โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
“สุขที่สุด@นครพนม”
เป็นสโลแกนใหม่ของจังหวัดนครพนม หลังจากที่จังหวัดนี้ได้รับตำแหน่งแชมป์จังหวัดที่มีความสุขที่สุดในประเทศไทย จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี พ.ศ. 2556
สำหรับจังหวัดนครพนม แม้ที่ผ่านๆมา(หรือแม้กระทั่งในวันนี้)จะถูกหลายๆคนมองข้าม หรือมองเป็นเมืองท่องเที่ยวรอง แต่หากว่าใครได้มีโอกาสมาละเลียดเที่ยวที่นครพนมก็จะพบว่าเมืองนี้มีเสน่ห์อันชวนเที่ยวไม่น้อย ขณะที่ตัวผมเองนั้นชื่นชอบมากเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะมนต์เสน่ห์ของความเป็นเมืองริมฝั่งโขงอันสงบงาม น่าอยู่ อากาศดี มีธรรมชาติร่มรื่น ผู้คนมีน้ำมิตรไมตรี อันส่งผลสำคัญต่อการคว้าแชมป์จังหวัดแห่งความสุข
แน่นอนว่าหากพูดถึงไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวของนครพนม เดิมนั้นมี “พระธาตุพนม” สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของเมืองไทย กับประเพณี “ไหลเรือไฟ”ในช่วงวันออกพรรษาเป็น 2 ไฮไลท์เด็ด เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้คนมาเที่ยวที่เมืองนี้กันเป็นจำนวนมาก
มาวันนี้นครพนมมีไฮไลท์ใหม่ คือ “พญาศรีสัตตนาคราช” ที่ถือเป็นแลนมาร์กสำคัญริมฝั่งโขงของเมืองนครพนม ที่แม้จะเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน แต่ว่าก็มีผู้สนใจเดินทางมาสักการะเที่ยวชมในความงามของประติมากรรมพญานาคองค์นี้กันเป็นจำนวนมาก
งดงามพญาศรีสัตตนาคราชริมฝั่งโขง
สำหรับพญาศรีสัตตนาคราช เชื่อกันว่าเป็นพญานาคผู้สั่งสมบารมีแก่กล้ามีอิทธิฤทธิ์ล้ำเลิศ และเป็นผู้ให้กำเนิดแม่น้ำ “อุรงคนที” หรือ “แม่น้ำโขง” ในปัจจุบัน (ข้อมูลจากป้ายที่เขียนบอกไว้ข้างๆประติมากรรมพญาศรีสัตตนาคราช)
ด้วยเหตุนี้ทางจังหวัดนครพนมจึงได้ดำเนินการสร้างประติมากรรมพญาศรีสัตตนาคราชขึ้น พร้อมลานพญาศรีสัตตนาคราช เพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่พักผ่อนหยอนใจ และเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของจังหวัดนครพนม
ประติมากรรมพญาศรีสัตตนาคราช เป็นรูปพญานาคขดหาง 7 เศียร ประดิษฐานบนแท่นฐานแปดเหลี่ยม ตั้งเด่นสง่าอยู่ริมฝั่งโขง บริเวณจุดเชื่อมระหว่างถนนสุนทรวิจิตรและถนนนิตตโย
พญาศรีสัตตนาคราชตนนี้สร้างขึ้นด้วยแนวคิดว่า พญานาคกำลังโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำโขง มีปลายหางอยู่กลางสระน้ำ พร้อมน้ำพุรอบ 8 ทิศ เพื่อให้เห็นว่าพญานาคกำลังเลื้อยขึ้นมาจากแม่น้ำโขงเพื่อมาอยู่ที่ดินแดนแห่งความสุขแห่งนี้ โดยมีซุ้มลำตัวพญานาคเป็นลายโปร่งแสง แสดงการลอกคราบ สื่อถึงการละทิ้งหลุดสิ้นจากกิเลส ส่วนหัวมุดลงไปใต้ฐานแท่นประทับ แล้วโผล่เศียรขึ้นมาเป็นองค์พญาศรีสัตตนาคราช มีขนดลำตัว 3 ชั้น มี 7 เศียร ชูคอสง่างาม พ่นน้ำ และเศียรทะยานไปข้างหน้า สื่อความว่า เพื่อพัฒนานครพนมให้เจริญรุ่งเรืองและคงอยู่กับดินแดนแห่งนี้ตลอดไป
นอกจากนี้ยังมีป้ายข้อมูลเขียนบอกไว้(เพิ่มเติม)ที่ใกล้ๆองค์พญานาคสรุปความว่า...พญาศรีสัตตนาคราชนั้น มีลักษณะอ่อนโยนนุ่มนวลเปรียบดัง “หยิน”(ยิน) ส่วนเมอร์ไลอ้อนที่สิงคโปร์นั้นมีความแข็งแกร่งเปรียบดัง“หยาง” ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า พญาศรีสัตตนาคราชมีหน้าที่พิทักษ์องค์พระธาตุพนม ส่วนเหตุที่พญานาคต้องพ่นน้ำก็เพื่อความอุดมสมบูรณ์
ปั่นชมวิวริมฝั่งโขง
ด้วยความโดดเด่นงดงามขององค์พญาศรีสัตตนาคราช หลังจากที่มาชมความงามในเย็นของวันแรกที่ไปถึงยังนครพนมแล้ว ในเช้าวันรุ่งขึ้นผมกับเพื่อนๆจึงมีนัดมาชมพระอาทิตย์ขึ้นริมฝั่งโขง และปั่นจักรยานชมวิวทิวทัศน์ยามเช้าของที่นี่ ในเส้นทางเลาะเลียบริมฝั่งโขง ระยะทางประมาณ 5 กม. ซึ่งวันนี้ทางจังหวัดนครพนมได้จัดทำเส้นทางปั่นจักรยานริมฝั่งโขงไว้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ปัจจุบันทางจังหวัดนครพนม โดยนาย “สมชาย วิทย์ดำรงค์” ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ยังดำเนินการก่อสร้างเส้นทางจักรยานพิเศษ ในช่วง“หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง กองทัพเรือ” (นรข.กองทัพเรือ) เป็น“อุโมงค์นาคราช” ยาว 307 เมตร
อุโมงค์นาคราช เปรียบดังตัวพญานาคเลื้อยอยู่ริมฝั่งโขง ให้นักท่องเที่ยวได้ปั่นเข้าไปลอดในท้องพญานาคเพื่อความเป็นสิริมงคล(ความเชื่อเดียวกับการลอดท้องมังกรของคนจีน) ซึ่งถือเป็นเส้นทางสายพญานาคริมฝั่งโขงที่มีความเชื่อมโยงกันระหว่างองค์พญาศรีสัตตนาคราช และอุโมงค์นาคราชที่วันนี้กำลังอยู่ในช่วงดำเนินการก่อสร้างที่คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จในช่วงสงกรานต์ของปี 60 นี้
กลับมาที่เส้นทางปั่นในเช้านี้กันต่อ ทริปนี้เราปั่นกันแบบสบายๆในช่วงเช้าตรู่เลาะริมโขงไปตาม “ถนนสุนทรวิจิตร” ที่ถือเป็นเส้นทางหลักในการปั่นจักรยานชมวิวริมฝั่งโขงของจังหวัดนครพนม โดยหลังจากพวกเราตื่นกันแต่เช้ามืด ออกเดินทางจากที่พักมาเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ขึ้นริมฝั่งโขง มองเห็นวิวทิวทัศน์ยามแสงตะวันเรื่อเรืองของเมืองท่าแขก สปป.ลาว
จากนั้นเมื่อได้ฤกษ์คณะเราก็ค่อยๆปั่นแบบชิลล์ ชิลล์ ออกจากจุดสตาร์ทบริเวณลาน “พญาศรีสัตตนาคราช” ซึ่งในระหว่างทางจะผ่านจุดน่าสนใจต่างๆอันหลากหลาย โดยทางฝั่งสปป.ลาว(ฝั่งขวามือของเส้นทางปั่น)จะมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองท่าแขกที่งดงามไปด้วยแนวขุนเขาน้อย-ใหญ่ ทอดแนวตั้งตระหง่าน มองเห็นเป็นแนวสูง-ต่ำสลับไปมา บางช่วงมีแนวเขาซ้อนชั้นให้มิติลึกเข้าไปอีก
หลายๆคนเรียกวิวภูเขาริมโขงที่นี่ว่า “กุ้ยหลินเมืองลาว” หรือบ้างก็เรียกว่า “กุ้ยหลินริมโขง” เพราะเป็นวิวแม่น้ำโขงที่มีฉากหลังเป็นภูเขาแบบเมืองกุ้ยหลินเมืองจีน นับเป็นความสวยงามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันโดดเด่นไม่น้อยเลย ซึ่งวิวกุ้ยหลินริมโขงจะมีให้ชมไปตลอดการปั่นของผมในทริปนี้
หันมาดูสิ่งน่าสนใจ(ทางซ้ายมือ)ของบ้านเรากันบ้าง เมื่อปั่นเลยถัดไปจากองค์พญานาค จะพบกับ“ตลาดอินโดจีน”แหล่งชอปปิ้งสำคัญริมฝั่งโขงนครพนม
จากนั้นเป็น “วัดโอกาส(ศรีบัวบาน)”สถานที่ประดิษฐาน “พระติ้ว”-“พระเทียม” พระพุทธรูปคู่แฝด คู่บ้านคู่เมืองนครพนม
ส่วนถัดไปเป็น “หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์” ที่ชาวเวียดนามที่เคยอพยพมาอยู่เมืองไทยสร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวนครพนมเมื่อคราวย้ายกลับประเทศ ในปี พ.ศ. 2503
ในละแวกหอนาฬิกามีบ้านเรือนเก่าทรงสวยงามน่าถ่ายรูปอยู่หลายหลัง รวมถึงในเช้าวันนั้นเราปั่นไปทันช่วงที่พระกำลังเดินบิณฑบาตพอดี จึงไม่พลาดที่จะเก็บภาพความประทับใจเหล่านั้นกลับมาด้วย
หลัง(แอบ)พักเหนื่อยด้วยการจอดถ่ายรูปพระบิณฑบาตเมื่อปั่นถัดไปจะเป็น “โรงเรียนสุนทรวิจิตร”(บำรุงวิทยา) โรงเรียนที่มีตึกอาคารเก่าก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปชั้นเดียวสร้างเป็นแถวยาวดูสวยงาม
ส่วนอีกหนึ่งจุดน่าสนใจถัดไปคือ “พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม(หลังเก่า)” ที่สร้างในสไตล์ “เฟรนซ์โคโลเนียล” อันงดงาม ภายในจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนครพนม ประวัติการก่อสร้างอาคารหลังนี้ เรื่องราวการเสด็จจังหวัดนครพนมของในหลวงและพระราชินี รวมไปถึงงานประเพณีต่างๆของชาวนครพนม
มาถึงไฮไลท์จุดสุดท้าย(ของทริป) คือ “วัดนักบุญอันนาหนองแสง”(รองอาสนวิหารนักบุญอันนา) วัดในศาสนาคริสต์อายุเกือบร้อยปี สร้างขึ้นในปี 2469 โดยคุณพ่อเอดัวร์(เอทัวร์) นำลาภ อดีตอธิการโบสถ์
วัดนักบุญอันนาหนองแสงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยคริสต์เชื้อสายเวียดนามในอำเภอเมือง ตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิกมีหอคอยคู่ยอดแหลมโดดเด่น ในสมัยสงครามอินโดจีนโบสถ์หลังนี้ได้รับความเสียหายจากระเบิด ก่อนจะได้รับการบูรณะซ่อมแซมในภายหลัง
นอกจากโบสถ์อันสวยงามแล้ว ภายในบริเวณวัดยังมีต้นจาสมจุรีใหญ่ และมีอาคาร “มูลนิธิบาทหลวงเอดัวร์นำลาภ” ที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปให้เพลินพิศในความงาม ก่อนที่เราจะปั่นย้อนกลับมาทางเก่าสู่ที่พัก ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการปั่นย้อนกลับมาตามเส้นทางสายเดิม แต่ว่าบรรยากาศวิวทิวทัศน์ของ 2 ฝั่งโขง ก็เปลี่ยนแปรไปตามสภาพแสง
นับเป็นสีสันริมฝั่งโขงกลางเมืองนครพนมที่มากไปด้วยเสน่ห์ชวนสัมผัส และชวนให้เรากลับมาเยือนอยู่มิรู้เบื่อ...
***************************************
สามารถสอบถามข้อมูล สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในจังหวัดนครพนม เชื่อมโยงกับเส้นทางท่องเที่ยวปั่นเลาะริมโขง และ ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางไปในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในจังหวัดนครพนม เพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานนครพนม (พื้นที่รับผิดชอบ : สกลนคร นครพนม มุกดาหาร) โทร. 0-4251-3490 - 1
“สุขที่สุด@นครพนม”
เป็นสโลแกนใหม่ของจังหวัดนครพนม หลังจากที่จังหวัดนี้ได้รับตำแหน่งแชมป์จังหวัดที่มีความสุขที่สุดในประเทศไทย จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี พ.ศ. 2556
สำหรับจังหวัดนครพนม แม้ที่ผ่านๆมา(หรือแม้กระทั่งในวันนี้)จะถูกหลายๆคนมองข้าม หรือมองเป็นเมืองท่องเที่ยวรอง แต่หากว่าใครได้มีโอกาสมาละเลียดเที่ยวที่นครพนมก็จะพบว่าเมืองนี้มีเสน่ห์อันชวนเที่ยวไม่น้อย ขณะที่ตัวผมเองนั้นชื่นชอบมากเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะมนต์เสน่ห์ของความเป็นเมืองริมฝั่งโขงอันสงบงาม น่าอยู่ อากาศดี มีธรรมชาติร่มรื่น ผู้คนมีน้ำมิตรไมตรี อันส่งผลสำคัญต่อการคว้าแชมป์จังหวัดแห่งความสุข
แน่นอนว่าหากพูดถึงไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวของนครพนม เดิมนั้นมี “พระธาตุพนม” สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของเมืองไทย กับประเพณี “ไหลเรือไฟ”ในช่วงวันออกพรรษาเป็น 2 ไฮไลท์เด็ด เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้คนมาเที่ยวที่เมืองนี้กันเป็นจำนวนมาก
มาวันนี้นครพนมมีไฮไลท์ใหม่ คือ “พญาศรีสัตตนาคราช” ที่ถือเป็นแลนมาร์กสำคัญริมฝั่งโขงของเมืองนครพนม ที่แม้จะเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน แต่ว่าก็มีผู้สนใจเดินทางมาสักการะเที่ยวชมในความงามของประติมากรรมพญานาคองค์นี้กันเป็นจำนวนมาก
งดงามพญาศรีสัตตนาคราชริมฝั่งโขง
สำหรับพญาศรีสัตตนาคราช เชื่อกันว่าเป็นพญานาคผู้สั่งสมบารมีแก่กล้ามีอิทธิฤทธิ์ล้ำเลิศ และเป็นผู้ให้กำเนิดแม่น้ำ “อุรงคนที” หรือ “แม่น้ำโขง” ในปัจจุบัน (ข้อมูลจากป้ายที่เขียนบอกไว้ข้างๆประติมากรรมพญาศรีสัตตนาคราช)
ด้วยเหตุนี้ทางจังหวัดนครพนมจึงได้ดำเนินการสร้างประติมากรรมพญาศรีสัตตนาคราชขึ้น พร้อมลานพญาศรีสัตตนาคราช เพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่พักผ่อนหยอนใจ และเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของจังหวัดนครพนม
ประติมากรรมพญาศรีสัตตนาคราช เป็นรูปพญานาคขดหาง 7 เศียร ประดิษฐานบนแท่นฐานแปดเหลี่ยม ตั้งเด่นสง่าอยู่ริมฝั่งโขง บริเวณจุดเชื่อมระหว่างถนนสุนทรวิจิตรและถนนนิตตโย
พญาศรีสัตตนาคราชตนนี้สร้างขึ้นด้วยแนวคิดว่า พญานาคกำลังโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำโขง มีปลายหางอยู่กลางสระน้ำ พร้อมน้ำพุรอบ 8 ทิศ เพื่อให้เห็นว่าพญานาคกำลังเลื้อยขึ้นมาจากแม่น้ำโขงเพื่อมาอยู่ที่ดินแดนแห่งความสุขแห่งนี้ โดยมีซุ้มลำตัวพญานาคเป็นลายโปร่งแสง แสดงการลอกคราบ สื่อถึงการละทิ้งหลุดสิ้นจากกิเลส ส่วนหัวมุดลงไปใต้ฐานแท่นประทับ แล้วโผล่เศียรขึ้นมาเป็นองค์พญาศรีสัตตนาคราช มีขนดลำตัว 3 ชั้น มี 7 เศียร ชูคอสง่างาม พ่นน้ำ และเศียรทะยานไปข้างหน้า สื่อความว่า เพื่อพัฒนานครพนมให้เจริญรุ่งเรืองและคงอยู่กับดินแดนแห่งนี้ตลอดไป
นอกจากนี้ยังมีป้ายข้อมูลเขียนบอกไว้(เพิ่มเติม)ที่ใกล้ๆองค์พญานาคสรุปความว่า...พญาศรีสัตตนาคราชนั้น มีลักษณะอ่อนโยนนุ่มนวลเปรียบดัง “หยิน”(ยิน) ส่วนเมอร์ไลอ้อนที่สิงคโปร์นั้นมีความแข็งแกร่งเปรียบดัง“หยาง” ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า พญาศรีสัตตนาคราชมีหน้าที่พิทักษ์องค์พระธาตุพนม ส่วนเหตุที่พญานาคต้องพ่นน้ำก็เพื่อความอุดมสมบูรณ์
ปั่นชมวิวริมฝั่งโขง
ด้วยความโดดเด่นงดงามขององค์พญาศรีสัตตนาคราช หลังจากที่มาชมความงามในเย็นของวันแรกที่ไปถึงยังนครพนมแล้ว ในเช้าวันรุ่งขึ้นผมกับเพื่อนๆจึงมีนัดมาชมพระอาทิตย์ขึ้นริมฝั่งโขง และปั่นจักรยานชมวิวทิวทัศน์ยามเช้าของที่นี่ ในเส้นทางเลาะเลียบริมฝั่งโขง ระยะทางประมาณ 5 กม. ซึ่งวันนี้ทางจังหวัดนครพนมได้จัดทำเส้นทางปั่นจักรยานริมฝั่งโขงไว้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ปัจจุบันทางจังหวัดนครพนม โดยนาย “สมชาย วิทย์ดำรงค์” ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ยังดำเนินการก่อสร้างเส้นทางจักรยานพิเศษ ในช่วง“หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง กองทัพเรือ” (นรข.กองทัพเรือ) เป็น“อุโมงค์นาคราช” ยาว 307 เมตร
อุโมงค์นาคราช เปรียบดังตัวพญานาคเลื้อยอยู่ริมฝั่งโขง ให้นักท่องเที่ยวได้ปั่นเข้าไปลอดในท้องพญานาคเพื่อความเป็นสิริมงคล(ความเชื่อเดียวกับการลอดท้องมังกรของคนจีน) ซึ่งถือเป็นเส้นทางสายพญานาคริมฝั่งโขงที่มีความเชื่อมโยงกันระหว่างองค์พญาศรีสัตตนาคราช และอุโมงค์นาคราชที่วันนี้กำลังอยู่ในช่วงดำเนินการก่อสร้างที่คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จในช่วงสงกรานต์ของปี 60 นี้
กลับมาที่เส้นทางปั่นในเช้านี้กันต่อ ทริปนี้เราปั่นกันแบบสบายๆในช่วงเช้าตรู่เลาะริมโขงไปตาม “ถนนสุนทรวิจิตร” ที่ถือเป็นเส้นทางหลักในการปั่นจักรยานชมวิวริมฝั่งโขงของจังหวัดนครพนม โดยหลังจากพวกเราตื่นกันแต่เช้ามืด ออกเดินทางจากที่พักมาเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ขึ้นริมฝั่งโขง มองเห็นวิวทิวทัศน์ยามแสงตะวันเรื่อเรืองของเมืองท่าแขก สปป.ลาว
จากนั้นเมื่อได้ฤกษ์คณะเราก็ค่อยๆปั่นแบบชิลล์ ชิลล์ ออกจากจุดสตาร์ทบริเวณลาน “พญาศรีสัตตนาคราช” ซึ่งในระหว่างทางจะผ่านจุดน่าสนใจต่างๆอันหลากหลาย โดยทางฝั่งสปป.ลาว(ฝั่งขวามือของเส้นทางปั่น)จะมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองท่าแขกที่งดงามไปด้วยแนวขุนเขาน้อย-ใหญ่ ทอดแนวตั้งตระหง่าน มองเห็นเป็นแนวสูง-ต่ำสลับไปมา บางช่วงมีแนวเขาซ้อนชั้นให้มิติลึกเข้าไปอีก
หลายๆคนเรียกวิวภูเขาริมโขงที่นี่ว่า “กุ้ยหลินเมืองลาว” หรือบ้างก็เรียกว่า “กุ้ยหลินริมโขง” เพราะเป็นวิวแม่น้ำโขงที่มีฉากหลังเป็นภูเขาแบบเมืองกุ้ยหลินเมืองจีน นับเป็นความสวยงามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันโดดเด่นไม่น้อยเลย ซึ่งวิวกุ้ยหลินริมโขงจะมีให้ชมไปตลอดการปั่นของผมในทริปนี้
หันมาดูสิ่งน่าสนใจ(ทางซ้ายมือ)ของบ้านเรากันบ้าง เมื่อปั่นเลยถัดไปจากองค์พญานาค จะพบกับ“ตลาดอินโดจีน”แหล่งชอปปิ้งสำคัญริมฝั่งโขงนครพนม
จากนั้นเป็น “วัดโอกาส(ศรีบัวบาน)”สถานที่ประดิษฐาน “พระติ้ว”-“พระเทียม” พระพุทธรูปคู่แฝด คู่บ้านคู่เมืองนครพนม
ส่วนถัดไปเป็น “หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์” ที่ชาวเวียดนามที่เคยอพยพมาอยู่เมืองไทยสร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวนครพนมเมื่อคราวย้ายกลับประเทศ ในปี พ.ศ. 2503
ในละแวกหอนาฬิกามีบ้านเรือนเก่าทรงสวยงามน่าถ่ายรูปอยู่หลายหลัง รวมถึงในเช้าวันนั้นเราปั่นไปทันช่วงที่พระกำลังเดินบิณฑบาตพอดี จึงไม่พลาดที่จะเก็บภาพความประทับใจเหล่านั้นกลับมาด้วย
หลัง(แอบ)พักเหนื่อยด้วยการจอดถ่ายรูปพระบิณฑบาตเมื่อปั่นถัดไปจะเป็น “โรงเรียนสุนทรวิจิตร”(บำรุงวิทยา) โรงเรียนที่มีตึกอาคารเก่าก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปชั้นเดียวสร้างเป็นแถวยาวดูสวยงาม
ส่วนอีกหนึ่งจุดน่าสนใจถัดไปคือ “พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม(หลังเก่า)” ที่สร้างในสไตล์ “เฟรนซ์โคโลเนียล” อันงดงาม ภายในจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนครพนม ประวัติการก่อสร้างอาคารหลังนี้ เรื่องราวการเสด็จจังหวัดนครพนมของในหลวงและพระราชินี รวมไปถึงงานประเพณีต่างๆของชาวนครพนม
มาถึงไฮไลท์จุดสุดท้าย(ของทริป) คือ “วัดนักบุญอันนาหนองแสง”(รองอาสนวิหารนักบุญอันนา) วัดในศาสนาคริสต์อายุเกือบร้อยปี สร้างขึ้นในปี 2469 โดยคุณพ่อเอดัวร์(เอทัวร์) นำลาภ อดีตอธิการโบสถ์
วัดนักบุญอันนาหนองแสงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยคริสต์เชื้อสายเวียดนามในอำเภอเมือง ตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิกมีหอคอยคู่ยอดแหลมโดดเด่น ในสมัยสงครามอินโดจีนโบสถ์หลังนี้ได้รับความเสียหายจากระเบิด ก่อนจะได้รับการบูรณะซ่อมแซมในภายหลัง
นอกจากโบสถ์อันสวยงามแล้ว ภายในบริเวณวัดยังมีต้นจาสมจุรีใหญ่ และมีอาคาร “มูลนิธิบาทหลวงเอดัวร์นำลาภ” ที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปให้เพลินพิศในความงาม ก่อนที่เราจะปั่นย้อนกลับมาทางเก่าสู่ที่พัก ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการปั่นย้อนกลับมาตามเส้นทางสายเดิม แต่ว่าบรรยากาศวิวทิวทัศน์ของ 2 ฝั่งโขง ก็เปลี่ยนแปรไปตามสภาพแสง
นับเป็นสีสันริมฝั่งโขงกลางเมืองนครพนมที่มากไปด้วยเสน่ห์ชวนสัมผัส และชวนให้เรากลับมาเยือนอยู่มิรู้เบื่อ...
***************************************
สามารถสอบถามข้อมูล สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในจังหวัดนครพนม เชื่อมโยงกับเส้นทางท่องเที่ยวปั่นเลาะริมโขง และ ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางไปในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในจังหวัดนครพนม เพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานนครพนม (พื้นที่รับผิดชอบ : สกลนคร นครพนม มุกดาหาร) โทร. 0-4251-3490 - 1