สำหรับ “แกรนด์แคนยอน” หลายคนอาจรู้จักดีว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ซึ่งอยู่ในมลรัฐอะริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแคนยอน (Canyon) แปลว่าหุบเขาลึกที่มีแม่น้ำตรงกลาง และแกรนด์แคนยอน (Grand Canyon) ก็หมายถึงหุบเขาขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นโดยอิทธิพลของแม่น้ำโคโลราโดไหลผ่านที่ราบสูงทำให้เกิดการสึกกร่อนพังทะลายของหินเป็นเวลา 225 ล้านปีมาแล้ว และต่อมาพื้นโลกเริ่มยกตัวสูงขึ้นจนทำให้เกิดความลาดชันมากขึ้น ลำธารไหลเซาะแรงมากขึ้น จนวัดจากขอบลงไปก้นหุบเหวกว่า 1,600 ม. เลยทีเดียว
สำหรับในเมืองไทย แม้เราจะไม่มีแกรนด์แคนยอนอันยิ่งใหญ่อลังการเท่าที่อเมริกา แต่เราก็มีแคนยอนหรือหุบเขาน้อยๆ หลายแห่ง ที่มีความงดงามทั้งจากธรรมชาติสร้างสรรค์ น้ำ ลม และฝนช่วยกันกัดเซาะจนกลายเป็นภูมิประเทศอันงดงาม และบางแห่งก็เกิดจากฝีมือมนุษย์สร้างสรรค์ ซึ่งวันนี้เราได้นำเอาแกรนด์แคนยอน(น้อยๆ) 10 แห่งในเมืองไทยมาให้ได้ชมกัน
“เสาดินนาน้อย-คอกเสือ” จ.น่าน
“เสาดินนาน้อยและคอกเสือ” ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน อ.นาน้อย จ.น่าน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะพังทลายของดินเป็นบริเวณกว้างกว่า 20 ไร่ ทำให้มีภูมิประเทศเป็นเหมือนภูเขาขนาดเล็กมีความสูงต่ำสลับกันไปบนลานโล่ง เมื่อเดินเข้าไปในบริเวณเสาดินจะเหมือนหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่งที่มีทิวทัศน์อันน่าอัศจรรย์ และบริเวณนี้ยังเป็นแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ พบเครื่องมือหินปะปนอยู่กับเศษหิน และกรวดที่สะสมตัวอยู่ในบริเวณนี้ นอกจากนั้น ยังมีเรื่องเล่าขานถึงความลี้ลับของพื้นที่บริเวณนี้ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเสาดินนาน้อยเป็นที่สถิตย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในตอนกลางคืนโดยเฉพาะช่วงวันสงกรานต์มีผู้เห็นดวงไฟสว่างสุกใสลอยอยู่เหนือเสาดิน เชื่อว่าเป็นที่ที่เทวดานางฟ้ามาเล่นสงกรานต์กัน
“แพะเมืองผี” จ.แพร่
“แพะเมืองผี” ตั้งอยู่ในวนอุทยานแพะเมืองผี อ.เมือง จ.แพร่ มีเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ เกิดจากสภาพภูมิประเทศซึ่งเป็นดินและหินทรายถูกตัดแต่งจากลมและน้ำเป็นรูปร่างลักษณะต่างๆ เช่น ดอกเห็ด หน้าผา ฯลฯ สำหรับชื่อของแพะเมืองผี นั้นมาจากภาษาพื้นเมือง โดยแพะ แปลว่า ป่าละเมาะ ส่วน เมืองผี แปลว่า เงียบเหงา วังเวง ซึ่งอาจเกิดจากสภาพภูมิประเทศที่ดูเร้นลับน่ากลัวนั่นเอง
“ละลุ” จ.สระแก้ว
"ละลุ" ละลุ ตั้งอยู่ใน ต.ทัพราช อ.ตราพระยา จ.สระแก้ว เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการยุบตัวและพังทลายของดิน ก่อนจะถูกลมและฝนกัดเซาะเป็นเวลายาวนาน เกิดเป็นเสาดินรูปร่างแปลกตาบนพื้นที่รวมกันถึง 60 ไร่ เป็นประติมากรรมธรรมชาติชวนพิศวงรูปร่างแปลกตาเกิดขึ้นอยู่ทั่วบริเวณ และในหน้าฝน บริเวณใกล้เคียงจะมีนาข้าวเขียวชอุ่มขึ้นอยู่ทั่วบริเวณดูน่าชมยิ่งขึ้นไปอีก
“กองแลน” อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน
“กองแลน” ตั้งอยู่ใน ต.ทุ่งยาว อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เป็นสถานที่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยเกิดจากการยุบตัวของดินที่อยู่ตามหุบเขาจนกลายเป็นทางเส้นเล็กๆ บนสันเขา จนชาวบ้านเปรียบเส้นทางเดินนี้ว่าเป็นถนนของตัวแลน (กอง = ถนน แลน = ตะกวด) เนื่องจากเป็นถนนแคบๆ นั่นเอง ส่วนชาวต่างชาติก็เรียกที่นี่ว่า “ปายแคนยอน” เพราะลักษณะเป็นผืนดินที่ถูกกัดเซาะเป็นร่องลึกคล้ายหน้าผาติดต่อกันเป็นบริเวณกว้างประมาณ 5 ไร่เศษ สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ทุกฤดูกาล แต่ในหน้าฝนต้องระมัดระวังความลื่นให้มาก
“ผาช่อ” จ.เชียงใหม่
“ผาช่อ” ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วาง อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ สันนิษฐานว่าบริเวณนี้เคยเป็นเส้นทางไหลของแม่น้ำมาก่อน ต่อมาเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสัณฐานธรณี บริเวณนี้ถูกดันตัวขึ้นกลายเป็นพื้นที่เนินเขาและที่ลาดชัน เนื่องจากตะกอนในยุคเทอร์เชียรี่มีอายุไม่มากนัก จึงยังไม่เปลี่ยนสภาพเป็นหินแข็ง ขณะที่ชั้นตะกอนของหินกรวดและหินทรายที่วางตัวเป็นชั้นสลับกัน มีคุณสมบัติคงทนต่อการสึกกร่อนต่างกัน ครั้นเมื่อถูกลมฝนน้ำกัดเซาะชะล้างหน้าดินกินเวลายาวนาน บริเวณนี้ก็ได้กลายเป็นหน้าผาดินและเสาดินที่มีรูปร่างแปลกตาที่ถูกขนานนามว่า “ผาช่อ” นั่นเอง
สามพันโบก จ.อุบลราชธานี
“สามพันโบก” ตั้งอยู่ที่บ้านโป่งเป้า ต.เหล่างาม อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี เป็นปรากฏการณ์ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติแห่งลำน้ำโขงเมืองอุบลฯ ซึ่งเมื่อถึงช่วงหน้าแล้งแม่น้ำโขงลดระดับลง แนวโขดหิน ผาหิน โบกหินที่อยู่ใต้น้ำ ก็จะเผยโฉมที่ซุกซ่อนอยู่ ปรากฏสรีระรูปร่างให้เราได้ยลโฉมในความงามแปลกตาอันเกิดจากธรรมชาติสรรสร้าง จนกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาอันลือชื่อของเมืองไทย ส่วนชื่อของ “สามพันโบก” นั้นก็หมายถึงหลุมหรือแอ่ง ซึ่งเกิดจากจากการที่กระแสน้ำได้พัดพาก้อนกรวด หิน ทราย และเศษไม้ กัดเซาะขัดแผ่นหินทรายให้เกิดเป็นหลุมแอ่งขึ้น มีทั้งโบกขนาดเล็กไปจนถึงโบกขนาดกว้างใหญ่นับพันโบกเลยทีเดียว
ที่กล่าวมาจนถึงตรงนี้ ทุกแห่งล้วนแล้วแต่เป็น “แคนยอน” ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ คราวนี้เรามาชมแคนยอนที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์กันบ้าง เริ่มกันที่
“หางดง แกรนด์แคนยอน เชียงใหม่” จ.เชียงใหม่
ที่หางดง แกรนด์แคนยอน เมื่อก่อนนี้เป็นที่ดินส่วนบุคคล ซึ่งเจ้าของใช้พื้นที่แห่งนี้เพื่อตักหน้าดินนำไปขาย จนเวลาล่วงเลยหลายปีหลุมดินที่ถูกตักไปและการสะสมของน้ำฝน ทำให้ที่นี่กลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ท่ามกลางคันดินที่สูงชัน มีขนาดพื้นที่ประมาณ 30 ไร่ มีคันดินสูงเกือบ 15 ม. และมีความลึกของน้ำเกือบ 20 ม. และมักมีผู้แอบเข้าไปเล่นน้ำและบางครั้งเกิดอุบัติเหตุโดยที่เจ้าของพื้นที่ไม่รู้ ดังนั้นต่อมาเมื่อเจ้าของเล็งเห็นว่าเมื่อห้ามนักท่องเที่ยวไม่ได้ จึงเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเสียเลย และแนะนำให้ผู้ที่มาเที่ยวควรสวมเสื้อชูชีพและระมัดระวังขณะเล่นน้ำด้วย
“บึงแสนโคตร จ.อุบลราชธานี”
“บึงแสนโคตร” ได้ชื่อว่าเป็น “แกรนด์แคนยอนอีสาน” ตั้งอยู่ที่บ้านหนองไหล ต.หนองขอน อ.เมืองอุบลราชธานี ที่นี่เดิมเป็นที่สาธารณะของหมู่บ้าน มีอาณาเขตกว่า 700 ไร่ โดยส่วนหนึ่งแบ่งเป็นค่ายที่พักลูกเสือ และอีกส่วนประมาณ 100 ไร่ถูกขุดดินไปถมพื้นที่ก่อสร้างของทางราชการ เช่น ศาลากลางจังหวัด ศาลปกครอง เพื่อให้บริเวณดังกล่าวกลายเป็นหนองน้ำสาธารณะเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง สุดท้ายเลยกลายเป็นบึงน้ำสีฟ้าที่สวยงาม เพราะมีสารละลายของแร่คาร์บอเนตและไบคาร์บอเนต หรือหินปูน น้ำจึงสะท้อนแสงออกเป็นสีเขียว และมีค่าของความเป็นกรดเป็นด่างในระดับเกินเกณฑ์มาตรฐาน อาจทำให้ผิวหนังแพ้ได้ ดังนั้นที่นี่จึงเหมาะแก่การถ่ายรูปชมวิวเท่านั้น
“แกรนด์แคนยอน คีรี” จ.ชลบุรี
“แกรนด์แคนยอน คีรี” หรือ เขาเสือ” เป็นบ่อดินลูกรังเก่าพื้นที่นับ 100 ไร่ ลึกไม่น้อยกว่า 30 เมตร อยู่ใน ต.ห้วยกะปิ อ.เมือง จ.ชลบุรี ที่มีน้ำเขียวสดใสอยู่เต็มบ่อ ที่นี่เป็นแหล่งสัมปทานระเบิดหินมานานกว่า 40 ปี และเลิกดำเนินการมาประมาณ 5 ปีกว่าแล้ว เนื่องจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องไม่ต่อสัมปทานในการระเบิดหิน จึงได้ปล่อยทิ้งไว้ เมื่อระยะเวลาผ่านไปธรรมชาติก็ปั้นแต่งจนมีความสวยงามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน แต่เนื่องจากยังไม่มีผู้เข้ามาดูแลให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างจริงจัง จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการเที่ยวชมให้มาก เพราะพื้นที่มีความเสี่ยง โดยอยู่ใกล้ทางรถไฟอาจมีหินถล่มจนเกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยวได้
“ระนองแคนยอน” จ.ระนอง
“ระนองแคนย่อน” ตั้งอยู่ที่บ้านทุ่งคา ต.หาดส้มแป้น อ.เมือง จ.ระนอง อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 15 กม. ที่นี่เดิมเรียกว่า “บึงมรกต” เคยเป็นเหมืองแร่ดีบุกเก่า เกิดจากภูเขาหินปูนที่ถูกกัดเซาะจนเว้าแหว่งเกิดเป็นบึงที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา เมื่อมองจากเนินเขาข้างบนลงมาจะเห็นน้ำในบึงใสแจ๋วสะท้อนสีของฟ้าและต้นไม้เป็นสีเขียวอมฟ้าดุจดังมรกต ช่วงเช้าของทุกวันที่บึงแห่งนี้จะมีหมอกขาวโพลนลอยเหนือน้ำ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าหมอกไล่น้ำอีกด้วย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com