมถึงการรักษาอาชีพแบบดั้งเดิม ได้แก่ การทำไวน์ ทำขนมท้องถิ่น และงานฝีมือ ทำให้หมู่บ้านนี้ยังคงมีเสน่ห์แบบยุคกลาง มีบ้านเรือนสวยๆ ที่เมื่อเดินชมแล้วก็รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในเทพนิยายแบบยุโรป
ทางเข้าหมู่บ้านจากด้านหน้าถนน สามารถเดินลอดผ่านศาลาว่าการเข้าไปด้านในได้เลย คล้ายกับเดินลอดผ่านประตูเมืองเข้ามาด้านใน ตรอกซอกซอยของหมู่บ้านนี้เป็นซอยเล็กๆ มีถนนเส้นกลางเป็นเส้นหลักที่สามารถเดินทะลุเชื่อมถึงกันได้ สองข้างทางก็เป็นบ้านเรือนแบบ Timber Framing ที่ทาสีสันสดใส ตกแต่งด้วยดอกไม้สวยๆ และของประดับเล็กๆ น่ารัก และเมื่อเดินตามถนนสายกลางไปจนสุดประตูเมือง ก็สามารถทะลุออกด้านหลัง เดินขึ้นเนินไปชมไร่องุ่นที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาได้ด้วย
นี่เป็นสามเมืองเล็กๆ แต่น่ารักในแคว้นอาลซัส ประเทศฝรั่งเศส เป็นอีกจุดหมายปลายทางที่แสนจะโรแมนติกไม่น้อย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com