Facebook : Travel @ Manager

ฤดูกาลแห่งการท่องเที่ยวขึ้นภูขึ้นดอยรับลมหนาวเวียนมาถึงอีกครั้ง อากาศเย็นๆ และทิวทัศน์สวยๆ ยามพระอาทิตย์ขึ้นและตก รวมทั้งบรรยากาศอันงดงามของป่าเขาที่มองไปแล้วสบายตาสบายใจ ทำให้ผู้ที่ได้ชมราวกับได้ชาร์จแบตเพิ่มพลังงานให้กับตัวเอง
หน้าหนาวปีนี้สำหรับคนที่อยากเที่ยวภูแต่ยังไม่รู้จะไปภูไหนดี วันนี้เรามีมาให้เลือกกันถึง 12 ภู โดยเป็น “12 ภูเมืองเลย” เนื่องจากจังหวัดเลยนั้นมีความหลากหลายทางธรรมชาติ และขึ้นชื่อว่าเป็น “เมืองที่โอบล้อมด้วยภูเขา” ที่แต่ละแห่งล้วนมีเสน่ห์และความโดดเด่นของบรรยากาศเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป จนอยากชวนให้ไปเที่ยวชมภูทั้ง 12 แห่งของเมืองเลยไปพร้อมๆ กัน

“ภูกระดึง” ภูยอดฮิตแห่งเมืองเลย
ถ้าพูดถึงภูแห่งเมืองเลยแล้ว เชื่อว่า “ภูกระดึง” ต้องมาเป็นที่ 1 ในใจของหลายๆ โดยอุทยานแห่งชาติภูกระดึง อ.ภูกระดึง จ.เลย ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตตลอดกาลของเมืองไทยไปแล้ว ด้วยระดับความสูง 1,288 เมตรจากระดับน้ำทะเล นักท่องเที่ยวต้องเดินเท้าขึ้นไปบนยอดเขาสูงในระยะทางประมาณ 7 กม. ผ่านซำต่างๆ อาทิ ซำแฮ่ก ซำแคร่ ไปจนถึง “หลังแป” หรือยอดภูกระดึงที่เป็นหน้าผาตัดกว้างใหญ่ลักษณะรูปหัวใจ แต่หลายคนก็ยอมลำบากเดินขึ้นไปเพื่อถ่ายรูปเคียงคู่กับป้าย “ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” เป็นที่ระลึกบริเวณหลังแป อีกทั้งยังเพื่อไปสัมผัสกับอากาศหนาวและความงดงามของทิวทัศน์ด้านบน

เมื่อขึ้นไปถึงยอดภูแล้ว ก็พลาดไม่ได้ที่จะไปชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าตรู่ ที่ “ผานกแอ่น” ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับลานกางเต็นท์ และชมพระอาทิตย์ตกดินในยามพลบค่ำ ที่ “ผาหล่มสัก” ซึ่งถือได้ว่าเป็นผาที่มีคนไปรอชมมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ด้วยองค์ประกอบของความงามยามอาทิตย์อัสดงที่ลงตัว ทั้งต้นสนเดียวดายที่มีกิ่งยื่นออกไปรับกับชะง่อนหินที่ยื่นไปยังหน้าผา หรืออาจจะไปรับความเย็นฉ่ำกันในเส้นทางสายน้ำตก อาทิ น้ำตกวังกวาง น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกถ้ำใหญ่ น้ำตกถ้ำสอเหนือ ฯลฯ

“ภูเรือ” หนาวสุดในสยาม
“ภูเรือ” ได้ชื่อว่าเป็น "เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู" เพราะมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี และบนยอดภูยังมีอากาศหนาวจัดในฤดูหนาว จนมีแม่คะนิ้ง (น้ำค้างแข็งบนยอดหญ้า) ให้ชมกันทุกปี มีทั้งทิวทัศน์ที่งดงาม เป็นแหล่งปลูกดอกไม้แหล่งใหญ่ของเมืองไทย
สำหรับยอดภูเรือนั้น ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูเรือ อ.ภูเรือ จ.เลย เป็นจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกอันน่าประทับใจได้ที่บริเวณผาโหล่นน้อยและที่ยอดภูเรือ โดยในช่วงเดือนธันวาคมหรือมกราคมที่อากาศหนาวจัดก็จะมีแม่คะนิ้งให้ได้ชมกันที่นี่ อีกทั้งยังมี "พระพุทธรูปนาวาบรรพต" เป็นพระพุทธรูปที่ชาวภูเรือให้ความเคารพศรัทธาประดิษฐานอยู่ด้านบนอีกด้วย

ส่วนใน อ.ภูเรือยังเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชเมืองหนาวได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นต้นคริสต์มาส ดาวเรือง ไฮเดรนเยีย พิทูเนีย เห็ดหอม องุ่น ฯลฯ ซึ่งก็มีสวนหรือฟาร์มพืชผักหลายแห่งที่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว หรือหากอยากชมดอกไม้เมืองหนาวสวยๆ ก็สามารถไปชมกันได้ที่ "ตลาดไม้ดอกเมืองหนาวบ้านหนองบง" ที่เป็นแหล่งจำหน่ายไม้ดอกไม้ประดับแหล่งใหญ่ ที่นอกจากจะมากไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับอันสวยสดชื่น

“ภูหลวง” มรกตแห่งอีสาน
“ภูหลวง” หรือ “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง” มีพื้นที่ครอบคลุม 3 อำเภอ คือ อำเภอภูหลวง ภูเรือ และด่านซ้าย ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็น “มรกตแห่งอีสาน” โดยได้รับยกย่องให้เป็นดินแดนแห่งพืชพันธุ์ไม้ที่สวยงามในอันดับต้นๆของเมืองไทย โดยเฉพาะกล้วยไม้ป่าหายากที่ภูหลวงมีให้ชมเป็นจำนวนมาก
ด้วยระดับความสูง 1,200-1,500 เมตร ทุกๆ ปีในช่วงฤดูร้อน (ก.พ.-เม.ย.) บนยอดภูหลวงจะบานสะพรั่งไปด้วยดอกไม้และกล้วยไม้นานาชนิด โดยเฉพาะดอกกุหลาบพันปีสีแดง (Rhododendron simsii) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ภูหลวงจะบานสะพรั่งสดใสในหลายพื้นที่ด้วยกัน นอกจากนั้นก็ยังมีกล้วยไม้เด่นๆ อาทิ กุหลาบขาว เอื้องตาเหิน เอื้องม่อนไข่ สิงโตใบพาย เอื้องสำเภางาม สร้อยระย้า เอื้องมยุรา ฯลฯ

ส่วนเรื่องทิวทัศน์ของภูหลวงก็ไม่เป็นรองใคร โดยจุดชมวิวบริเวณผาช้างผ่าน ผาสมเด็จ ผาเตลิ่น ผากบ ผาชมวิว ฯลฯ ก็มีความงดงามในมุมมองที่แตกต่างกันไป อีกทั้งที่นี่ยังมีความสำคัญทางด้านธรณีวิทยาอีกด้วย เพราะพบรอยเท้าไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ที่บริเวณผาเตลิ่น แสดงให้เห็นว่าป่าภูหลวงในยุคหลายล้านปีมานั้นก็ยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ดึกดำบรรพ์ด้วย

“ภูลมโล” ชมพูสะพรั่งไปทั้งดอย
“ภูลมโล” ตั้งอยู่ใน อ.ด่านซ้าย จ.เลย เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มียอดสูง 1,680 เมตรจากระดับน้ำทะเล ด้านบนภูมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ในอดีตพื้นที่ภูลมโลเป็นพื้นที่สีแดงเพราะเคยเป็นสมรภูมิรบระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ครั้นเมื่อเหตุการณ์สงบชาวม้งได้เข้ามาครอบครองพื้นที่ หักร้างถางพง ทำไร่เลื่อนลอย จนภูลมโลกลายเป็นเขาหัวโล้น ต่อมาทาง อช.ภูหินร่องกล้า ขอพื้นที่คืน โดยตกลงกันให้ชาวม้งปลูกพืชไร่ควบคู่ไปกับต้นนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทย เป็นระยะเวลา 3 ปี ก่อนออกจากพื้นที่ หลังจากนั้นภูลมโลก็ค่อยๆ พลิกฟื้นผืนป่าและธรรมชาติให้กลับคืนมา จนปัจจุบันภูลมโลกลายเป็นแหล่งปลูกนางพญาเสือโคร่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีจำนวนนับหลายหมื่นต้น บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่

ทุกๆ ปีในช่วงกลางหนาวราวกลางเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ต้นนางพญาเสือโคร่งที่ภูลมโลจะพร้อมใจกันผลิดอกเบ่งบาน จนทำให้ภูลมโลกลายเป็นภูเขาสีชมพูหวานบานสะพรั่ง โดยมีต้นนางพญาเสือโคร่งหลายแปลงให้ได้ชมกัน เช่นที่ภูขี้เถ้าซึ่งเป็นเทือกเขาเดียวกับภูลมโล มีพื้นที่ต่อเนื่องกัน นอกจากนั้นยังมีจุดชมวิว “ผาภูลมโล” ที่เป็นแนวผาทอดยาว มีชะง่อนหินผายื่นออกไปให้นักท่องเที่ยวไปหามุมถ่ายรูปกันหลายจุดด้วยกันอีกด้วย

“ภูทอก” จุดชมทะเลหมอกยอดฮิต
“ภูทอก” ใน อ.เชียงคาน จ.เลย เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวเชียงคานแล้วมักไม่พลาดไปชมทะเลหมอกและทิวทัศน์ยามเช้ากันที่ภูทอก
คำว่า “ภูทอก” เป็นภาษาถิ่นหมายถึง “ภูเขาที่โดดเดี่ยว” โดยภูทอกแห่งเชียงคานนั้นเป็นจุดชมวิวทะเลหมอกที่มีชื่อเสียง บนยอดภูจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองเชียงคานที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอก และลำน้ำโขงที่ไหลผ่านแนบชิดเมืองเชียงคานแห่งนี้ การขึ้นไปบนยอดภูทอกนั้นไม่สามารถนำรถขึ้นไปบนยอดภูได้เอง แต่จะมีรถบริการคอยรับส่งสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งขาไปและกลับขึ้นสู่บนยอดภู


“ภูป่าเปาะ” จุดชม “ฟูจิเมืองเลย”
“ภูป่าเปาะ” ใน อ.หนองหิน จ.เลย เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวมาแรงของจังหวัดเลย อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูค้อ-ภูกระแต ซึ่งห่างจากสวนผาหินงามหรือคุนหมิงเมืองไทยประมาณ 7 ก.ม. เป็นจุดชมวิวที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 900 ม. ต้องนั่งรถอีแต๊กขึ้นไปชม โดยบนภูป่าเปาะนั้นมีจุดชมวิวอยู่ด้วยกัน 4 จุด แต่ละจุดมีระยะทางห่างกันประมาณ 200 ม. แต่จุดชมวิวที่สำคัญก็คือจุดที่สามารถมองเห็น “ภูหอ” ภูเขาที่ว่ากันว่ามีลักษณะคล้ายกับภูเขาไฟฟูจิ ของประเทศญี่ปุ่น จนทำให้ใครหลายคนขนานนามให้เป็น “ฟูจิเมืองเลย”

สำหรับ “ภูหอ” หรือฟูจิเมืองเลยที่ว่านี้ มีลักษณะเป็นภูเขาสูงฐานกว้าง มีพื้นที่ด้านล่างเป็นพื้นราบโล่ง ปลายยอดภูเขาเป็นเขาหัวตัดเหมือนปล่องภูเขาไฟ บนยอดเขาจะมีกลุ่มเมฆปกคลุมจางๆ เมื่อมองแล้วทำให้คล้ายกับภูเขาไฟฟูจิ ของประเทศญี่ปุ่น ส่วนจุดชมวิวอีก 3 จุด ก็จะมองเห็นทิวทัศน์ที่แตกต่างกันไป บางจุดสามารถชมทัศนียภาพได้ถึง 360 องศา ในวันฟ้าโปร่งจะสามารถมองเห็นวิวของภูเขาได้ถึง 8 แห่งด้วยกัน ได้แก่ ภูหินร่องกล้า ภูหอ ภูหลวง ภูกระดึง ภูผาจิต ภูผาม่าน สวนหินผางาม และเขาค้ออีกด้วย

“ภูสวนทราย” ชมน้ำตกสองแผ่นดิน
“อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย” ก็คือที่เดียวกับ “อุทยานแห่งชาตินาแห้ว” (เดิม) ซึ่งได้มีการเปลี่ยนชื่อเมื่อปี 2549 เนื่องต้องการเน้นให้เห็นถึงความโดดเด่นของภูสวนทราย ซึ่งเป็นภูเขาสำคัญในพื้นที่อุทยานฯ และเพื่อให้สอดคล้องกับแหล่งท่องเที่ยวประเภทภูเขาในจังหวัดเลยที่เดิมนั้นมีภูชื่อดังอยู่ 3 ภูด้วยกัน คือ ภูกระดึง ภูหลวง และภูเรือ

อช.ภูสวนทรายแห่งนี้ ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนประเทศลาว ทำให้มีน้ำตกรอยต่อ 2 แผ่นดิน หรือ “น้ำตกตาดเหือง” ที่ไหลคร่อมแผ่นดินไทย-ลาว ถ้ามองเข้าไปในตัวน้ำตก ประเทศไทยจะอยู่ฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายก็คือประเทศลาว แต่ก็ไม่ได้มีเขตคั่นแบ่งสองประเทศให้เห็นด้วยตาเปล่า มีเพียงสายน้ำสีขาวไหลตกกระทบแอ่งเบื้องล่างอย่างสวยงาม อีกทั้งที่นี่ยังเป็นแหล่งดูนกชั้นดีอีกแห่งหนึ่ง โดยมีทั้งนกประจำถิ่น และนกอพยพ นกที่เด่นๆ คือ นกมุ่นรกคอแดง นกพญาปากกว้างอกสีเงิน นกกะลิงเขียดสีเทา นกขุนแผนหัวแดง และนกปากนกแก้วหางสั้น ซึ่งเป็นนกประจำถิ่นหายาก และถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของ อช.ภูสวนทรายอีกด้วย

“ภูบ่อบิด” ชมวิวเมืองเลยรอบทิศทาง
“ภูบ่อบิด” เป็นอีกหนึ่งเขาสูงชันโดดเด่น ตั้งอยู่ อ.เมือง จ.เลย ซึ่งบนยอดภูบ่อบิดนั้นจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพได้รอบทิศทางของเมืองเลย ความพิเศษของภูบ่อบิดคือนักท่องเที่ยวสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ในที่เดียวกัน อีกทั้งในเวลาพลบค่ำจะมองเห็นแสงไฟจากบ้านเรือนและถนนหนทางของเมืองเลยปรากฏเด่นชัดเป็นภาพที่งดงามมาก โดยการเดินทางขึ้นยอดภูบ่อบิดนั้นเป็นเส้นทางบันไดที่สามารถเดินเท้าขึ้นไปจนถึงยอด สองข้างทางเดินขึ้นสู่ยอดภูบ่อบิดยังคงมีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์สวยงาม ร่มรื่น และมีจุดพักบริเวณถ้ำพระให้นักท่องเที่ยวสามารถพักได้


“ภูผาหมวก” ชมทิวทัศน์งามชายแดนไทยลาว
“ภูผาหมวก” อ.นาแห้ว จ.เลย ซึ่งเดิมทีเป็นฐานที่มั่นทหารสมัยสงครามร่มเกล้า ภูผาหมวกนั้นเป็นจุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ตกที่สวยงามแห่งหนึ่งในจังหวัดเลย ซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของตัวอำเภอนาแห้ว โดยเฉพาะบรรยากาศทุ่งนากว้างใหญ่ และทิวทัศน์ของชายแดนบริเวณ "บ้านเหมืองแพร่" ซึ่งมี “แม่น้ำเหือง” เป็นพรมแดนกั้นระหว่างไทย-ลาว โดยแม่น้ำในช่วงนี้แคบจนดูเหมือนคลองมากกว่า ส่วนหมู่บ้านทั้งสองฝั่งที่อยู่คนละประเทศนั้นมีชื่อเดียวกันคือ “บ้านเหมืองแพร่” ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นญาติพี่น้องที่ข้ามฝั่งไปมาหาสู่กันอย่างอิสระมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนจะถูกแบ่งให้กลายเป็นคนละชาติด้วยแม่น้ำสายนี้
จากบริเวณจุดจอดรถมายังผาหมวกนั้นมีระยะทางประมาณ 800 เมตร ซึ่งเป็นทางดินเดินขึ้นเขา แม้ไม่ชันมากนักแต่ก็ทำให้หอบได้เหมือนกัน เดินไปพักไปใช้เวลาราว 20 นาทีก็จะถึงผาหมวกแล้ว


"ภูผาหนอง" ชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก
ภูแห่งที่ 10 ที่นำมาแนะนำกันในวันนี้ก็คือ "ภูผาหนอง" อ.นาแห้ว จ.เลย ซึ่งเป็นเขาลูกเดียวกับภูผาหมวก (อันดับที่ 9) มีทางเดินขึ้นทางเดียวกัน แต่เมื่อขึ้นไปแล้วจะมีทางแยกให้เลี้ยวไปคนละชะง่อนผา โดยจากภูผาหมวกจะต้องเดินต่อไปอีกราว 500 เมตร แยกไปทางซ้ายก็จะถึงภูผาหนอง
ระหว่างทางเดินนั้นจะมีบังเกอร์หลบภัยของทหารสมัยสงครามร่มเกล้า (ช่วงปี 2531) ให้เห็นเป็นระยะ จากนั้นไม่นาน จากนั้นจะเจอลานหินกว้างซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และหนองน้ำธรรมชาติบนลานหินอันเป็นที่มาของชื่อผาหนอง ซึ่งจากจุดนี้ต้องปีนบันไดขึ้นไปยังก้อนหินใหญ่อันเป็นจุดชมวิวสูงสุดของผาหนองแห่งนี้
ด้านบนผาหนองเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นได้อย่างสวยงาม และในวันที่อากาศเป็นใจก็จะได้เห็นทะเลหมอกงดงามจากบริเวณนี้ แต่หากวันไหนไม่มีหมอกก็จะได้ชมวิวของทิวเขาสูงต่ำเบื้องหน้าในฝั่งประเทศลาว และสัมผัสอากาศเย็นสดชื่นแทน

“ภูบักได” ผาหลอกลวง จ.เลย
มาถึงจุดชมวิวที่กำลังเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียลกันในขณะนี้ นั่นคือ “ภูบักได” หรือ “ผาหลอกลวง” หรือ “ผาขี้ตั๋ว” ในภาษาอีสาน โดยผาที่ว่านี้ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง บริหารจัดการโดยชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนปลาบ่า ต.ปลาบ่า อ.ภูเรือ จ.เลย โดยจุดเด่นของภูบักได หรือผาหลอกลวงนี้ก็คือเป็นก้อนหินแบนๆ ยื่นออกมากลางอากาศ นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปยืนถ่ายรูปบนหินนั้น แล้วทำให้ดูเหมือนว่าช่างเป็นจุดชมวิวที่น่าหวาดเสียว น่ากลัวจะตกลงไป แต่ที่จริงแล้วหินก้อนนั้นอยู่สูงจากพื้นไม่กี่เมตร ตกลงไปอาจจะมีกลิ้งเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับตกเขาแน่นอน จึงได้ชื่อว่า “ผาหลอกลวง” นั่นเอง
การจะไปภูบักไดนี้ไม่ง่ายนัก เพราะต้องเดินทางไปด้วยรถอีแต๊ก 8 กิโลเมตร และเดินเท้าอีก 4 กิโลเมตร รวม 12 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ช่วงนี้ยังมีอากาศหนาวเย็น ลมแรงมาก แต่ก็เชื่อว่าเป็นที่เที่ยวมาแรงแห่งใหม่ที่หลายคนอยากไปแน่นอน

"ภูลำดวน" ภูสวยสดใหม่แห่งปากชม
"ภูลำดวน" เป็นจุดชมวิวน้องใหม่ของอำเภอปากชม อำเภอชายแดนริมแม่น้ำโขงของจังหวัดเลย แต่เดิมมีชื่อเรียกว่า "ภูซำทอง" เพราะมีห้วยซำทองไหลผ่านใกล้ๆ อีกทั้งเมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดของชาวบ้าน แต่ต่อมาได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่นี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยเปิดให้เป็นจุดชมวิวแห่งใหม่ของปากชม เพราะจากบริเวณนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของโค้งแม่น้ำโขงได้อย่างสวยงาม จึงตั้งชื่อใหม่ให้จุดชมวิวแห่งนี้ว่า "ภูลำดวน" ตามชื่อของเจ้าของที่ดินแห่งนี้
ทิวทัศน์บนภูลำดวนนั้นสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา ด้านหน้ามองเห็นแม่น้ำโขงช่วงโค้งน้ำพอดี มีเกาะแก่งน้อยใหญ่อยู่กลางน้ำ มองเห็นบ้านเรือนของตัวอำเภอปากชมอยู่ทางขวามือ และเห็นบ้านเรือนของพี่น้องชาวลาวทางฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำโขง และเมื่อหันมามองทางซ้ายมือ ทางฝั่งไทยจะเห็นบ้านเรือนของบ้านคกไผ่ ของอำเภอปากชมเช่นกัน บริเวณนี้มีร้านอาหารริมแม่น้ำโขงให้บริการหลายร้าน

ปัจจุบันสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปเที่ยวชมภูลำดวนในปีนี้คือ “สกายวอล์ก” หรือสะพานที่สร้างด้วยไม้ ยาวประมาณ 200 เมตรทอดยาวสุดตา ทำให้ได้เห็นมุมมองของธรรมชาติในมุมสูงหันไปมองได้รอบตัว 360 องศา
สำหรับอำเภอปากชมนั้นอยู่ห่างจากอำเภอเชียงคาน แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดเลยเพียง 40 กิโลเมตร ขับรถเลียบแม่น้ำโขงราว 1 ชั่วโมงเท่านั้น ระหว่างทางจะได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงามของเกาะแก่งในแม่น้ำโขงและทิวเขาทั้งสองฟากฝั่ง อำเภอปากชมและ "ภูลำดวน" จึงสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงของผู้ที่มาเที่ยวอำเภอเชียงคานได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือมีความสวยงามไม่น้อยกว่าภูแห่งอื่นๆ ของจังหวัดเลยอีกด้วย
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ฤดูกาลแห่งการท่องเที่ยวขึ้นภูขึ้นดอยรับลมหนาวเวียนมาถึงอีกครั้ง อากาศเย็นๆ และทิวทัศน์สวยๆ ยามพระอาทิตย์ขึ้นและตก รวมทั้งบรรยากาศอันงดงามของป่าเขาที่มองไปแล้วสบายตาสบายใจ ทำให้ผู้ที่ได้ชมราวกับได้ชาร์จแบตเพิ่มพลังงานให้กับตัวเอง
หน้าหนาวปีนี้สำหรับคนที่อยากเที่ยวภูแต่ยังไม่รู้จะไปภูไหนดี วันนี้เรามีมาให้เลือกกันถึง 12 ภู โดยเป็น “12 ภูเมืองเลย” เนื่องจากจังหวัดเลยนั้นมีความหลากหลายทางธรรมชาติ และขึ้นชื่อว่าเป็น “เมืองที่โอบล้อมด้วยภูเขา” ที่แต่ละแห่งล้วนมีเสน่ห์และความโดดเด่นของบรรยากาศเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป จนอยากชวนให้ไปเที่ยวชมภูทั้ง 12 แห่งของเมืองเลยไปพร้อมๆ กัน
“ภูกระดึง” ภูยอดฮิตแห่งเมืองเลย
ถ้าพูดถึงภูแห่งเมืองเลยแล้ว เชื่อว่า “ภูกระดึง” ต้องมาเป็นที่ 1 ในใจของหลายๆ โดยอุทยานแห่งชาติภูกระดึง อ.ภูกระดึง จ.เลย ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตตลอดกาลของเมืองไทยไปแล้ว ด้วยระดับความสูง 1,288 เมตรจากระดับน้ำทะเล นักท่องเที่ยวต้องเดินเท้าขึ้นไปบนยอดเขาสูงในระยะทางประมาณ 7 กม. ผ่านซำต่างๆ อาทิ ซำแฮ่ก ซำแคร่ ไปจนถึง “หลังแป” หรือยอดภูกระดึงที่เป็นหน้าผาตัดกว้างใหญ่ลักษณะรูปหัวใจ แต่หลายคนก็ยอมลำบากเดินขึ้นไปเพื่อถ่ายรูปเคียงคู่กับป้าย “ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” เป็นที่ระลึกบริเวณหลังแป อีกทั้งยังเพื่อไปสัมผัสกับอากาศหนาวและความงดงามของทิวทัศน์ด้านบน
เมื่อขึ้นไปถึงยอดภูแล้ว ก็พลาดไม่ได้ที่จะไปชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าตรู่ ที่ “ผานกแอ่น” ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับลานกางเต็นท์ และชมพระอาทิตย์ตกดินในยามพลบค่ำ ที่ “ผาหล่มสัก” ซึ่งถือได้ว่าเป็นผาที่มีคนไปรอชมมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ด้วยองค์ประกอบของความงามยามอาทิตย์อัสดงที่ลงตัว ทั้งต้นสนเดียวดายที่มีกิ่งยื่นออกไปรับกับชะง่อนหินที่ยื่นไปยังหน้าผา หรืออาจจะไปรับความเย็นฉ่ำกันในเส้นทางสายน้ำตก อาทิ น้ำตกวังกวาง น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกถ้ำใหญ่ น้ำตกถ้ำสอเหนือ ฯลฯ
“ภูเรือ” หนาวสุดในสยาม
“ภูเรือ” ได้ชื่อว่าเป็น "เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู" เพราะมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี และบนยอดภูยังมีอากาศหนาวจัดในฤดูหนาว จนมีแม่คะนิ้ง (น้ำค้างแข็งบนยอดหญ้า) ให้ชมกันทุกปี มีทั้งทิวทัศน์ที่งดงาม เป็นแหล่งปลูกดอกไม้แหล่งใหญ่ของเมืองไทย
สำหรับยอดภูเรือนั้น ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูเรือ อ.ภูเรือ จ.เลย เป็นจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกอันน่าประทับใจได้ที่บริเวณผาโหล่นน้อยและที่ยอดภูเรือ โดยในช่วงเดือนธันวาคมหรือมกราคมที่อากาศหนาวจัดก็จะมีแม่คะนิ้งให้ได้ชมกันที่นี่ อีกทั้งยังมี "พระพุทธรูปนาวาบรรพต" เป็นพระพุทธรูปที่ชาวภูเรือให้ความเคารพศรัทธาประดิษฐานอยู่ด้านบนอีกด้วย
ส่วนใน อ.ภูเรือยังเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชเมืองหนาวได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นต้นคริสต์มาส ดาวเรือง ไฮเดรนเยีย พิทูเนีย เห็ดหอม องุ่น ฯลฯ ซึ่งก็มีสวนหรือฟาร์มพืชผักหลายแห่งที่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว หรือหากอยากชมดอกไม้เมืองหนาวสวยๆ ก็สามารถไปชมกันได้ที่ "ตลาดไม้ดอกเมืองหนาวบ้านหนองบง" ที่เป็นแหล่งจำหน่ายไม้ดอกไม้ประดับแหล่งใหญ่ ที่นอกจากจะมากไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับอันสวยสดชื่น
“ภูหลวง” มรกตแห่งอีสาน
“ภูหลวง” หรือ “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง” มีพื้นที่ครอบคลุม 3 อำเภอ คือ อำเภอภูหลวง ภูเรือ และด่านซ้าย ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็น “มรกตแห่งอีสาน” โดยได้รับยกย่องให้เป็นดินแดนแห่งพืชพันธุ์ไม้ที่สวยงามในอันดับต้นๆของเมืองไทย โดยเฉพาะกล้วยไม้ป่าหายากที่ภูหลวงมีให้ชมเป็นจำนวนมาก
ด้วยระดับความสูง 1,200-1,500 เมตร ทุกๆ ปีในช่วงฤดูร้อน (ก.พ.-เม.ย.) บนยอดภูหลวงจะบานสะพรั่งไปด้วยดอกไม้และกล้วยไม้นานาชนิด โดยเฉพาะดอกกุหลาบพันปีสีแดง (Rhododendron simsii) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ภูหลวงจะบานสะพรั่งสดใสในหลายพื้นที่ด้วยกัน นอกจากนั้นก็ยังมีกล้วยไม้เด่นๆ อาทิ กุหลาบขาว เอื้องตาเหิน เอื้องม่อนไข่ สิงโตใบพาย เอื้องสำเภางาม สร้อยระย้า เอื้องมยุรา ฯลฯ
ส่วนเรื่องทิวทัศน์ของภูหลวงก็ไม่เป็นรองใคร โดยจุดชมวิวบริเวณผาช้างผ่าน ผาสมเด็จ ผาเตลิ่น ผากบ ผาชมวิว ฯลฯ ก็มีความงดงามในมุมมองที่แตกต่างกันไป อีกทั้งที่นี่ยังมีความสำคัญทางด้านธรณีวิทยาอีกด้วย เพราะพบรอยเท้าไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ที่บริเวณผาเตลิ่น แสดงให้เห็นว่าป่าภูหลวงในยุคหลายล้านปีมานั้นก็ยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ดึกดำบรรพ์ด้วย
“ภูลมโล” ชมพูสะพรั่งไปทั้งดอย
“ภูลมโล” ตั้งอยู่ใน อ.ด่านซ้าย จ.เลย เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มียอดสูง 1,680 เมตรจากระดับน้ำทะเล ด้านบนภูมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ในอดีตพื้นที่ภูลมโลเป็นพื้นที่สีแดงเพราะเคยเป็นสมรภูมิรบระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ครั้นเมื่อเหตุการณ์สงบชาวม้งได้เข้ามาครอบครองพื้นที่ หักร้างถางพง ทำไร่เลื่อนลอย จนภูลมโลกลายเป็นเขาหัวโล้น ต่อมาทาง อช.ภูหินร่องกล้า ขอพื้นที่คืน โดยตกลงกันให้ชาวม้งปลูกพืชไร่ควบคู่ไปกับต้นนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทย เป็นระยะเวลา 3 ปี ก่อนออกจากพื้นที่ หลังจากนั้นภูลมโลก็ค่อยๆ พลิกฟื้นผืนป่าและธรรมชาติให้กลับคืนมา จนปัจจุบันภูลมโลกลายเป็นแหล่งปลูกนางพญาเสือโคร่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีจำนวนนับหลายหมื่นต้น บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่
ทุกๆ ปีในช่วงกลางหนาวราวกลางเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ต้นนางพญาเสือโคร่งที่ภูลมโลจะพร้อมใจกันผลิดอกเบ่งบาน จนทำให้ภูลมโลกลายเป็นภูเขาสีชมพูหวานบานสะพรั่ง โดยมีต้นนางพญาเสือโคร่งหลายแปลงให้ได้ชมกัน เช่นที่ภูขี้เถ้าซึ่งเป็นเทือกเขาเดียวกับภูลมโล มีพื้นที่ต่อเนื่องกัน นอกจากนั้นยังมีจุดชมวิว “ผาภูลมโล” ที่เป็นแนวผาทอดยาว มีชะง่อนหินผายื่นออกไปให้นักท่องเที่ยวไปหามุมถ่ายรูปกันหลายจุดด้วยกันอีกด้วย
“ภูทอก” จุดชมทะเลหมอกยอดฮิต
“ภูทอก” ใน อ.เชียงคาน จ.เลย เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวเชียงคานแล้วมักไม่พลาดไปชมทะเลหมอกและทิวทัศน์ยามเช้ากันที่ภูทอก
คำว่า “ภูทอก” เป็นภาษาถิ่นหมายถึง “ภูเขาที่โดดเดี่ยว” โดยภูทอกแห่งเชียงคานนั้นเป็นจุดชมวิวทะเลหมอกที่มีชื่อเสียง บนยอดภูจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองเชียงคานที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอก และลำน้ำโขงที่ไหลผ่านแนบชิดเมืองเชียงคานแห่งนี้ การขึ้นไปบนยอดภูทอกนั้นไม่สามารถนำรถขึ้นไปบนยอดภูได้เอง แต่จะมีรถบริการคอยรับส่งสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งขาไปและกลับขึ้นสู่บนยอดภู
“ภูป่าเปาะ” จุดชม “ฟูจิเมืองเลย”
“ภูป่าเปาะ” ใน อ.หนองหิน จ.เลย เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวมาแรงของจังหวัดเลย อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูค้อ-ภูกระแต ซึ่งห่างจากสวนผาหินงามหรือคุนหมิงเมืองไทยประมาณ 7 ก.ม. เป็นจุดชมวิวที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 900 ม. ต้องนั่งรถอีแต๊กขึ้นไปชม โดยบนภูป่าเปาะนั้นมีจุดชมวิวอยู่ด้วยกัน 4 จุด แต่ละจุดมีระยะทางห่างกันประมาณ 200 ม. แต่จุดชมวิวที่สำคัญก็คือจุดที่สามารถมองเห็น “ภูหอ” ภูเขาที่ว่ากันว่ามีลักษณะคล้ายกับภูเขาไฟฟูจิ ของประเทศญี่ปุ่น จนทำให้ใครหลายคนขนานนามให้เป็น “ฟูจิเมืองเลย”
สำหรับ “ภูหอ” หรือฟูจิเมืองเลยที่ว่านี้ มีลักษณะเป็นภูเขาสูงฐานกว้าง มีพื้นที่ด้านล่างเป็นพื้นราบโล่ง ปลายยอดภูเขาเป็นเขาหัวตัดเหมือนปล่องภูเขาไฟ บนยอดเขาจะมีกลุ่มเมฆปกคลุมจางๆ เมื่อมองแล้วทำให้คล้ายกับภูเขาไฟฟูจิ ของประเทศญี่ปุ่น ส่วนจุดชมวิวอีก 3 จุด ก็จะมองเห็นทิวทัศน์ที่แตกต่างกันไป บางจุดสามารถชมทัศนียภาพได้ถึง 360 องศา ในวันฟ้าโปร่งจะสามารถมองเห็นวิวของภูเขาได้ถึง 8 แห่งด้วยกัน ได้แก่ ภูหินร่องกล้า ภูหอ ภูหลวง ภูกระดึง ภูผาจิต ภูผาม่าน สวนหินผางาม และเขาค้ออีกด้วย
“ภูสวนทราย” ชมน้ำตกสองแผ่นดิน
“อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย” ก็คือที่เดียวกับ “อุทยานแห่งชาตินาแห้ว” (เดิม) ซึ่งได้มีการเปลี่ยนชื่อเมื่อปี 2549 เนื่องต้องการเน้นให้เห็นถึงความโดดเด่นของภูสวนทราย ซึ่งเป็นภูเขาสำคัญในพื้นที่อุทยานฯ และเพื่อให้สอดคล้องกับแหล่งท่องเที่ยวประเภทภูเขาในจังหวัดเลยที่เดิมนั้นมีภูชื่อดังอยู่ 3 ภูด้วยกัน คือ ภูกระดึง ภูหลวง และภูเรือ
อช.ภูสวนทรายแห่งนี้ ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนประเทศลาว ทำให้มีน้ำตกรอยต่อ 2 แผ่นดิน หรือ “น้ำตกตาดเหือง” ที่ไหลคร่อมแผ่นดินไทย-ลาว ถ้ามองเข้าไปในตัวน้ำตก ประเทศไทยจะอยู่ฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายก็คือประเทศลาว แต่ก็ไม่ได้มีเขตคั่นแบ่งสองประเทศให้เห็นด้วยตาเปล่า มีเพียงสายน้ำสีขาวไหลตกกระทบแอ่งเบื้องล่างอย่างสวยงาม อีกทั้งที่นี่ยังเป็นแหล่งดูนกชั้นดีอีกแห่งหนึ่ง โดยมีทั้งนกประจำถิ่น และนกอพยพ นกที่เด่นๆ คือ นกมุ่นรกคอแดง นกพญาปากกว้างอกสีเงิน นกกะลิงเขียดสีเทา นกขุนแผนหัวแดง และนกปากนกแก้วหางสั้น ซึ่งเป็นนกประจำถิ่นหายาก และถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของ อช.ภูสวนทรายอีกด้วย
“ภูบ่อบิด” ชมวิวเมืองเลยรอบทิศทาง
“ภูบ่อบิด” เป็นอีกหนึ่งเขาสูงชันโดดเด่น ตั้งอยู่ อ.เมือง จ.เลย ซึ่งบนยอดภูบ่อบิดนั้นจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพได้รอบทิศทางของเมืองเลย ความพิเศษของภูบ่อบิดคือนักท่องเที่ยวสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ในที่เดียวกัน อีกทั้งในเวลาพลบค่ำจะมองเห็นแสงไฟจากบ้านเรือนและถนนหนทางของเมืองเลยปรากฏเด่นชัดเป็นภาพที่งดงามมาก โดยการเดินทางขึ้นยอดภูบ่อบิดนั้นเป็นเส้นทางบันไดที่สามารถเดินเท้าขึ้นไปจนถึงยอด สองข้างทางเดินขึ้นสู่ยอดภูบ่อบิดยังคงมีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์สวยงาม ร่มรื่น และมีจุดพักบริเวณถ้ำพระให้นักท่องเที่ยวสามารถพักได้
“ภูผาหมวก” ชมทิวทัศน์งามชายแดนไทยลาว
“ภูผาหมวก” อ.นาแห้ว จ.เลย ซึ่งเดิมทีเป็นฐานที่มั่นทหารสมัยสงครามร่มเกล้า ภูผาหมวกนั้นเป็นจุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ตกที่สวยงามแห่งหนึ่งในจังหวัดเลย ซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของตัวอำเภอนาแห้ว โดยเฉพาะบรรยากาศทุ่งนากว้างใหญ่ และทิวทัศน์ของชายแดนบริเวณ "บ้านเหมืองแพร่" ซึ่งมี “แม่น้ำเหือง” เป็นพรมแดนกั้นระหว่างไทย-ลาว โดยแม่น้ำในช่วงนี้แคบจนดูเหมือนคลองมากกว่า ส่วนหมู่บ้านทั้งสองฝั่งที่อยู่คนละประเทศนั้นมีชื่อเดียวกันคือ “บ้านเหมืองแพร่” ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นญาติพี่น้องที่ข้ามฝั่งไปมาหาสู่กันอย่างอิสระมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนจะถูกแบ่งให้กลายเป็นคนละชาติด้วยแม่น้ำสายนี้
จากบริเวณจุดจอดรถมายังผาหมวกนั้นมีระยะทางประมาณ 800 เมตร ซึ่งเป็นทางดินเดินขึ้นเขา แม้ไม่ชันมากนักแต่ก็ทำให้หอบได้เหมือนกัน เดินไปพักไปใช้เวลาราว 20 นาทีก็จะถึงผาหมวกแล้ว
"ภูผาหนอง" ชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก
ภูแห่งที่ 10 ที่นำมาแนะนำกันในวันนี้ก็คือ "ภูผาหนอง" อ.นาแห้ว จ.เลย ซึ่งเป็นเขาลูกเดียวกับภูผาหมวก (อันดับที่ 9) มีทางเดินขึ้นทางเดียวกัน แต่เมื่อขึ้นไปแล้วจะมีทางแยกให้เลี้ยวไปคนละชะง่อนผา โดยจากภูผาหมวกจะต้องเดินต่อไปอีกราว 500 เมตร แยกไปทางซ้ายก็จะถึงภูผาหนอง
ระหว่างทางเดินนั้นจะมีบังเกอร์หลบภัยของทหารสมัยสงครามร่มเกล้า (ช่วงปี 2531) ให้เห็นเป็นระยะ จากนั้นไม่นาน จากนั้นจะเจอลานหินกว้างซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และหนองน้ำธรรมชาติบนลานหินอันเป็นที่มาของชื่อผาหนอง ซึ่งจากจุดนี้ต้องปีนบันไดขึ้นไปยังก้อนหินใหญ่อันเป็นจุดชมวิวสูงสุดของผาหนองแห่งนี้
ด้านบนผาหนองเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นได้อย่างสวยงาม และในวันที่อากาศเป็นใจก็จะได้เห็นทะเลหมอกงดงามจากบริเวณนี้ แต่หากวันไหนไม่มีหมอกก็จะได้ชมวิวของทิวเขาสูงต่ำเบื้องหน้าในฝั่งประเทศลาว และสัมผัสอากาศเย็นสดชื่นแทน
“ภูบักได” ผาหลอกลวง จ.เลย
มาถึงจุดชมวิวที่กำลังเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียลกันในขณะนี้ นั่นคือ “ภูบักได” หรือ “ผาหลอกลวง” หรือ “ผาขี้ตั๋ว” ในภาษาอีสาน โดยผาที่ว่านี้ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง บริหารจัดการโดยชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนปลาบ่า ต.ปลาบ่า อ.ภูเรือ จ.เลย โดยจุดเด่นของภูบักได หรือผาหลอกลวงนี้ก็คือเป็นก้อนหินแบนๆ ยื่นออกมากลางอากาศ นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปยืนถ่ายรูปบนหินนั้น แล้วทำให้ดูเหมือนว่าช่างเป็นจุดชมวิวที่น่าหวาดเสียว น่ากลัวจะตกลงไป แต่ที่จริงแล้วหินก้อนนั้นอยู่สูงจากพื้นไม่กี่เมตร ตกลงไปอาจจะมีกลิ้งเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับตกเขาแน่นอน จึงได้ชื่อว่า “ผาหลอกลวง” นั่นเอง
การจะไปภูบักไดนี้ไม่ง่ายนัก เพราะต้องเดินทางไปด้วยรถอีแต๊ก 8 กิโลเมตร และเดินเท้าอีก 4 กิโลเมตร รวม 12 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ช่วงนี้ยังมีอากาศหนาวเย็น ลมแรงมาก แต่ก็เชื่อว่าเป็นที่เที่ยวมาแรงแห่งใหม่ที่หลายคนอยากไปแน่นอน
"ภูลำดวน" ภูสวยสดใหม่แห่งปากชม
"ภูลำดวน" เป็นจุดชมวิวน้องใหม่ของอำเภอปากชม อำเภอชายแดนริมแม่น้ำโขงของจังหวัดเลย แต่เดิมมีชื่อเรียกว่า "ภูซำทอง" เพราะมีห้วยซำทองไหลผ่านใกล้ๆ อีกทั้งเมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดของชาวบ้าน แต่ต่อมาได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่นี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยเปิดให้เป็นจุดชมวิวแห่งใหม่ของปากชม เพราะจากบริเวณนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของโค้งแม่น้ำโขงได้อย่างสวยงาม จึงตั้งชื่อใหม่ให้จุดชมวิวแห่งนี้ว่า "ภูลำดวน" ตามชื่อของเจ้าของที่ดินแห่งนี้
ทิวทัศน์บนภูลำดวนนั้นสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา ด้านหน้ามองเห็นแม่น้ำโขงช่วงโค้งน้ำพอดี มีเกาะแก่งน้อยใหญ่อยู่กลางน้ำ มองเห็นบ้านเรือนของตัวอำเภอปากชมอยู่ทางขวามือ และเห็นบ้านเรือนของพี่น้องชาวลาวทางฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำโขง และเมื่อหันมามองทางซ้ายมือ ทางฝั่งไทยจะเห็นบ้านเรือนของบ้านคกไผ่ ของอำเภอปากชมเช่นกัน บริเวณนี้มีร้านอาหารริมแม่น้ำโขงให้บริการหลายร้าน
ปัจจุบันสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปเที่ยวชมภูลำดวนในปีนี้คือ “สกายวอล์ก” หรือสะพานที่สร้างด้วยไม้ ยาวประมาณ 200 เมตรทอดยาวสุดตา ทำให้ได้เห็นมุมมองของธรรมชาติในมุมสูงหันไปมองได้รอบตัว 360 องศา
สำหรับอำเภอปากชมนั้นอยู่ห่างจากอำเภอเชียงคาน แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดเลยเพียง 40 กิโลเมตร ขับรถเลียบแม่น้ำโขงราว 1 ชั่วโมงเท่านั้น ระหว่างทางจะได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงามของเกาะแก่งในแม่น้ำโขงและทิวเขาทั้งสองฟากฝั่ง อำเภอปากชมและ "ภูลำดวน" จึงสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงของผู้ที่มาเที่ยวอำเภอเชียงคานได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือมีความสวยงามไม่น้อยกว่าภูแห่งอื่นๆ ของจังหวัดเลยอีกด้วย
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager