ด้วยความโดดเด่นทั้งในเรื่องของ“ธรรมะ”และ“ธรรมชาติ” จังหวัดนครศรีธรรมราชจึงถูกยกให้เป็น “นครสองธรรม” จากโครงการ “12 เมืองต้องห้าม...พลาด” แคมเปญท่องเที่ยวสำคัญในปี พ.ศ. 2558 ของ“การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)”
และจากผลสำเร็จของโครงการเมืองต้องห้าม...พลาด ททท.จึงได้ต่อยอดโครงการดังกล่าวด้วยแคมเปญ“เมืองต้องห้าม...พลาดplus”(เมืองต้องห้าม...พลาดพลัส)ขึ้นในปี 2559 เพื่อเชื่อมโยงสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นของจังหวัดเมืองรองที่อยู่ติดกันหรือใกล้กัน และมีจุดเด่นที่สอดรับใกล้เคียงกัน
สำหรับจังหวัดนครศรีธรรมราชได้เชื่อมโยงกับจังหวัดพัทลุง ด้วยเส้นทางท่องเที่ยว“นครศรีธรรมราช plus พัทลุง” เพื่อพาไปสัมผัสในมนต์เสน่ห์ของดินแดนแห่งธรรมะและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติสวยๆงามๆ ตลอดจนศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิต อันชวนให้หลงรักและประทับใจไม่รู้ลืม
พระบรมธาตุเมืองนคร
หนึ่งในสิ่งไม่ควรพลาดสำหรับผู้มาเยือนนครศรีธรรมราชก็คือ การไปสักการะ“พระบรมธาตุเมืองนคร” ที่ประดิษฐานอยู่ที่ “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร” ถ.ราชดำเนิน ต.ในเมือง อ.เมือง
พระบรมธาตุเมืองนคร หรือ “พระมหาธาตุเมืองนคร” หรือ “พระบรมธาตุเจดีย์” ตามตำนานเล่าว่า สร้างขึ้นครั้งแรกประมาณ ปี พ.ศ. 854 ด้วยศิลปะแบบศรีวิชัย(มีลักษณะคล้ายพระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฎร์ธานี) ภายในบรรจุพระทันตธาตุ(ส่วนฟันของพระพุทธเจ้า)
ต่อมาในปี พ.ศ.1093 พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้สร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น พร้อมกับสร้างเจดีย์องค์ใหม่ทรงศาญจิครอบพระบรมธาตุองค์เดิม จากนั้น พ.ศ.1770 มีพระภิกษุจากลังกามาบูรณะองค์พระบรมธาตุให้เป็นแบบทรงลังกาหรือทรงโอคว่ำดังที่เห็นในปัจจุบัน มีความสูง 55.78 เมตร องค์ระฆังสูง 9.80 เมตร มีปล้องไฉน 52 ปล้อง
พระบรมธาตุเมืองนคร ได้รับการเรียกขานว่าเป็น “พระธาตุทองคำ” เนื่องจากปลียอดหุ้มด้วยทองคำเหลืองอร่าม ขณะที่ยามแสงแดดตกต้ององค์พระธาตุ เหลื่อมเงากลับทาบทอดไม่ถึงพื้น จนดูเหมือนพระธาตุไม่มีเงา จึงทำให้ได้รับการเรียกขานว่าเป็น“พระธาตุไร้เงา”อีกฉายาหนึ่ง
พระบรมธาตุเมืองนคร ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนครศรีธรรมราช เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของภาคใต้ และของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ซึ่งไม่เฉพาะแค่ชาวไทยเท่านั้น หากแต่เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ที่นิยมเดินทางมาสักการะบูชากันอย่างต่อเนื่อง
ทุกๆปีที่พระบรมธาตุเมืองนครจะมีการจัดงานประเพณีสำคัญนั่นก็คือ งาน“แห่ผ้าขึ้นธาตุ”ขึ้น ปีละ 2 ครั้ง ช่วงวันมาฆบูชา(15 ค่ำ เดือน 3) และช่วงวันวิสาขบูชา(15ค่ำ เดือน 6) โดยจะมีการนำผ้า“พระบฏ” ผ้าผืนยาว(นิยมใช้สีขาว เหลือง แดง)ไปห่มรอบองค์พระธาตุ พร้อมจัดขบวนแห่แหนกันอย่างยิ่งใหญ่
ขณะที่สิ่งน่าสนใจอื่นๆภายในวัดพระมหาธาตุฯก็มี “พระวิหารหลวง”ที่ภายในประดิษฐานพระศรีศากยมุนีศรีธรรมราชอันงดงามเปี่ยมศรัทธา, “วิหารเกษตร”ที่เรียงรายไปด้วยองค์พระพุทธรูปประทับยืน-นั่ง อยู่มากมาย และ“วิหารม้า” ที่โดดเด่นไปด้วยภาพพระม้าขนาดใหญ่ องค์พระยืน และเท้าขัตตุคาม-รามเทพ ที่เชื่อว่าคือท้าวจตุคามรามเทพอันลือลั่น
เขาเล่าว่า...พระแอด-ปวดหาย ไอ้ไข่-ขอได้
ภายในวัดพระมหาธาตุฯยังมีอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์น่าสนใจ ที่วันนี้กำลังมาแรง มีคนเดินทางมากราบไหว้ขอพรเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นหนึ่งในโครงการ “เขาเล่าว่า...” ของ ททท. นั่นก็คือ “พระแอด” ที่ประดิษฐานอยู่ใน “วิหารพระมหากัจจายนะ(พระแอด)”
พระแอด หรือ “พระกัจจายนะ” เป็นพระพุทธรูปสีทองอร่าม พุทธลักษณะอ้วนท้วนสมบูรณ์ ใบหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมเมตตา เชื่อกันว่าผู้ที่มากราบไหว้ขอพรท่าน พระแอดจะช่วยในเรื่องสุขภาพ ช่วยให้หายจากความเจ็บไข้ได้ป่วย โดยเฉพาะอาการปวดเมื่อย ปวดเอว ปวดหลัง
นอกจากพระแอดแล้ว จังหวัดนครศรีธรรมราชยังมี “ไอ้ไข่-ขอได้” ที่วัดเจดีย์ อ.สิชล เป็นอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโครงการ“เขาเล่าว่า...” ของ ททท.
ไอ้ไข่ (คำว่าไอ้ไข่เป็นคำที่ชาวบ้านในภาคใต้มักใช้เรียกเด็กชายตัวเล็กๆ) หรือ“ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์” (บางคนเรียกว่า “ตาไข่” แทนคำว่า “ไอ้” เพื่อแสดงความเคารพ) เชื่อกันว่าเป็นวิญญาณเด็กศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถมากราบไหว้ขอพรจากท่านได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ขอเรื่องโชคลาภ ขอให้ร่ำให้รวย ขอให้ค้าขายได้กำไรดีเงินทองไหลมาเทมา ฯลฯ
นับเป็นอีกหนึ่งแรงศรัทธาแห่งนครศรีธรรมราชที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์
นอกจากพระบรมธาตุเมืองนครและวัดพระมหาธาตุฯแล้ว จังหวัดนครศรีธรรมราชยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสนใจอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “หอพระพุทธสิหิงค์” ที่ประดิษฐานองค์พระพุทธสิหิงค์ หนึ่งในพระพุทธรูปสำคัญของเมืองไทย, “ศาลหลักเมือง”ที่สร้างด้วยศิลปะศรีวิชัยสีขาวเด่น ภายประดิษฐานองค์เสาหลักเมือง ยอดเสาสลักรูปจตุคามรามเทพ(สี่พักตร์) ที่เป็นเทวดารักษาเมืองนครศรีอันลือลั่น
อีกทั้งเมืองนครศรีฯยังมีพระเกจิอาจารย์ขึ้นชื่ออยู่หลายองค์ด้วยกัน โดยเฉพาะ“พ่อท่านคล้าย” แห่ง“วัดพระธาตุน้อย” อ.ช้างกลาง พระเกจิชื่อดัง สรีระไม่เน่าเปื่อย ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วไปเป็นจำนวนมาก
พ่อท่านคล้าย หรือ “พระครูพิศิษฐ์อรรถการ” หรือที่รู้จักกันดีในฉายา “พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์” เนื่องจากท่านเป็นที่เลื่องลือว่า หากพ่อท่านคล้ายท่านพูดสิ่งใดก็จะเป็นไปตามนั้น
พ่อท่านคล้าย เกิดเมื่อปี 2417 หรือในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นชาวนครศรีธรรมราชแต่กำเนิด ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 16 ปี จากนั้นอุปสมบทเป็นพระเมื่ออายุ 20 ปี และไม่ได้สึกอีกเลยตราบจนมรณภาพในปี 2513 เมื่ออายุได้ 96 พรรษา
พ่อท่านคล้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุน้อยเมื่อปี 2500 ซึ่งพ่อท่านกับชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างพระธาตุเจดีย์ประจำวัดขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นเจดีย์ที่จำลองแบบมาจากองค์พระบรมธาตุเมืองนคร
ภายหลังจากพ่อท่านคล้ายมรณภาพ ทางวัดพระธาตุน้อยได้นำสรีระของพ่อท่านที่ไม่เน่าเปื่อยสลายบรรจุไว้ที่ฐานเจดีย์ เพื่อให้ผู้ที่มีจิตศรัทธาได้มากราบไหว้ระลึกถึงท่านตราบจนทุกวันนี้
ขนอม
จากพลังศรัทธาแห่งธรรมะ “ตะลอนเที่ยว” ขอพามาสัมผัสกับมนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติของเมืองนครศรีฯกันบ้าง เริ่มจาก“ทะเลขนอม” แห่ง อ.ขนอม ที่นอกจากจะมีท้องทะเลอันสวยงาม มีธรรมชาติอันแปลกตาน่าทึ่งแล้ว ที่นี่ยังมี“โลมาสีชมพู”เป็นไฮไลท์สำคัญ ให้นักท่องเที่ยวได้ล่องเรือเที่ยวทะเล พร้อมลุ้นชมเจ้าโลมาสีชมพูซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งทะเลขนอมกัน
สำหรับเส้นทางล่องเรือท่องทะเลขนอม นอกจากเจ้าโลมาสีชมพูและโลมาสีเทา ที่ต่างพากันออกแหวกว่ายหากิน มีทั้งมาเดี่ยว มาเป็นกลุ่ม หรือมาเป็นฝูง ให้เราได้สอดส่ายสายตามองหากันแบบลุ้นระทึกไปตลอดเส้นทางแล้ว ท้องทะเลขนอมยังมี 2 สิ่งต้องห้ามพลาดจากธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ให้เที่ยวชมกัน ได้แก่
“เขาหินพับผ้า” มหัศจรรย์ธรรมชาติสรรค์สร้าง อายุกว่า 265 ล้านปี มีลักษณะเป็นแนวหินผาริมทะเล มองดูเหมือนใครนำแผ่นหินมาวางซ้อนทับสลับไป-มา ราวกับผืนผ้าขนาดยักษ์ที่ถูกพับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ดูสวยงามแปลกตา
“บ่อน้ำจืดกลางทะเล” ตั้งอยู่บน“เกาะหลวงปู่ทวด” เกาะขนาดเล็กแต่น่าทึ่งตรงที่มีบ่อน้ำจืดธรรมชาติอยู่กลางทะเล และจะมองเห็นก็ต่อเมื่อน้ำทะเลลดระดับลง ซึ่งชาวบ้านแถบนี้เชื่อว่าบ่อน้ำจืดแห่งนี้คือบริเวณที่หลวงปู่ทวดเคยมาเหยียบน้ำทะเล ให้เปลี่ยนจากน้ำเค็มเป็นน้ำจืด เพื่อช่วยเหลือลูกเรือสำเภาที่กำลังขาดน้ำ ด้วยเหตุนี้บนเกาะหลวงปู่ทวดจึงมีรูปเคารพของหลวงปู่ทวดประดิษฐานอยู่ด้านบนให้ผู้ที่แวะขึ้นมาเที่ยวบนเกาะได้ขึ้นไปกราบไหว้เสริมสิริมงคลกัน
ปากพนัง
นครศรีธรรมราชมีอำเภอ“ปากพนัง” เป็นอีกหนึ่งสถานที่อันทรงเสน่ห์ของจังหวัด
อำเภอปากพนัง มี“แม่น้ำปากพนัง”เป็นเส้นเลือดหลัก ในอดีตพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังเคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของภาคใต้ มีพื้นที่นากว่า 500,000 ไร่ มีโรงสีข้าวมากถึง 9 โรง แต่หลังจากที่เกษตรกรพากันหันมาทำนากุ้ง ได้ก่อให้เกิดปัญหาน้ำเสีย น้ำเค็มรุกน้ำจืด และอีกหลากหลายปัญหาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวปากพนังไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้ “โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” หรือ “โครงการประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ” (มีความหมายว่า “ประตูระบายน้ำที่ให้ประสบความสำเร็จในการแยกน้ำ”) หรือ “เขื่อนปากพนัง” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อช่วยปิดกั้นน้ำเค็มไม่ให้รุกล้ำเข้าไปทำลายพื้นที่เกษตร อีกทั้งยังมีแหล่งเก็บกักน้ำจืดและลำน้ำสาขาไว้เพื่อการอุปโภคบริโภค เพื่อการเพาะปลูก และช่วยบรรเทาเรื่องอุทกภัย
ปัจจุบันถือเป็นไฮไลท์สำคัญของเมืองปากพนังที่มีคนแวะเวียนมาเที่ยวชมกันไม่ได้ขาด
นอกจากนี้ในเมืองปากพนังยังมีสิ่งน่าสนใจอื่นๆ อาทิ “บ้านนกอีแอ่น” หรือ “คอนโดนกอีแอ่น”ที่เป็นการสร้างตึกไว้ให้นกนางแอ่นมาอาศัยอยู่แล้วเก็บรังนกขาย, “ตลาด 100 ปี เมืองปากพนัง” ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำปากพนัง อุดมไปด้วยสินค้าอันหลากหลาย โดยเฉพาะอาหารทะเลสด-แห้ง ของกินพื้นบ้าน นับเป็นตลาดที่ดูแล้วมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
ขณะที่แม่น้ำปากพนังปัจจุบันถือเป็นแหล่งล่องเรือเที่ยวชมวิวทิวทัศน์ของชาวเมืองปากพนัง ไม่ว่าจะเป็นวิถีริมแม่น้ำปากพนัง ปล่องโรงสีข้าวโบราณ ป่าชายเลนและวิถีชีวิตประมงชายฝั่ง รวมถึงยังสามารถมองเห็น “แหลมตะลุมพุก” ที่อยู่ไกลลิบๆได้อีกด้วย
คีรีวง
จังหวัดนครศรีธรรมราช ยังมีอีกหนึ่งเสน่ห์ไม่ควรพลาดก็คือ “หมู่บ้านคีรีวง” ต.กำโลน อ.ลานสกา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่มีความโดดเด่นอันหลากหลาย
หมู่บ้านคีรีวง เป็นชุมชนเก่าแก่บริเวณเชิงเขาหลวง ตั้งอยู่ท่ามกลางแวดล้อมของขุนเขา มี“คลองท่าดี” เป็นลำน้ำหลักไหลผ่านกลางหมู่บ้าน อีกทั้งยังเป็นหมู่บ้านที่มีอากาศดีมาก โดยในปี 2552 มีการสำรวจพบว่า คุณภาพอากาศบริสุทธิ์ของบ้านคีรีวงนั้นสูงเกินกว่าค่ามาตรฐานถึง 100 เท่า จนถือได้ว่าบ้านคีรีวงเป็นสถานที่ที่มีอากาศดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย
ปัจจุบันชาวบ้านคีรีวงยังคงดำรงวิถีอย่างเรียบง่าย มีอาชีพหลักคือการทำสวนผลไม้แบบสวนผสม(สวนสมรม) ปลูกพืชผลหลากหลายในพื้นที่เดียวกัน อาทิ มังคุด เงาะ ทุเรียน สะตอ
นอกจากนี้ก็ยังมีการดำเนินงานด้านการท่องเที่ยวเป็นอาชีพเสริม โดยภายในหมู่บ้านได้ทำการจัดตั้งแบ่งออกกลุ่มต่างๆตามความถนัด ได้แก่ กลุ่มลูกไม้ กลุ่มบ้านสมุนไพร กลุ่มมัดย้อม กลุ่มใบไม้ กลุ่มลายเทียน กลุ่มหัตถกรรม กลุ่มแม่บ้านทุเรียนกวน ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปร่วมกิจกรรมต่างๆได้ด้วยตัวเอง
สำหรับกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมของที่นี่ก็คือ การปั่นจักรยานเที่ยวชมบรรยากาศของหมู่บ้านพร้อมร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่มต่างๆ ที่นอกจากจะได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินแล้ว ยังเป็นการเรียนรู้เปิดประสบการณ์แปลกใหม่ที่สามารถนำความรู้ที่ได้ไปสร้างสรรค์พัฒนาต่อยอดได้เป็นอย่างดี
และด้วยการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวที่ดี ทำให้หมู่บ้านคีรีวงได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย หรือ“รางวัลกินรี” ประจำปี 2541 จาก ททท. ในรางวัลยอดเยี่ยมประเภทเมืองและชุมชน การันตีในคุณภาพของหมู่บ้านท่องเที่ยวแห่งนี้
เมืองพัทลุง
จากนครศรีธรรมราชล่องใต้ลงมาอีกสู่ จังหวัด“พัทลุง” เมืองเล็กแต่งดงามที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลา
พัทลุงเป็นเมืองแห่งขุนเขาเก่าแก่เมืองหนึ่งของภาคใต้ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองต้นกำเนิดหนังตะลุงและโนรา(โนราห์ หรือ มโนรา มโนห์รา มโนราห์ - เขียนได้หลายแบบ) โดยเฉพาะโนรานั้นจะมีศูนย์กลางทางประเพณีสำคัญ “โนราโรงครู” ที่จัดขึ้นทุกปี ในช่วงเดือน 6 (เดือนไทย) ที่ “วัดท่าแค” ต.ท่าแค อ.เมือง จ.พัทลุง
โนราโรงครู(โนราโรงครูวัดท่าแค) เป็นพิธีอัญเชิญครูหรือบรรพบุรุษโนรามายังโรงพิธี เพื่อรับการเซ่นสังเวยทำพิธีไหว้ครู อันเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อครูโนราและบรรพบุรุษ ซึ่งที่วัดท่าแค่จะมีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่และคงไว้ซึ่งประเพณีดั้งเดิมอย่างครบครัน สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ไปร่วมงานได้เป็นอย่างดี
ขณะที่สิ่งที่ถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวเมืองพัทลุงก็คือ “พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ” หรือที่เรียกกันว่า “พระสี่มุมเมือง” เป็นพระพุทธรูปหล่อสัมฤทธิ์ปางสมาธิ ซึ่งในหลวงโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น ประดิษฐานอยู่ในศาลาจัตุรมุข บริเวณด้านหน้าระหว่างศาลากลางจังหวัดกับศาลจังหวัดพัทลุง เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธศาสนิกชน
ส่วนอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญภายในตัวเมืองพัทลุงก็คือ “วัดถ้ำคูหาสวรรค์”(ถ.คูหาสวรรค์) เป็นวัดที่สร้างขึ้นสมัยอยุธยา ได้รับการยกฐานะให้เป็นพระอารามหลวงแห่งแรกของพัทลุง บริเวณหน้าถ้ำมีจารึกพระปรมาภิไธยย่อของพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ ส่วนภายในถ้ำโดดเด่นไปด้วยพระพุทธรูปางไสยาสน์ และพระพุทธรูปนั่งองค์ใหญ่ ดูงดงามเปี่ยมศรัทธา
วัดเขียนบางแก้ว
จากสิ่งน่าสนใจใน อ.เมืองพัทลุง “ตะลอนเที่ยว” ชวนออกนอกเมืองไปสัมผัสแดนธรรมกับ 2 ถ้ำเลื่องชื่อ ใน อ.ศรีนครินทร์ ซึ่งล้วนต่างเป็นถ้ำแห่งศรัทธาที่เปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังอันน่ายล
เริ่มกันที่ถ้ำแรก “ถ้ำสุมโน”(สุมะโน) ที่ทางเข้าหลักอยู่ใน “วัดถ้ำสุมโน”(ต.บ้านนา อ.ศรีนครินทร์) ถ้ำสุมโน เป็นถ้ำใหญ่หินปูนขนาดใหญ่ มี 2 ชั้น ชั้นแรกเสมอกับพื้นราบ ส่วนชั้นล่างอยู่ใต้ดิน
ภายในถ้ำมีทั้งส่วนที่เป็นธรรมชาติดั้งเดิม และส่วนที่ปรับแต่งเป็นศาสนสถาน ประดิษฐานพระพุทธรูปและรูปเคารพต่างๆ นอกจากนี้ภายในโถงถ้ำอันกว้างขวางยังเป็นสถานที่นั่งวิปัสสนาปฏิบัติธรรม นอกจากนี้ถ้ำสุมโนยังมีถ้ำบริวารอีกหลากหลายให้ผู้สนใจได้ไปเที่ยวชมกัน อาทิ ถ้ำโบสถ์ ถ้ำหอฉันบรรจบ ถ้ำโรงธรรม ถ้ำน้ำลอด ถ้ำแม่มหามงคล เป็นต้น
ส่วนถ้ำต่อมาคือ“ถ้ำพุทธโคดม” ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากถ้ำสุมโน ถ้ำพุทธโคดมเป็นถ้ำใหญ่ โดยมีถ้ำแยกย่อยออกไปเป็นถ้ำต่างๆ อาทิ ถ้ำลำเลียง ถ้ำสันติวิเวก ถ้ำฤาษีตาทิพย์ ถ้ำประสาทหิน ถ้ำอุโบสถดอกบัว ถ้ำมาเลย์บำเพ็ญ
ภายในถ้ำพุทธโคดม มีทั้งส่วนที่เป็นศาสนสถาน มีพระพุทธรูปต่างให้เคารพ สักการะ มีพื้นที่ให้นั่งทำสมาธิ ฟังธรรม ผสมผสานไปกับสภาพถ้ำดั้งเดิมที่ยังคงความเป็นธรรมชาติอันสวยงามแปลกตา
จาก 2 ถ้ำแห่งศรัทธามาสู่อีกหนึ่งวัดสำคัญของจังหวัดพัทลุง คือ “วัดเขียนบางแก้ว” ที่ตั้งอยู่ที่ ต.จองถนน อ.เขาชัยสน ใกล้ๆกับทะเลสาบสงขลา
วัดเขียนบางแก้ว เป็นวัดโบราณเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดพัทลุง จากหลักฐานทางโบราณคดีสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น(ขณะที่ในบางตำนานระบุว่าวัดเขียนบางแก้วมีอายุกว่า 1 พันปีมาแล้ว) โดยสร้างขึ้นในบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของเมืองพัทลุงในอดีต เนื่องจากมีการขุดพบซากปรักหักพังของศิลาแลง และพระพุทธรูปมากมาย
สำหรับไฮไลท์สำคัญของวัดเขียนบางแก้วก็คือ “พระมหาธาตุเจดีย์บางแก้ว” หรือ “พระธาตุบางแก้ว” เป็นเจดีย์ก่ออิฐฐานแปดเหลี่ยม รอบฐานมีซุ้มพระพุทธรูป 3 ซุ้ม ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ ขณะที่องค์ระฆังนั้นเป็นทรงลังกาหรือทรงโอคว่ำ สันนิษฐานว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากพระบรมธาตุเมืองนคร จังหวัดนครศรีธรรมราช
วัดเขียนบางแก้วถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองพัทลุงที่หากใครไปเยือนเมืองนี้ไม่ควรพลาดการไปสักการะพระมหาธาตุเจดีย์เขียนบางแก้วด้วยประการทั้งปวง
ธรรมชาติงาม น้ำตกสวย
จากมนต์ขลังพลังศรัทธาของแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมะ เราต่อด้วยการไปสัมผัสกับพลังของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ จากแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันโดดเด่นของจังหวัดพัทลุงกันบ้าง
เริ่มกันที่ “ภูเขาอกทะลุ” หรือ“เขาอกทะลุ” ที่เป็นขุนเขาตั้งตระหง่านโดดเด่นมองเห็นแต่ไกลอยู่ในตัวเมืองพัทลุง
ภูเขาอกทะลุ เป็นขุนเขาสูงประมาณ 250 เมตร มีบันไดสำหรับขึ้นยอดเขาเพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองพัทลุงได้อย่างสวยงาม เขาลูกนี้ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดพัทลุง เนื่องจากมีลักษณะพิเศษ คือ ตรงบริเวณปลายยอดเขาจะมีช่องหรือโพรงมองทะลุถึงกันทั้งสองด้าน
หันมาดูในส่วนของน้ำตกงามกันบ้าง เนื่องจากพัทลุงเป็นเมืองที่มีธรรมชาติของป่าเขาอันอุดมสมบูรณ์ เมืองนี้จึงมีน้ำตกสวยๆงามๆที่มีสายน้ำไหลเย็นชุ่มฉ่ำให้ท่องเที่ยวเพลิดเพลินกันอยู่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น น้ำตกบ้านโตน น้ำตกเขาคราม น้ำตกมโนราห์ น้ำตกหนานสูง และ “น้ำตกไพรวัลย์” น้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของพัทลุง และเป็นหนึ่งในน้ำตกชื่อดังของภาคใต้
น้ำตกไพรวัลย์ ตั้งอยู่ในหน่วยพิทักษ์ป่าบ้านพูด เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด ต.คลองเฉลิม อ.กงหรา ตัวน้ำตกมีทั้งหมด 7 ชั้น มีสายน้ำไหลเย็นตลอดทั้งปี โดยมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ให้เล่น ท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่นของแมกไม้ป่าไพร
ด้วยองค์ประกอบอันโดดเด่นต่างๆของน้ำตกไพรวัลย์ ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชม เล่นน้ำ สัมผัสความชุ่มฉ่ำของสายน้ำ ขณะที่อีกหลายๆก็คนเลือกที่จะมาปิกนิก กินอาหารกลางวัน พักผ่อนที่น้ำตกไพรวัลย์กันอย่างสบายอุรา
ทะเลน้อย
ปิดท้ายกันด้วยการไปสัมผัสกับธรรมชาติอันงดงามของ “ทะเลน้อย” แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดพัทลุง ที่มากไปด้วยสิ่งน่าสนใจต่างๆมากมาย
ทะเลน้อย ตั้งอยู่ใน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง มีพื้นที่ประมาณ 281,250 ไร่ แบ่งเป็นพื้นน้ำประมาณ 17,500 ไร่ ทะเลน้อยเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก จนได้รับการประกาศให้เป็นเขตพื้นที่ชุ่มน้ำโลก หรือ “แรมซาร์ ไซด์” (Ramsar Site) แห่งแรกในเมืองไทย เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2541
สำหรับการท่องเที่ยวทะเลน้อยหากอยากสัมผัสกับความงดงามให้ครบรส ควรจะเลือกมาพักค้างคืนบริเวณใกล้ๆกับทะเลน้อย เพื่อที่จะได้ยลเสน่ห์ของทะเลน้อยกันในหลายเวลา หลายช่วงบรรยากาศ ทั้งในยามเย็น ยามค่ำ เช้ามืด เช้า และช่วงสาย เป็นต้น
โดยในตอนเย็นสามารถมาสัมผัสกับบรรยากาศยามเย็นที่มีสะพานทอดยาวยื่นออกไปให้ชมวิวทิวทัศน์ของทะเลน้อย วิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้าน เหล่าฝูงนกที่โบยบินไป-มา รวมไปถึงเดินหาของฝากและของอร่อยๆกินจากตลาดและแผงร้านค้าที่ขายอยู่บริเวณรอบๆทะเลน้อย
ครั้นพอถึงตอนเช้ามืด ที่“คลองปากประ” บ้านปากประ ต.พนางตุง อ.ควนขนุน ถือเป็นจุดชมวิวชั้นดีที่ผู้นิยมการถ่ายภาพไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
คลองปากประ เป็นลำคลองมีสายน้ำเชื่อมโยงกับทะเลน้อย สามารถล่องเรือไป-มา หาสู่กันได้ ในลำคลองแห่งนี้ ที่บริเวณปากคลองจะเต็มไปด้วย “ยอยักษ์” หรือยอขนาดใหญ่ ที่เป็นอุปกรณ์ในการจับสัตว์น้ำของชาวบ้านในแถบนี้
ในยามเช้าตรู่ชาวบ้านที่คลองปากประจะพากันออกมายกยอ ท่ามกลางพระอาทิตย์ดวงกลมโตที่ค่อยๆลอยโผล่เหนือผืนน้ำดูสวยงามน่าประทับใจ จนคลองปากประถูกยกให้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่มีภาพวิถีชีวิตที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย
จากนั้นในช่วงเช้าไปจนถึงสาย ถือเป็นช่วงเวลาทองของการล่องเรือชมทะเลน้อย ซึ่งในเส้นทางหากไปในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ก็จะได้สัมผัสกับความงดงามของ“ทะเลบัว”สีชมพูหวานบานเต็มท้องน้ำ เนื่องจากเป็นฤดูที่ “ดอกบัวสาย” หรือ “ดอกบัวแดง” ต่างพากันออกดอกสีชมพูสดใสบานสะพรั่งดูสวยงามเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนอีกหนึ่งไฮไลท์ที่จะได้พบเจอไปตลอดการล่องเรือก็คือ บรรดานกน้ำจำนวนมาก ทั้งนกประจำถิ่น นกอพยพ ที่มีรวมกันไม่ต่ำกว่า 150 ชนิด(บางข้อมูลระบุว่ามีมากถึง กว่า 287 ชนิด) และมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 100,000 ตัว นำโดยนกที่หาชมได้ไม่ยาก อย่างเช่น นกอีโก้ง นกกาน้ำ นกยาง นกเป็ดผี นกเป็ดแดง นกนางแอ่น นกนางนวล นกเป็ดคับแค นกกระสา อีกา เหยี่ยว เป็นต้น
ขณะที่นกหายากและนกใกล้สูญพันธุ์ในทะเลน้อยนั้นก็มี นกกาบบัว นกช้อนหอย นกกระสานวล นกฟินฟุท นกอ้ายงั่ว นกปากซ่อมพง เป็นต้น
สำหรับเสน่ห์ของทะเลน้อยอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ควายน้ำ” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของทะเลน้อย
ควายน้ำ จริงๆแล้วก็คือควายเลี้ยงทั่วๆไปของชาวบ้านในละแวกทะเลน้อย ซึ่งมีความสามารถพิเศษตรงที่สามารถปรับตัวไปหากินตามแหล่งอาหารของมัน คือเมื่อน้ำในทะเลน้อยลดต่ำไปจนถึงแห้งขอดในบางช่วง จนมีสันดอนพื้นดินโผล่ มีทุ่งหญ้าขึ้น เจ้าควายพวกนี้มันก็จะขึ้นมาและเล็มหญ้ากินบนบก
แต่เมื่อยามหน้าน้ำ ทะเลน้อยมีปริมาณน้ำสูง ท่วมทุ่งหญ้า ท่วมแหล่งหากินของควาย เจ้าควายพวกนี้มันก็จะปรับตัว เปลี่ยนมากินพืชน้ำอย่างสายบัว ใบบัว หรือสาหร่ายแทน โดยจะพากันว่ายน้ำชูคอลงไปหากินในน้ำ หรือไม่ก็ดำลงไปกินสาหร่ายหรือสายบัว จนถูกเรียกขานให้เป็น “ควายน้ำ” อันแสนน่ารักและน่าทึ่ง
นอกจากไฮไลท์ต่างๆตามที่กล่าวมาแล้ว ทะเลน้อยยังมีสิ่งน่าสนใจในระดับประเทศอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ “ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550” หรือที่เดิมชาวบ้านเรียกขานกันว่า “ถนนบ้านไสกลิ้ง-บ้านหัวป่า” ซึ่งสร้างเชื่อมพื้นที่ 2 จังหวัด คือ บ้านไสกลิ้ง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง และบ้านหัวป่า อ.ระโนด จ.สงขลา
ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ มีความยาวกว่า 17 กม. แบ่งเป็น 3 ช่วง โดยช่วงที่ 2 ที่สร้างเป็นสะพานยกระดับอยู่เหนือพื้นที่ทะเลน้อย หรือที่นิยมเรียกกันว่า "สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550"นั้น มีความยาวถึง 5.450 กิโลเมตร นับเป็นสะพานที่ยาวที่สุดของไทยในปัจจุบันนี้
สำหรับสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลท์สำคัญของการเที่ยวทะเลน้อย เนื่องจากมีวิวทิวทัศน์สวยงามน่ายลเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นวิวของทะเลสาบทะเลน้อยอันกว้างไกล ซึ่งในช่วงน้ำหลากจะเห็นควายน้ำออกหากินเป็นจำนวนมาก ขณะที่ในช่วงน้ำแล้ง เหล่าควายน้ำก็จะกลายมาเป็นควายบก เดินหากินตามท้องทุ่งหญ้า ที่ช่วงหน้าน้ำถูกน้ำท่วมจมมิด นอกจากนี้ก็ยังมีนกอีกหลากหลายชนิดให้ชมกันอย่างเพลิดเพลิน
ด้วยความโดดเด่นของวิวทิวทัศน์และบรรยากาศของสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ทำให้สะพานแห่งนี้ถูกคัดเลือกให้เป็น “สะพานแห่งความสุข” ที่เป็นหนึ่งในโครงการ “เขาเล่าว่า...” ของ ททท.
และนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของเส้นทาง “นครศรีธรรมราช plus พัทลุง” ซึ่งทั้งพลังจากธรรมะและธรรมชาติของเมืองต้องห้ามพลาดทั้งสองนั้น สามารถสร้างพลังแห่งความสุข และเติมพลังแห่งชีวิตให้กับผู้ที่ออกไปสัมผัสได้เป็นอย่างดี
******************************************
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดของสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในเส้นทาง เมืองต้องห้าม...พลาด พลัส “นครศรีธรรมราช plus พัทลุง” เพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานนครศรีธรรมราช โทร. 0-7534-6515-6 และ ททท. สำนักงานหาดใหญ่(รับผิดชอบพื้นที่สงขลา,พัทลุง) 0-7423-1055,0-7423-8518,0-7424-3747
หมายเหตุ : ภาพ พระบรมธาตุเมืองนคร เป็นภาพก่อนการบูรณะ ในปัจจุบัน
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com