“ไต้หวัน” เกาะเล็กๆ กลางทะเลที่อยู่ระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับประเทศญี่ปุ่น (เกาะโอกินาวา) ขณะนี้กำลังเป็นเมืองท่องเที่ยวฮอตฮิตติดอันดับของคนไทยจำนวนไม่น้อย
นอกจากสถานที่ตั้งที่อยู่ระหว่างจีนและญี่ปุ่น สภาพบ้านเมืองวัฒนธรรมและวิถีชีวิตต่างๆ ของคนไต้หวันก็ยังก้ำกึ่งระหว่างจีนและญี่ปุ่น โดยภาษาพูด-เขียน ศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ล้วนได้อิทธิพลจากจีน แต่ได้ลักษณะนิสัย ความอ่อนน้อม มีระเบียบวินัยจากคนญี่ปุ่นที่เข้ามายึดครองไต้หวันช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ไต้หวันกลายเป็นเมืองมากเสน่ห์ มีสีสัน ขณะเดียวกันก็เป็นระเบียบเรียบร้อย เดินทางท่องเที่ยวได้ง่ายและสะดวก แถมยังเป็นเมืองที่น่าชอปปิ้ง ด้วยค่าครองชีพที่ไม่สูงเวอร์ สินค้าแบรนด์เนมต่างๆ เป็นของแท้และราคาถูกกว่าบ้านเราเยอะ โดยเฉพาะรองเท้ากีฬายี่ห้อต่างๆ ที่มีให้เลือกหลากหลาย บางรุ่นถูกกว่าบ้านเราหลายเท่า ขาชอปเพลินกันไปเลย
แน่นอนว่า “ไทเป” เป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดในไต้หวัน แต่หากพูดถึงเรื่องการท่องเที่ยวแล้ว หลายๆ เมืองในไต้หวันล้วนแล้วแต่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ดังเช่นที่ “ตะลอนเที่ยว” ได้ร่วมเดินทางไปสำรวจแหล่งท่องเที่ยวในไต้หวันตั้งแต่เหนือจดใต้กับสายการบินไชน่า แอร์ไลน์ส และการท่องเที่ยวไต้หวัน ที่พาบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่ไต้หวันไปยังเมืองเถาหยวน (ใกล้กับไทเป) ทางตอนเหนือของไต้หวัน ก่อนจะเที่ยวท่องล่องจากเหนือไปใต้ แวะไปตามสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ ในแต่ละเมือง แล้วบินกลับสู่เมืองไทยจากสนามบินเมืองเกาสง ทางตอนใต้ของไต้หวัน ในระหว่างทางเราจะพาไปเที่ยวเมืองไหนกันบ้าง ติดตามกันได้เลย
สดใสกับหมู่บ้านสายรุ้ง “เมืองไทจง”
ล่องจากเหนือลงมาใต้ จากไทเปมายัง “ไทจง” เมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวน่ารักอย่าง “หมู่บ้านสายรุ้ง” (Rainbow Village) ที่มีสีสันสดใสสมชื่อด้วยเส้นสายและลวดลายของตัวการ์ตูนน่ารักๆ ที่ถูกแต่งแต้มบนผนังกำแพงของหมู่บ้านเก่าแห่งหนึ่ง
แต่ก่อนที่จะกลายมาเป็นหมู่บ้านสายรุ้ง ที่นี่เคยเป็นหมู่บ้านทหารผ่านศึกที่กำลังจะถูกรื้อถอน เพราะผู้ที่เคยอยู่อาศัยบ้างก็ตายหรือย้ายออกไปอยู่ที่อื่น แต่ได้มี “คุณปู่สายรุ้ง” หรือคุณปู่หวง หย่ง ฟู่ (ปัจจุบันอายุ 94 ปี) ทหารผ่านศึกผู้หนึ่งที่อยู่อาศัยที่นี่ ได้ลงมือวาดลวดลายตามผนังและกำแพงของอาคารที่รอการรื้อทิ้งเหล่านี้ คล้ายๆ จะเป็นการสั่งลาหมู่บ้านที่อยู่อาศัยมานาน แต่ภาพวาดเหล่านั้นกลับสวยเตะตาผู้พบเห็น เพราะสีสันที่สดใสและลวดลายที่มีชีวิตชีวา เป็นภาพของใบหน้าคนและสัตว์ที่ต่างดูมีความสุขสดใส สร้างความสุขใจให้แก่ผู้พบเห็น
จนในที่สุดโครงการรื้อถอนจึงถูกพับไป เพราะหมู่บ้านแห่งนี้ได้กลายเป็น “หมู่บ้านสายรุ้ง” ที่มีนักท่องเที่ยวแวะมาเยือนมาถ่ายรูป กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองไทจงที่ใครๆ ก็อยากมาเยี่ยมเยือน ส่วนคุณปู่สายรุ้งก็ยังคงวาดรูปต่างๆ เพิ่มเติมในหมู่บ้านสายรุ้งไปเรื่อยๆ และยังมาขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวภายในหมู่บ้าน สามารถไปเยี่ยมเยือนคุณปู่กันได้
ออกนอกเมืองไทจงไปสักหน่อย ไปพักผ่อนท่ามกลางสวนสวยกันที่ “Summit Resort” ที่อารมณ์คล้ายๆ สวนนงนุชบ้านเรา ซึ่งมีการจัดตกแต่งพื้นที่สวนที่งดงามทั้งพืชพรรณและดอกไม้ใบหญ้า พื้นที่กลางสวนเป็นบึงน้ำใหญ่ล้อมรอบด้วยปราสาทสไตล์ยุโรปหลังใหญ่กลางสนามหญ้าที่เขียว มีสวนดอกไม้ที่ออกดอกตามฤดูกาล มีร้านกาแฟและเครื่องดื่มให้นั่งพักผ่อนกัน คู่รักนิยมมาถ่ายภาพพรีเวดดิ้งกันที่นี่ ส่วนนักท่องเที่ยวที่เป็นเพื่อนฝูงครอบครัวก็มาถ่ายภาพกับมุมสวยๆ ภายในสวนกันได้อย่างสนุกสนาน
ส่วนในช่วงค่ำคืน เมืองไทจงยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องห้ามพลาดก็คือ “ตลาดกลางคืนฝงเจี่ย” (Feng Chia Night Market) ที่ตั้งอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยฝงเจี่ย เป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไต้หวัน เต็มไปด้วยร้านรวงเรียงรายอยู่ตลอด 2 ฝั่ง และในตรอกซอกซอยต่างๆ
แน่นอนว่าในย่านมหาวิทยาลัยก็ต้องเป็นสินค้าแฟชั่นทันสมัยในราคาย่อมเยา ทั้งเสื้อผ้าและรองเท้า โดยเฉพาะรองเท้าผ้าใบแบรนด์เนมที่ขึ้นชื่อว่าราคาย่อมเยา(กว่าในประเทศไทย) มีให้เลือกกันทุกแบบทุกยี่ห้อละลานตา นอกจากนั้นตลาดฝงเจี่ยยังขึ้นชื่อเรื่องของกินที่อร่อยหลากหลาย ทั้งร้านชานมไข่มุก เต้าหู้เหม็น ปลาหมึกย่าง ฯลฯ
เดินเล่นหมู่บ้านวัฒนธรรมลู่กัง “เมืองจางฮวา”
ลงใต้เลาะเลียบชายฝั่งตะวันออกมาที่เมืองจางฮวา เมืองเก่าซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญของเกาะไต้หวัน ที่มีแหล่งท่องเที่ยวชวนชมอย่าง “หมู่บ้านวัฒนธรรมลู่กัง” ที่มีจุดท่องเที่ยวหลากหลายให้เดินชมได้ทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็น “วัดลู่กังหลงซาน” หรือ “วัดเขามังกรแห่งลู่กัง” โดยในไต้หวันมีวัดหลงซานทั้งหมด 6 แห่งด้วยกัน วัดหลงซานแห่งลู่กังก็เป็นหนึ่งในหกวัดที่เก่าแก่และมีสถาปัตยกรรมที่งดงามสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่ง ปัจจุบันถูกอนุรักษ์ไว้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ
ไม่ไกลจากวัดหลงซาน เดินลัดเลาะตรอกซอกซอยมายัง “Lukang Osmanthus Alley Artist Village” หรือเรียกง่ายๆ ก็คือหมู่บ้านศิลปินลู่กัง ซึ่งแต่เดิมที่นี่เป็นหอพักของข้าราชการ ต่อมาถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้งาน จึงมีการปรับปรุงซ่อมแซมและให้เป็นหมู่บ้านศิลปะ โดยอาคารทั้ง 8 หลังจะมีศิลปินที่ทำงานศิลปะแขนงต่างๆ อาทิ การเขียนพู่กันจีน ฯลฯ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมผลงานศิลปะ รวมถึงทดลองทำเวิร์กชอปงานศิลปะกันได้ด้วย
อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวในหมู่บ้านวัฒนธรรมแห่งนี้ก็คือย่านตลาดเก่าลู่กัง (Lukang Old Street) ที่ในอดีตเป็นย่านการค้าที่เจริญของอำเภอลู่กัง เป็นถนนสายเล็กๆ ที่ยังคงหน้าตาและกลิ่นอายของย่านเก่าเอาไว้ ถนนคนเดินสายเล็กๆ สองข้างทางเป็นอาคารก่ออิฐแบบดั้งเดิมที่ปัจจุบันเป็นร้านขายของที่ระลึกอันหลากหลาย
ส่วนตรอกซอกซอยในย่านเมืองเก่านี้ก็เป็นเอกลักษณ์ตรงที่เป็นซอยแคบๆ ขนาดเดินสวนกันแทบไม่ได้ จนบางตรอกได้ชื่อแบบขำๆ ว่า “ตรอกจับนม” เพราะเวลาชายหญิงเดินสวนกันมักจะหลบกันไม่พ้น บ้างก็เรียกตรอกสุภาพบุรุษ เพราะผู้ชายจะหยุดให้ผู้หญิงเดินผ่านไปก่อน แต่แท้จริงแล้วประโยชน์อย่างหนึ่งของตรอกเล็กๆ นี้คือการเป็นแนวกันไฟไหม้ เพราะบ้านเรือนในย่านนี้ปลูกติดๆ กันหมด ถ้าเกิดไฟลุกไหม้ก็จะลามอย่างรวดเร็ว ซอยแคบๆ ที่คั่นระหว่างอาคารนี้จึงเป็นดังแนวกันไฟ อีกประการหนึ่งซอยแคบเหล่านี้ยังช่วยการชะลอหรือจำกัดทิศทางลมที่มักพัดเข้าสู่เมืองนี้อีกด้วย
“เจียอี้-ไถหนัน” กู้กงล้ำค่า โบสถ์ส้นสูงน่าชม
ยังคงเลาะเลียบชายฝั่งลงมาทางใต้กันต่อมายัง “เมืองเจียอี้” ที่เมืองนี้เรามาชม “พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ (กู้กง) สาขาภาคใต้” ที่เพิ่งเปิดให้เข้าชมกันเมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์เพิ่งสร้างเสร็จใหม่สดๆ ร้อนๆ โดดเด่นด้วยสะพานทางเดินเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ที่เป็นเหล็กโค้งดูล้ำสมัย ภายในพิพิธภัณฑ์มีโบราณวัตถุล้ำค่าของชาวจีนมาจัดแสดง รวมไปถึงโบราณวัตถุชิ้นงามอย่าง “ผักกาดขาวหยก” หรือหยกที่แกะสลักเป็นรูปผักกาดขาวอันละเอียดอ่อนช้อย ก็ถูกนำมาหมุนเวียนจัดแสดงให้คนทางภาคใต้ของไต้หวันได้ชมกันโดยไม่ต้องเดินทางไปชมที่กู้กงไทเป
ชมของเก่าล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์กันแล้ว มาชมแหล่งท่องเที่ยวแบบฮิปๆ เก๋ๆ ล้ำยุคกันที่ “โบสถ์ส้นสูง” หรือ High-Heel Wedding Church กันบ้าง ที่นี่เป็นโบสถ์สำหรับจัดพิธีแต่งงานสำหรับคู่รักหนุ่มสาวที่รักความสนุกสนาน เพราะที่นี่ไม่ได้เป็นโบสถ์แบบเคร่งขรึมขลังแต่อย่างใด แต่กลับมีสีสันสดใสแถมหน้าตาแหวกแนวเป็นรูปรองเท้าส้นสูงสีฟ้าสดใส มีความสูงถึง 17 เมตร และความกว้าง 11 เมตร ประกอบจากกระจกกว่า 320 แผ่น โดยรองเท้าส้นสูงนี้สื่อความหมายถึงประเพณีดั้งเดิมของบ่าวสาวไต้หวัน ที่เจ้าสาวต้องสวมรองเท้าส้นสูงเหยียบขยี้แผ่นกระเบื้องให้แตก และโยนเศษซากที่แตกนั้นทิ้งก่อนก้าวเข้าสู่ครอบครัวเจ้าบ่าว สื่อถึงเริ่มต้นสิ่งดีๆ ในชีวิต
แต่สำหรับพวกเราที่ไม่ได้มาแต่งงานและไม่ได้มางานแต่ง จึงได้เพียงชมโบสถ์รองเท้าส้นสูงนี้แบบไกลๆ และครีเอตท่าถ่ายรูปกับรองเท้าสุดเก๋นี้ตามแต่จินตนาการของแต่ละคน
จากเจียอี้ ล่องใต้มาที่เมืองไถหนัน เมืองหลวงเก่าของไต้หวัน ที่เมืองนี้เราได้มาชม “หมู่บ้านวัฒนธรรมหอกลอง” (Ten Drum Cultural Village) ที่นำเอาโรงงานน้ำตาลร้างเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครองไต้หวัน ก่อนถูกทิ้งร้างหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาปรับปรุงและเปิดเป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมหอกลอง โดยกลุ่ม Ten Drum Art Percussion Group ซึ่งไฮไลต์ของที่นี่ก็คือการแสดงโชว์ศิลปะการตีกลองของไต้หวันที่นำมาผูกกับเรื่องราวของโรงงานน้ำตาลแห่งนี้
สิ่งที่น่าชื่นชมของหมู่บ้านวัฒนธรรมหอกลองแห่งนี้ก็คือการรักษาสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ต่างๆ ของโรงงานไว้และยังปรับปรุงให้สามารถใช้งานได้ ไม่ปล่อยให้ทิ้งร้างโทรมไปตามกาลเวลาและไม่ต้องทุบทิ้งสร้างใหม่ บ้างนำมาปรับปรุงเป็นร้านกาแฟ บ้างเป็นสถานที่นั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ เป็นโรงละคร ฯลฯ และนักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ยังสามารถมาร่วมเวิร์กชอปการทำกลอง และลองฝึกตีกลองในท่วงทำนองพื้นเมืองได้อีกด้วย
“เกาสง” เมืองท่าชายทะเลสุดอาร์ต
มาถึงเมืองสุดท้ายของทริปนี้กันแล้ว ปิดท้ายไต้หวันกันที่ “เมืองเกาสง” เมืองใหญ่อันดับ 2 ของไต้หวันและเป็นเมืองท่าที่สำคัญ โดยท่าเรือของเกาสงเป็น 1 ใน 4 ของท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของโลก
หากอยากชมทิวทัศน์ของอ่าวและชายทะเลอันงดงามของเมืองเกาสง ขอแนะนำให้มาที่ “สถานกงสุลอังกฤษแห่งเก่า” ที่ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา โดยเป็นอาคารก่อด้วยอิฐมีซุ้มโค้งและระเบียงทางเดินรอบอาคาร ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเอกสารโบราณทางประวัติศาสตร์ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต แผนที่ทางยุทธศาสตร์ วัตถุและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ
นักท่องเที่ยวที่มาเยือนนอกจากจะมาชมความงามและเรื่องราวต่างๆ ของสถานกงสุลแห่งนี้แล้ว ก็มักจะรอเวลาให้ถึงช่วงเย็นย่ำเพื่อรอชมทิวทัศน์ของทะเลยามเย็น โดยที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกได้สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองเกาสง
ด้วยความที่เป็นเมืองท่า บวกกับความอาร์ตของไต้หวัน ที่เมืองเกาสงจึงนำเอาท่าเรือเก่ามาทำเป็น “ท่าเรือศิลปะ” (The Pier-2 Art Center) อารมณ์คล้ายๆ เอเชียทีคบ้านเรา โดยที่นี่แต่เดิมเป็นท่าเรือที่สำคัญของไต้หวัน ต่อมามีท่าเรือใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ท่าเรือแห่งนี้จึงรกร้างเงียบเหงา แต่ตอนนี้กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากที่ถูกปรับปรุงให้เป็นท่าเรือศิลปะที่เน้นการเป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยกลางแจ้งของศิลปินท้องถิ่น โกดังรกร้างก็ปรับเปลี่ยนมาเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านขายของหลากชนิด
ท่าเรือศิลปะยังมีพื้นที่เชื่อมต่อกับพิพิธภัณฑ์รถไฟ ซึ่งเป็นพื้นที่กลางแจ้งมองเห็นรางรถไฟเก่าที่ไม่ใช้งานแล้ว มีผลงานศิลปะกลางแจ้งเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่เดินเล่นถ่ายรูปกันได้เพลินๆ
ใครมาเที่ยวเกาสงอย่าลืมแวะมาชมสถานีรถไฟใต้ดินที่สวยงามที่สุดในเอเชียที่สถานี MRT ฟอร์โมซา บูเลอวาร์ด เกาสง ที่ภายในสถานีมีผลงานศิลปะที่ชื่อว่า “The Dome of Light” ซึ่งเป็นผลงานกระจกสีของศิลปินชาวอิตาลีที่ใช้กระจกมาสร้างงานศิลป์เป็นจำนวนถึง 4,500 แผ่น และใช้เวลาประกอบเชื่อมต่อกับหลังคาสถานีนานถึง 4 ปี โดยมีแนวคิดในการออกแบบมาจากปรัชญาตะวันออก ซึ่งเน้นความสำคัญของสัจธรรมแห่งวัฎจักรชีวิตมนุษย์
มุดใต้ดินลงไปชม The Dome of Light กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขึ้นมาโผล่บนดินอีกครั้งที่ตลาดกลางคืนลิ่วเหอ (Liouhe Night Market) ที่ทางออกที่ 11 มาชมบรรยากาศของ Food Street ที่เน้นอาหารทะเลเนื่องจากเกาสงเป็นเมืองชายทะเล เลือกกินเลือกดื่มกับอาหารสารพัดชนิดและชอปปิ้งกับร้านค้าเล็กๆ น้อยๆ ที่ถนนสายนี้ เป็นการปิดท้ายการท่องเที่ยวเมืองเกาสงได้อย่างดีเยี่ยม
* * * * * * * * * * * * * * * * *
การเดินทางไปยังไต้หวัน สายการบิน China Airlines มีบริการเที่ยวบินตรง กรุงเทพฯ (BKK)-เถาหยวน (TPE) ทุกวัน วันละ 3 เที่ยวบิน และกรุงเทพฯ (BKK)-เกาสง (KHH) ทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน สอบถามที่ โทร. 0-2250-9888 แฟกซ์ 0-2253-4565 หรือดูรายละเอียดที่ www.china-airlines.com
* * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com