xs
xsm
sm
md
lg

“วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” อลังการงามวิจิตร พิชิต “ลำน้ำเข็ก” สุดมัน ชวนฝันบนเส้นทางโรแมนติก...“ภูหินร่องกล้า-ทับเบิก-เขาค้อ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วในมุมมองจากจุดชมวิวร้านกาแฟพิโน ลาเต้
“ภูดอกไม้สายหมอก”

นี่คือสโลแกนชวนเที่ยวของจังหวัด“เพชรบูรณ์” จากโครงการ “เมืองต้องห้าม...พลาด” แคมเปญท่องเที่ยวสำคัญจาก “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนเกิดการต่อยอดเป็นโครงการ “12 เมืองต้องห้าม...พลาด PLUS” ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวใน 12 เมืองรองจากโครงการเมืองต้องห้าม...พลาด สู่จังหวัดใกล้เคียงเพื่อให้เกิดการเดินทางและการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ในส่วนของจังหวัดเพชรบูรณ์ 1 ใน 12 เมืองต้องห้าม...พลาด ได้ทำการต่อยอดขยายสู่จังหวัด“พิษณุโลก” 1 ใน 12 เมืองต้องห้าม...พลาด PLUS เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวระหว่างจังหวัดทั้งสอง โดยหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงสำคัญอันสุดโดดเด่นของทั้งสองจังหวัดก็คือ“ทางหลวงหมายเลข 12” (พิษณุโลก-หล่มสัก) จากพิษณุโลกสู่เพชรบูรณ์ ซึ่งในระหว่างรายทางอวลไปด้วยมนต์เสน่ห์ของธรรมชาติและสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “ถนนสายโรแมนติก” ของเมืองไทย
ลำน้ำเข็กสายน้ำแห่งความท้าทายในช่วงฤดูฝนบนถนนหมายเลข 12
สำหรับในช่วงฤดูฝนที่ถือเป็น “กรีนซีซัน” ทางการท่องเที่ยว ธรรมชาติต่างๆ ในเส้นทางหมายเลข 12 จะพากันเปล่งศักยภาพความงามออกมาอย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะ “ลำน้ำเข็ก” ที่ถือเป็นหนึ่งในจุดล่องแก่งแหล่งเหนือสุดมันได้กลายเป็นสายน้ำแห่งความท้าทาย ให้ผู้ชื่นชอบความตื่นเต้นท้าทายได้ออกไปผจญภัย อันนำมาสู่ทริปพิชิตลำน้ำเข็ก สัมผัสมนต์เสน่ห์ของภูดอกไม้สายหมอก เขาสูงวิวสวย บนถนนหมายเลข 12 พิษณุโลก-เขาค้อ เพชรบูรณ์ ของ “ตะลอนเที่ยว” ในทริปนี้ ที่มีหลากหลายอารมณ์ชวนให้ประทับใจ ซึ่งต้องออกไปสัมผัสด้วยตัวเอง ...ถึงจะรับรู้ได้ในอรรถรส

น้ำเข็ก

เมื่อเข้าฤดูฝน สายฝนโปรยสาย สายน้ำไหลหลาก

ลำน้ำเข็ก” ใน อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ที่ไหลเคียงคู่ไปกับถนนหมายเลข 12 จากที่เคยเป็นสีขาวใสไหลไปตามปกติในช่วงหน้าแล้ง จะเปลี่ยนเป็นสายน้ำสีน้ำตาลแดงไหลเชี่ยวกรากมากไปด้วยแก่งต่างๆ พร้อมกับมีปริมาณสายน้ำที่เหมาะสม เหมาะสำหรับกิจกรรม “ล่องแก่ง” พิชิตสายน้ำเป็นอย่างยิ่ง ทำให้มีการจัดงานเทศกาล “ชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งลำน้ำเข็ก” ขึ้นเป็นประจำทุกปี
เมื่อถึงช่วงฤดูฝน ยามน้ำหลาก ลำน้ำเข็กจะมีปริมาณสายน้ำและแก่งต่างๆที่เหมาะต่อการล่องแก่งผจญสายน้ำเป็นอย่างยิ่ง
ปกติเทศกาลล่องแก่งลำน้ำเข็กจะอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม แต่เนื่องจากฤดูฝนปีนี้ฝนตกล่าช้ากว่าปกติ เทศกาลล่องแก่งลำน้ำเข็กจึงเลื่อนมาอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน โดยมีการจัดพิธีเปิดเทศกาล “ชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งลำน้ำเข็ก” ประจำปี 2558 ไปเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา ณ โรงแรมทรัพย์ไพรวัลย์ แกรนด์ โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท (ต.แก่งโสภา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก)
บรรยากาศวันเปิดงาน 19 ส.ค. ที่ผ่านมา กับเรือยางหลายลำที่มาล่องปล่อยขบวนเรือ ล่องแก่งพิชิตลำน้ำเข็ก
สำหรับจุดเด่นของการล่องแก่งน้ำเข็กคือ อยู่ริมถนน เข้าถึงสะดวก ไม่ต้องเดินเท้าเข้าป่า ไม่ต้องแบกเรือยาง สองฟากฝั่งน่ายลไปด้วยทัศนียภาพของธรรมชาติที่สวยงาม

ที่สำคัญคือมีความปลอดภัยสูง โดยฝีพาย นายหัว นายท้าย ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการล่องแก่งที่ได้มาตรฐานสากล Best Practice จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มาเป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนักท่องเที่ยวที่มาล่องแก่งก็ต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันภัย เสื้อชูชีพ หมวกนิรภัย เพื่อช่วยลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ และต้องรับฟังคำสั่งของฝีพาย นายหัว นายท้าย อย่างเคร่งครัด (ส่วนเหล่าสตาฟฟ์ฝีพายเองก็จำเป็นต้องมีมารยาทในการออกคำสั่ง พูดคุย และให้ข้อมูลกับลูกเรือ เพื่อให้กิจกรรมดำเนินไปอย่างมีอรรถรส สนุกสนานประทับใจ)
ลำน้ำเข็กมีความแรงของกระแสน้ำครบสูตรล่องแก่งตั้งแต่ระดับ 1-5
ลำน้ำเข็กมีเส้นทางล่องเรือยางพิชิตแก่งราว 8 กิโลเมตร ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับกระแสน้ำ) โดยเรือจะล่องไปยังบริเวณตอนบนของน้ำตกแก่งซอง ผจญฝ่าแก่งต่างๆ จำนวน 15 แก่ง (เดิมเคยฝ่า 17 แก่งแต่ปัจจุบันตัด 2 แก่งสุดท้ายออก) ซึ่งมีความแรงของกระแสน้ำครบสูตรในการล่องแก่ง ตั้งแต่ระดับ 1-5 จากน้ำนิ่งไปจนถึงน้ำไหลเชี่ยวกราก ระยะความห่างของแต่ละแก่งอยู่ไม่ไกลกันมีระยะให้พัก ให้ชมวิว และให้ลุยแบบไม่ทิ้งช่วงนานเกินไปจนรู้สึกเบื่อ อีกทั้งยังมีสภาพแก่งที่หลากหลายครบเครื่อง ทั้งแก่งต่างระดับ แก่งคดเคี้ยวหักเลี้ยวเป็นตัว S แก่งไล่ระดับเป็นชั้นๆ ดังขั้นบันได เป็นต้น

นั่นจึงทำให้น้ำเข็กได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสายน้ำที่ขึ้นชื่อในเรื่องกิจกรรมล่องแก่ง ติดอันดับ 1 ใน 5 ของเมืองไทย
ออกตัวกันที่จุดสตาร์ทท่าน้ำบ้านท่าข้าม
อย่างไรก็ดี สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าสัมผัสด้วยตัวเอง ดังนั้น “ตะลอนเที่ยว” จึงขอเปิดประเดิมทริปด้วยความตื่นเต้นท้าทายกับกิจกรรมล่องแก่งพิชิตลำน้ำเข็กกันอีกครั้ง โดยหลังจากสวมใส่อุปกรณ์พร้อม เรือพร้อม คนพร้อม พวกเราคณะล่องเรือก็ค่อยๆ พายเรือยางออกจากจุดเริ่มต้นที่ท่าน้ำบ้านท่าข้าม ล่องไปยังบริเวณตอนบนของน้ำตกแก่งซอง ก่อนที่จะทักทายเราด้วย “แก่งท่าข้าม” (ระดับ 1-2) ให้พวกเราได้อุ่นเครื่องสร้างความคุ้นกับสายน้ำ

จากนั้นต่อกันด้วย “แก่งไทร” (ระดับ 3-4) ที่เพิ่มความยากและความตื่นเต้นขึ้นมาอีก แล้วต่อด้วย “แก่งเวฟยาว” (ระดับ 1-2) และ “แก่งพนาวัลย์” (ระดับ 1-2) ก่อนที่เราจะเผชิญกับแก่งที่เพิ่มความยากมากขึ้น เริ่มจาก “แก่งมรดกป่า” (ระดับ 3) “แก่งปากยาง” (ระดับ 3) “แก่งหินลาด”(ระดับ 2-3) และ “แก่งวังตะเคียน”(ระดับ 1-2) ที่สายน้ำลดระดับความแรงลงมา ช่วยให้ผ่อนคลายเพื่อเตรียมตัวลุยพิชิตแก่งในช่วงที่สองที่สายน้ำยิ่งทวีความเข้มข้นดุดันมากยิ่งขึ้น
น้ำเข็กได้รับยกย่องให้เป็น 1 ใน 5 สถานที่ล่องแก่งอันสุดมันของเมืองไทย
สำหรับในเส้นทางช่วงสองของการล่องน้ำเข็กนั้นมี 4 แก่งไฮไลต์ให้พิชิตฟันฝ่า โดยช่วงแรกเราถูกทักทายด้วย “แก่งสบยาง” (ระดับ 2-3) ก่อนจะเพิ่มดีกรีขึ้นใน “แก่งรัชมังคลา” (ระดับ 3-4) ที่ในช่วงน้ำมากๆ จะชวนให้ตื่นเต้นไปกับยอดที่สูงเกิน 1 เมตรเลยทีเดียว

พ้นจากแก่งรัชมังคลามา นายท้ายบอกให้ทุกคนในเรือเตรียมตัวให้พร้อม เพราะต่อไปนี้เป็น “ของจริง” โดยแก่งถัดไปเป็นแก่งไฮไลต์จุดแรกกับ “แก่งซาง” (ระดับ 4-5) ที่น่าตื่นเต้นสะเทือนซางไปกับลักษณะของแก่งเป็นลานหินกว้าง และมีความยาวของแก่งไม่ต่ำกว่า 10 เมตร สายน้ำมีการลดระดับลงในแต่ละช่วง โดยมีจุดพีคเป็นลำน้ำหักศอกให้จ้ำพายกันเต็มที่ พร้อมกับซาวนด์ประกอบเป็นเสียงกรีดร้องของสาวๆ บางคน
แม้น้ำจะเชี่ยวกราก แต่นักท่องเที่ยวก็ยังคงสนุก มันสะใจ
หลังถูกทักทายจากแก่งไฮไลต์แก่งแรก เราก็มาเจอแก่งไฮไลต์ลำดับที่สองให้ตื่นเต้นต่อเนื่องกันกับ “แก่งโสภาราม” (ระดับ 4-5) ที่เป็นแก่งคดเคี้ยวรูปตัว S ให้เหล่าฝีพายต้องออกแรงบังคับเรือกันให้ดี ก่อนจะมาถึงแก่งต่อไปคือ “แก่งดงสัก” (ระดับ 3-4) ให้พอได้ผ่อน เพลาความตื่นเต้นลงมาหน่อย

จากนั้นก็มาถึง “แก่งนางคอย” (ระดับ 4-5) ซึ่งเป็นแก่งไฮไลต์สำคัญที่ยากที่สุด ตื่นเต้นที่สุด และหวาดเสียวที่สุด กับลักษณะของแก่งที่ค่อยๆ ลดระดับมาเป็นชั้นๆ โดยจุดสำคัญคือชั้นแก่งที่มีความสูงถึงเกือบ 2 เมตร ที่ทุกคนในเรือยางต้องช่วยกันบังคับฟันฝ่ามันไปให้ได้ ซึ่งงานนี้พวกเราทำได้ ผ่านไปได้ แต่ว่าก็ทุลักทุเลเต็มที นับเป็นดีกรีความมันในระดับเกินร้อยที่ผู้ชื่นชอบในความมันสะใจต้องไปลอง
ช่วงน้ำนิ่งให้ได้ผ่อนคลายความตื่นเต้น หายใจได้คล่องปอด
ผ่านพ้นไปแล้ว 14 แก่ง กับ 3 แก่งไฮไลต์ แล้วเรือก็พามาถึงยังแก่งสุดท้ายซึ่งเป็นไฮไลต์ลำดับที่ 4 กับ “แก่งยาว”(ระดับ 3-5) ที่ชวนตื่นเต้นไปด้วยลักษณะของแก่งที่มีความยาวร่วม 100 เมตร สมชื่อแก่งยาวให้พวกเราร่วมกันจ้ำพายพิชิตแก่งเป็นช่วงสุดท้าย ก่อนจะไปขึ้นฝั่งกันที่ “วนธารา เฮลท์ รีสอร์ท แอนด์ สปา” สิ้นสุดกิจกรรมแห่งความตื่นเต้นท้าทาย

นอกจากกิจกรรมล่องแก่งลำน้ำเข็กที่สนุกสนานแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นดาวเด่นเคียงคู่เทศกาลนี้ก็คือกาแฟสด “แก่งซอง” กาแฟท้องถิ่นพันธุ์อาราบิก้า ตระกูลบลูเมาน์เท่น ที่ จ.ส.อ.ทวี ประวิทย์ชาติ นำพันธุ์จากต่างประเทศ (เชื่อกันว่าเป็นกาแฟชั้นหนึ่งของโลกจากจาเมกา) มาปลูกที่ไร่กาแฟ (บ้านแก่งซอง ต.แก่งโสภา อ.วังทอง) พร้อมทั้งมีการคิดค้นผสมสูตรจนเกิดเป็นต้นตำรับ “กาแฟแก่งซอง” อันเลื่องชื่อของที่นี่ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถลองลิ้มชิมรสความอร่อยเข้มข้นของกาแฟแก่งซองได้ตามร้านกาแฟต่างๆ ที่จำหน่ายอยู่ตามเส้นทางล่องแก่งลำน้ำเข็ก
บรรยากาศร่มรื่นด้วยแมกไม้ที่ เรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท
เรน ฟอเรสท์

หลังเหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมล่องแก่ง “ตะลอนเที่ยว” กับคณะ ได้เลือกมาเข้าพักผ่อนคลายที่ “เรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท” (ต.แก่งโสภา อ.วังทอง) ที่เราได้จองไว้ล่วงหน้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดขึ้นเรือหลังล่องแก่งเท่าใดนัก

เรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท (Rain Forest Resort) เป็นที่พักราคาสมเหตุสมผล (เริ่มต้นที่ 800 บาท) ตั้งอยู่ริมลำน้ำเข็กท่ามกลางบรรยากาศของต้นไม้น้อย-ใหญ่ โขดหินและธรรมชาติอันร่มรื่น โดยรีสอร์ทแห่งนี้เน้นในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จึงยังคงรักษาต้นไม้ใหญ่ทุกต้น ก้อนหินใหญ่ทุกก้อน ไว้ในสภาพดังเดิมให้เป็นพระเอกของพื้นที่ ช่วยสร้างเสน่ห์และสีสันให้กับผู้เข้าพักได้เป็นอย่างดี
โถงล็อบบี้ เรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท
ขณะที่อีกหนึ่งจุดเด่นของเรน ฟอเรสท์ฯ ก็คือเรื่องของ “สุขภาพ” ที่มีทั้งคอร์สเพื่อสุขภาพและอาหารเพื่อสุขภาพ พืชผักสมุนไพรปลอดสารเคมีและวัตถุดิบที่ปลอดภัยในการปรุง โดยวัตถุดิบส่วนหนึ่งนำมาจาก “เรน ฟอเรสท์ ฟาร์ม”(Rain Forest Farm) แหล่งผลิตอาหารคุณภาพที่อยู่ในเครือ เรน ฟอเรสท์ ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับเรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท คนละฟากถนน เพียงแค่ประมาณ 200 เมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถติดต่อขอเช้าชม เข้าไปเรียนรู้ ศึกษาดูงานได้
เรน ฟอเรสท์ ฟาร์ม เดินตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
เรน ฟอเรสท์ ฟาร์ม เป็นการนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาประยุกต์ให้เข้ากับสภาพพื้นที่และวิถีปฏิบัติ ภายในฟาร์มที่มีเนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ มีการแบ่งพื้นที่เป็นส่วนต่างๆ อาทิ แปลงเกษตรอินทรีย์ผสมผสานที่เน้นเรื่องของพืชผักสวนครัว โดยปลูกไว้ใช้เองกินเองในส่วนร้านอาหาร เมื่อเหลือจึงส่งขาย ทำเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจำหน่าย และยังมีแปลงป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่างที่มีการปลูกไม้ยืนต้นน้อย-ใหญ่ กล้วย พืชล้มลุก สมุนไพรกันแบบผสมผสาน มีส่วนเลี้ยงปลาดุก หมูหลุม ไส้เดือนดิน เตาเผาถ่าน โรงเพาะเห็ด ส่วนทำปุ๋ยหมักชีวภาพ เป็นต้น
มีการปลูกพืชผักผสมผสานอันหลากลายใน เรน ฟอเรสท์ ฟาร์ม
อีกทั้งยังมีโรงเลี้ยงเป็ด ไก่ กับวิธีการเลี้ยงแบบปล่อยให้เป็นอิสระในพื้นที่ ไม่แออัด สามารถเดินวิ่งได้อย่างอิสระในฟาร์ม เพื่อให้สัตว์ไม่เครียด และไม่ใช้สารเร่งไข่ โดยเฉพาะแม่ไก่ไข่พันธุ์ต่างๆที่เลี้ยงแบบให้กินอาหารจากธรรมชาติ มีอิสระเริงร่า ไม่เครียด มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย โดยทางฟาร์มได้ให้ฉายากับแม่ไก่เหล่านี้อย่างกิ๊บเก๋ว่า“แม่ไก่ร่าเริง” ซึ่งเมื่อไข่ออกมาก็จะได้ “ไข่ไก่ร่าเริง” เป็นไข่ไก่คุณภาพ ปลอดสารเคมี สารเร่ง และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าไข่ไก่ส่วนใหญ่ที่บริโภคอยู่ทั่วไป
เลี้ยงไก่แบบให้อิสระในการอยู่การกินอันทำให้ได้แม่ไก่ร่าเริงและไข่ไก่ร่าเริง
นอกจากนี้ เรน ฟอเรสท์ ฟาร์ม ยังมีอีกหนึ่งวัตถุประสงค์สำคัญในการจัดตั้งนั่นก็คือ เพื่อศูนย์เรียนรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นตัวอย่างให้กับผู้สนใจ ทั้งด้านการทำเกษตรอินทรีย์ การปลูกป่าแบบผสมผสาน งานปศุสัตว์ การทำปุ๋ยหมักชีวภาพ การใช้พลังงานทดแทน และการคัดแยกขยะ เป็นต้น

และด้วยลักษณะพิเศษต่างๆตามที่กล่าวมาข้างต้นทำให้ทั้ง เรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท และเรน ฟอเรสท์ ฟาร์ม ได้รับรางวัลเป็นจำนวนมาก เป็นดังการการันตีในคุณภาพของสถานที่แห่งนี้
ลานหินปุ่ม ไฮไลต์สำคัญแห่งภูหินร่องกล้า
ภูหินร่องกล้า

หลังนอนพักผ่อนเอาแรงอย่างเต็มอิ่มที่ เรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท เช้าวันรุ่งขึ้น “ตะลอนเที่ยว” ออกเดินทางต่อไปตามทางหลวงหมายเลข 12 ก่อนจะไปแยกเข้าถนนหมายเลข 2013 แล้วเลี้ยวสู่ถนนสาย 2331 เข้าสู่ “อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า” (อ.นครไทย จ.พิษณุโลก) อีกหนึ่งจุดหมายหลักของเราในทริปนี้

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ในอดีตเคยถูกใช้เป็นฐานที่มั่นสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ช่วงที่มีการสู้รบจากความคิดต่างทางการเมืองเมื่อราว 40 ปีที่แล้ว ซึ่งวันนี้รอยอดีตจากการสู้รบได้เปลี่ยนแปรเป็นสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจของอุทยานฯ อาทิ “พิพิธภัณฑ์การสู้รบ”, “สำนักอำนาจรัฐ” และ “โรงเรียนการเมืองการทหาร
จุดชมวิวบริเวณหน้าผาในโครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า
นอกจากแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์แล้ว ภูหินร่องกล้ายังโดดเด่นไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันสวยงามหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “ลานหินแตก” กับลักษณะของธรรมชาติอันแปลกตาของลานหินกว้างมีรอยแตกคล้ายแผ่นดินแยก, จุดชมวิวตามหน้าผาต่างๆ บริเวณ “โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า”, “น้ำตกหมันแดง” น้ำตกงาม 13 ชั้น ที่ในช่วงกลางฤดูฝนราวเดือนสิงหาคมจะสวยงามไปด้วย “ดอกลิ้นมังกร” ที่ออกดอกบานสีชมพูสะพรั่งขึ้นกระจายอยู่ตามโขดหินบริเวณธารน้ำตก โดยเฉพาะที่บริเวณโขดหินด้านหน้าของน้ำตกชั้นที่ 5 จะเป็นจุดที่พบดอกลิ้นมังกรบานหนาแน่นมากที่สุด
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ “ลานหินปุ่ม-ผาชูธง-ซันแครก”
ขณะที่ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ “ลานหินปุ่ม-ผาชูธง-ซันแครก” (ระยะทางประมาณ 2,460 เมตร) ซึ่งถือเป็นหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวไฮไลต์นั้น มีความสวยงามแปลกตาของธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนที่ไหนให้สัมผัสเที่ยวชมไล่เรียงกันไป ได้แก่

ผาหินกบ” กับก้อนหินใหญ่วางเทินกันอยู่ซึ่งเมื่อมองถูกมุมจะดูคล้ายกบเกาะอยู่บนหิน

ผาหัวใจหิน” กับก้อนหินใหญ่รูปร่างคล้ายหัวใจให้นักท่องเที่ยวไปโพสท่าหัวใจถ่ายรูป เซลฟี่กันเป็นที่เพลิดเพลิน
ผาหัวใจหิน กับหัวใจ 3 ขนาด
ลานหินปุ่ม” จุดไฮไลต์สำคัญที่เป็นดังสัญลักษณ์ของภูหินร่องกล้า กับลานหินขนาดย่อมริมหน้าผาที่มีรูปร่างลักษณะอันแปลกประหลาด เป็นลานกว้างแล้วมีหินเป็นลูกกลมมนผุดขึ้นมาเป็นลูกๆปุ่มๆ ละลานเต็มไปหมด สันนิษฐานว่าลานหินปุ่มเกิดจากการโก่งตัวของเปลือกโลก แล้วเกิดการสึกกร่อนพร้อมถูกลมฝนกระทำขัดเกลา จนเกิดเป็นลานหินปุ่มขึ้นมา

นอกจากนี้ลานหินปุ่มยังเป็นจุดชมวิวชั้นดี กับทิวทัศน์เบื้องล่างอันสวยงามกว้างไกล นับเป็นอีกจุดถ่ายรูปอันโดดเด่นกับเอกลักษณ์เฉพาะตัวของปุ่มหินประหลาดที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
ผาชูธง
ผาชูธง” หน้าผาสูงที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงามกว้างไกล โดยเฉพาะจุดชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่สวยงามไม่เป็นรองใคร ผาชูธงในอดีตเคยเป็นจุดที่ พคท. เมื่อรบชนะทหารไทยจะขึ้นไปชูธงแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ส่วนปัจจุบันบนผามีธงชาติไทยปักอยู่

ซันแครก” หินตามธรรมชาติมีลักษณะเป็นชั้นๆ ริ้วๆ ดูคล้ายมีคนนำมาก่อเป็นกำแพง ซึ่งนักธรณีวิทยาระบุว่า ปกติหินลักษณะแบบนี้จะพบเฉพาะที่ใต้ทะเลเท่านั้น แต่ที่มาโผล่อวดความสวยงามอยู่บนภูหินได้อย่างน่าอัศจรรย์นั้น น่าจะเป็นเพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงของผิวโลกทำให้หินเหล่านี้ยกตัวขึ้นมาจากใต้ทะเล หรือไม่ก็เป็นลักษณะเฉพาะของหินแถบนี้ที่ไม่เหมือนใครนั่นเอง
ลานหินปุ่มนอกจากจะมีหินรูปร่างประหลาดจำนวนมากแล้ว ยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ชั้นดีอีกด้วย
นอกจากจะมากไปด้วยหินรูปร่างแปลกตาแล้ว ในช่วงหน้าฝนเช่นนี้เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ “ลานหินปุ่ม-ผาชูธง-ซันแครก” ยังมีความพิเศษสุดๆ จากมวลหมู่ดอกไม้ป่านานาพันธุ์ที่พากันออกดอกชูช่อสวยงามรับวสันตฤดูอยู่ทั่วไป
ลิ้นมังกรสีส้มสด ยามหน้าฝนพบเห็นได้บริเวณใกล้ๆ ลานหินปุ่ม
โดยบริเวณใกล้ๆกับลานหินปุ่มจะมีดอกไม้หลากหลายชนิดให้ชมกันอย่างเพลินตาเพลินใจ อาทิ “กุหลาบขาว” ที่ออกดอกประปรายสีขาวนวลเด่น,“ลิ้นมังกร” สีส้มสดเด่นอยู่ตามพื้นดิน, “เอนอ้า” สีชมพูอมม่วงสดใสที่นอกจากแถวลานหินปุ่มแล้วยังมีให้เห็นกันเกือบตลอดเส้นทาง
ดงเอื้องตาเหินไหว
ส่วนที่ 2 ดาวเด่นประจำเส้นทางศึกษาธรรมชาติสายนี้ก็คือ “เอื้องตาเหินไหว” ที่ออกดอกสีขาวชูช่อเป็นริ้วพลิ้วไหวอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ใน 3-4 จุดด้วยกัน และ “ดอกเปราะภู” ดอกสีขาวราวสำลีอยู่ทั่วไปตามพื้นดินริมบริเวณลานหิน โดยจุดที่หนาแน่นที่สุดอยู่บริเวณใกล้ๆ กับลานหินปุ่ม
ดอกเปราะภูขาว อีกหนึ่งดาวเด่นยามหน้าฝนแห่งภูหินร่องกล้า
และด้วยมนต์เสน่ห์เฉพาะตัวของดอกเปราะภูขาวที่นี่ (ปกติดอกเปราะภูส่วนใหญ่จะเป็นดอกสีชมพูอมขาว) ทำให้ทาง ททท.ยกให้เป็น 1 ใน 22 เส้นทางดูดอกไม้ทั่วไทย จากโครงการ “กาลครั้งนั้น..ความฝันผลิบาน” หรือ “Dream Destination 2” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสีสันแห่งกรีนซีซันของเมืองสองแควที่น่าสนใจไม่น้อยเลย
วิวทิวทัศน์ภูทับเบิกในวันที่มีสายหมอกลอยปกคลุมพอประมาณ
ภูทับเบิก

จากภูหินร่องกล้าเราเดินทางต่อไปบนถนน 2331 สู่ “ภูทับเบิก”(บ้านทับเบิก ต.วังบาดาล อ.หล่มเก่า) ใน จ.เพชรบูรณ์ อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวสำคัญในเส้นทางท่องเที่ยวทางหลวงหมายเลข 12

ภูทับเบิกเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน บนภูทับเบิกงดงามไปด้วยทัศนียภาพอันสวยงามกว้างไกล โดยเฉพาะจุดชมวิวภูเขาไร่กะหล่ำที่มีให้ชมกันในหลายจุดด้วยกัน นอกจากนี้ภูทับเบิกยังขึ้นชื่อในเรื่องความงามของทะเลหมอกอันสวยงามโรแมนติกชวนให้ประทับใจไม่น้อย
จุดชมวิวบริเวณด้านล่างของอาคารหอดูดาวและที่วัดอุณหภูมิ
สำหรับจุดชมวิวสำคัญของภูทับเบิกอยู่ที่ “อาคารหอดูดาวและที่วัดอุณหภูมิ” หรือ “จุดชมวิวภูทับเบิก” (จุดชมวิวปรอทยักษ์) ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของจังหวัดเพชรบูรณ์ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,768 เมตร

บนนี้ในวันที่สภาพอากาศเป็นใจ วิวทะเลหมอกที่นี่นับว่าสวยงามมากอีกแห่งหนึ่ง ส่วนในวันที่ฟ้าเปิดโล่งเราก็สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงามกว้างไกล มองเห็นแนวถนนอันลดเลี้ยวเคี้ยวโค้ง ทุ่งนา บ้านเรือน แนวสันเขา รวมถึงมองเห็นองค์ “พระมหาธาตุเจดีย์โพธิปักขิยธรรม” ที่กำลังก่อสร้างตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ลิบๆ
จากยอดภูทับเบิกสามารถมองเห็นพระมหาธาตุเจดีย์โพธิปักขิยธรรมได้อยู่ลิบตา
พระมหาธาตุเจดีย์โพธิปักขิยธรรมเป็นเจดีย์ที่ตั้งอยู่ที่ “วัดป่าภูทับเบิก” (ต.วังบาดาล อ.หล่มเก่า) อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวน่าสนใจในพื้นที่ภูทับเบิกแห่งนี้

วัดป่าภูทับเบิกเริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. 2534 ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดรับน้ำฟ้ากลางหาว เพื่อนำไปรวมทำเป็นน้ำเพชร น้อมเกล้าถวายเป็นน้ำพระพุทธมนต์ ในพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ธันวาคม พ.ศ. 2542
พระประธานและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆในโบสถ์วัดป่าภูทับเบิก
วัดป่าภูทับเบิก ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่สูงที่สุดในเมืองไทย ภายในวัดมีบรรยากาศร่มรื่น บ่อยครั้งจะถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอกขาวโพลน ภายในโบสถ์งดงามไปด้วยพระประธานศิลปะอินเดีย โดยมีบุษบกบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่เบื้องหน้า

นอกจากนี้ภายในบริเวณวัดวันนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์โพธิปักขิยธรรม (เจดีย์เพชร 37 ยอด) ที่มีความสูงถึง 80.90 เมตร โดยเปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาได้ทำบุญบริจาคกันตามกำลัง ซึ่งถ้าเจดีย์องค์นี้สร้างเสร็จก็จะกลายเป็นจุดสนใจ จุดดึงดูดแห่งใหม่ของภูทับเบิกที่น่าสนใจยิ่ง
จุดรับน้ำฟ้ากลางหาวแห่งวัดป่าภูทับเบิก
เขาค้อ

หลังสัมผัสบรรยากาศเขาสูง วิวสวย ทะเลหมอกสุดฟินที่ภูทับเบิกกันไปแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นเราไปสัมผัสกับบรรยากาศแห่งทะเลหมอกที่ “เขาค้อ” (อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์) เป็นแหล่งพักผ่อนตากอากาศเลื่องชื่อ ที่มีสโลแกนชวนเที่ยวแสนเก๋ “นอนเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี
เขาค้อในม่านหมอกลอยกระจาย
สำหรับจุดชมทะเลหมอกยามเช้าแห่งเขาค้อในทริปนี้ เราเลือกเฝ้าชม ณ จุดชมวิวนิรนาม ซึ่งเป็นลานโล่งๆเล็กไม่มีชื่อ อยู่ในเส้นทางไปวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ใกล้ๆ กับร้านกาแฟ “พิโน ลาเต้” โดยจุดชมวิวจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า เป็นลานดินลูกรัง บริเวณรอบข้างมีการปลูกข้าว กระเทียม และกะหล่ำ ซึ่งใครที่ไม่เคยมาเมื่อเห็นภาพแนวขุนเขากับวิวแปลงกะหล่ำ อาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นภูทับเบิกก็เป็นได้
วิวทิวทัศน์วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วในเช้าวันที่มีสายหมอกลอยอ้อยอิ่งอยู่เบื้องบน
ที่จุดชมวิวนิรนาม(ไร้ชื่อ)แห่งนี้ โดดเด่นไปด้วยวิวทิวทัศน์ของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วที่มองเห็น “มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์” กับ “เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต" ตั้งตระหง่านสวยงาม วันที่อากาศเป็นใจจะมีสายหมอกลอยอ้อยอิ่งประกอบฉาก ที่ดูแล้วช่างน่าประทับใจกระไรปานนั้น
พิโน ลาเต้ ร้านกาแฟวิวงามแห่งเขาค้อ
หลังเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ในหลายมุมมองที่จุดชมวิวนิรนาม เราไปเติมพลังจิบกาแฟยามสายกันที่ร้านกาแฟ “พิโน ลาเต้” (Pino Latte) และไม่พลาดที่จะบันทึกภาพวิวทิวทัศน์และแปลงปลูกดอกไม้เล็กๆของที่นี่ ที่ชวนเพลิดเพลินไปกับวิวของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วในมุมใกล้เคียงกับจุดชมวิวนิรนาม แต่ต่างกันที่องค์ประกอบของร้านกาแฟและสวนประดับ แมนเมด (Man Made) ที่ให้บรรยากาศสวยงามแตกต่างกันไป

นับเป็น 2 จุดชมวิวใกล้เคียงในเส้นทางเดียวกันที่สุดฟินไม่น้อยเลย
เส้นทางเดินประดับดอกไม้แห่งร้านพิโน ลาเต้
วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

จากนั้น “ตะลอนเที่ยว” ไปต่อกันที่“วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว”(บ้านทางแดง ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ) เพื่อชมสิ่งสวยๆงามๆ ปานเนรมิตพร้อมไหว้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคล
เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” หรือชื่อเดิมคือ “วัดพระธาตุผาแก้ว” เป็น 1 ใน 10 สถานที่ท่องเที่ยวในโครงการ “Dream Destination 1กาลครั้งหนึ่ง...ต้องไป ที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้คัดสรรแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ 10 แห่ง อันงดงามชวนให้ไปสัมผัส

สำหรับที่มาของชื่อวัด มีเรื่องเล่าขานกันว่า ท่ามกลางขุนเขาที่สลับซับซ้อนแห่งนี้มีถ้ำอยู่ที่ส่วนบนของยอดเขา ชาวบ้านในแถบนี้หลายคนเคยเห็นลูกแก้วลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าและหายเข้าไปในถ้ำอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา จึงเรียกขานที่นี่ว่า “ผาซ่อนแก้ว” อันเป็นที่มาของชื่อวัด
มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ประกอบไปด้วยงานพุทธศิลป์สำคัญใน 2 ส่วนด้วยกัน คือ “มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์” และ “เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต

มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ สร้างขึ้นเพื่อร่วมน้อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองพระชนมพรรษา 85 พรรษาขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจและเป็นที่พักของผู้เข้าปฏิบัติธรรม กับงานสถาปัตยกรรมพระพุทธรูปซ้อนองค์ไล่เรียงจากองค์เล็กขึ้นไปสู่ใหญ่สีขาวเด่น ดูโดดเด่นงดงามนัก
ลูกแก้วในพระเจดีย์
ส่วน “เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต” นั้น สร้างด้วยรูปทรงดอกบัวซ้อน 7 ชั้น ภายในเจดีย์แบ่งเป็นชั้นต่างๆ มีพระพุทธรูปประดิษฐานให้สักการะ มีบันไดเวียนเดินชมโมบายลูกแก้วอันสวยงาม อีกทั้งยังเป็นส่วนนิทรรศการหมุนเวียนจัดแสดงนิทรรศการธรรมมะให้ผู้เข้ามาเยี่ยมเยือนได้รับรู้ซึมซับ

ขณะที่องค์เจดีย์ด้านนอกมีเส้นทางเดินสู่ชั้นบน ซึ่งเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ชั้นเยี่ยมของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว สามารถมองเห็นมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ และซุ้มองค์พระต่างๆ ได้อย่างสวยงาม
ศิลปะประดับด้วยกระเบื้อง ถ้วยโถโอชามอันเป็นเอกลักษณ์แห่งวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
นอกจากนี้ที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วยังโดดเด่นไปด้วยการประดับตกแต่งอันงดงามวิจิตร จากเครื่องถ้วยเบญจรงค์ อัญมณี แก้ว แหวน เงินทองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตามผนัง เสา หรือแม้กระทั่งพื้นก็ยังมีการตกแต่งเป็นลวดลายทางเดินอย่างสวยงาม

สำหรับวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วถือเป็นดินแดนแห่งธรรมอันงดงามวิจิตรที่ “พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส” ทิ้งปริศนาธรรมไว้มากมายให้บรรดาผู้มาเยือนได้นำไปขบคิดและประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
พระพุทธรูปประธานในองค์พระเจดีย์
สวนผักครูเฒ่า

ก่อนกลับบ้านเรามาปิดท้ายทริปท่องเที่ยวพิษณุโลก-เพชรบูรณ์กันที่ “สวนผักครูเฒ่า” ใน ต.เขาค้อ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่เต็มไปด้วยผักไฮโดรโพนิกส์หลากชนิด ดูสดใหม่ สะอาด น่ารับประทาน

สวนผักครูเฒ่าแห่งนี้ดูแลโดย อ.วิรัช พละเดช อดีตอาจารย์ที่ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรปลูกพืชแบบไร้ดิน โดยมีผักไฮโดรโพนิกส์อยู่ 6 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ บัตเตอร์เฮด ฟิลเลซ์ คอส กรีนโอ๊ก เรดโอ๊ก และเรดคอรัล นอกจากจะขายให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวแล้ว ยังปลูกส่งไปยังห้างสรรพสินค้าชั้นนำในกรุงเทพฯ อีกด้วย
รางผักไฮโดรโพนิกส์แห่งสวนผักครูเฒ่า
นอกจากผักไฮโดรโพนิกส์แล้ว ที่สวนครูเฒ่ายังมีสตรอเบอร์รีไฮโดรโพนิกส์ที่ปลูกแบบไร้ดินเช่นกัน โดยที่นี่เป็นสวนสตรอเบอร์รีไฮโดรโพนิกส์แห่งแรกในเมืองไทย มีข้อดีกว่าการปลูกบนดินหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการควบคุมอุณหภูมิได้ดีกว่า ให้ผลผลิตที่ดีกว่า แม้จะมีต้นทุนสูงกว่าการปลูกบนดินแต่ก็คุ้มค่า

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสวนผักครูเฒ่าสามารถลงมาเที่ยวชมและแวะถ่ายรูปแปลงปลูกผักไฮโดรโพนิกส์อันสวยงามละลานตา และในฤดูหนาวราวช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไปก็จะมีสตรอเบอร์รี ผักสดๆ และสินค้าเกษตรอีกหลายอย่างมาวางขายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อเป็นของฝากคนทางบ้านกันได้ด้วย
นักท่องเที่ยวสามารถลองปลูกผักด้วยตัวเองได้ที่สวนผักครูเฒ่า
นอกจากนั้นคนที่สนใจอยากจะไปลองปลูกผักไร้ดินที่บ้านเองบ้าง ก็สามารถมาพูดคุยสอบถามความรู้เกี่ยวกับการปลูกผักไฮโดรโพนิกส์กันที่นี่ได้ เพราะ อ.วิรัช ตั้งใจจะให้ “สวนผักครูเฒ่า” แห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับการปลูกผักไฮโดรโพนิกส์ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีเด็กนักเรียนและผู้ที่สนใจมาเรียนรู้อยู่เสมอๆ หากใครผ่านมาเขาค้อแล้วก็ไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ

นับเป็นการปิดทริปอย่างประทับใจ อำลาทางหลวงหมายเลข 12 ถนนสายโรแมนติกที่เชื่อมโยงระหว่างจังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ ซึ่งนอกจากเราจะได้สัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยวอันหลากหลายสวยงามเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ชวนประทับใจแล้ว

การเดินทางท่องเที่ยวยังเป็นยาวิเศษที่ช่วยเติมพลังให้กับชีวิตได้เป็นอย่างดียิ่ง
เส้นทางประดับดอกไม้ ที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างงดงามที่ร้านกาแฟพิโน ลาเต้




*****************************************

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในจังหวัดเพชรบูรณ์-พิษณุโลกเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพิษณุโลก (พื้นที่รับผิดชอบ พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, พิจิตร) โทร.0-5525-2742-3, 0-5525-9907

*****************************************

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น