ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ แม้ว่าหลายคนจะบ่นว่าอากาศร้อน เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อ แถมยังมีแสงแดดแรงๆ มาแผดเผากายอีก แต่ “ตะลอนเที่ยว” เชื่อว่า ในใจของใครอีกหลายคนก็ยังคงโหยหาหาดทราย สายลม และแสงแดดของทะเลไทย เพราะถึงแม้ว่าจะร้อนเพียงใด แต่ก็ทำให้ใจเริงร่ากับการได้มาพักผ่อนในทะเลสวยๆ แบบนี้
ทริปหน้าร้อนแบบนี้ เราจึงมุ่งหน้าลงใต้ มาที่ จ.กระบี่ พร้อมกับพกพาแว่นกันแดด ครีมกันแดด และชุดว่ายน้ำ ก่อนจะออกไปเริงร่าในทะเลกระบี่กัน
จุดเริ่มต้นของเราอยู่ที่ “อ่าวนาง” จ.กระบี่ ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี และยังเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทะเลกระบี่อีกด้วย เนื่องจากเป็นที่ตั้งของบริษัททัวร์ ร้านอาหาร และที่พัก ที่มีให้เลือกมากมาย ส่วนการท่องเที่ยวทางทะเลที่เริ่มกันที่อ่าวนางแห่งนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทริป เลือกเที่ยวเป็นเส้นทางเกาะแก่งต่างๆ ดำน้ำ ดูปลา ชมปะการัง ซึ่งตามทัวร์ต่างๆ ส่วนใหญ่ก็จะรวมค่าอาหาร น้ำดื่ม ค่าเข้าอุทยาน และค่าอุปกรณ์ดำน้ำไว้พร้อมสรรพแล้ว
สำหรับวันแรกนี้ เราเลือกเป็นทัวร์ 4 เกาะ ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยว เพราะได้เที่ยวในเกาะที่มีชื่อเสียงของทะเลกระบี่ ได้แก่ ทะเลแหวก เกาะไก่ เกาะปอดะ และหาดไร่เลย์-ถ้ำพระนาง ซึ่งเมื่อออกจากท่าเรือที่อ่าวนางแล้ว ก็มุ่งหน้าไปที่หาดไร่เลย์เป็นที่แรก
“หาดไร่เลย์” ที่นี่เป็นอีกหนึ่งหาดยอดนิยม เพราะที่หาดไร่เลย์งดงามไปด้วยทัศนียภาพของท้องทะเลสวยๆ หาดทรายขาวๆ มีหน้าหินผาสูงเด่นตั้งตระหง่านเรียงราย และยังมีรีสอร์ทให้บริการนักท่องเที่ยวได้ค้างคืนกันด้วย จะได้พักผ่อนสัมผัสท้องทะเลและทำกิจกรรมทางทะเลกันอย่างเต็มอิ่ม ซึ่งที่นี่มีกิจกรรมที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมมากก็คือ การปีนผา จะมีนักปีนผาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาปีนหน้าผาทดสอบความกล้าและความท้าทายกันเป็นจำนวนมาก
ไม่ไกลจากหาดไร่เลย์มากนักก็เป็นที่ตั้งของ “อ่าวถ้ำพระนาง” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของทะเลกระบี่ ที่นี่มีชายหาดที่เงียบสงบ มีหาดทรายขาว และน้ำทะเลก็ใสสะอาดชวนให้มาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ทำกิจกรรมทางทะเลมากมาย จะนอนอาบแดด เล่นน้ำ พายเรือเล่น หรือจะมาทดสอบพละกำลังและความกล้า ด้วยการปีนหน้าผาที่สูงชัน ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
และที่อ่าวถ้ำพระนางยังมี “ถ้ำพระนาง” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพกันมาก เป็นโถงถ้ำเล็กๆ ด้านในมีศาลและมีปลัดขิกจำนวนมาก ที่ชาวบ้านมีความเชื่อกันว่าหากมาขอพรที่ถ้ำพระนางแล้วสมหวัง ต้องนำปลัดขิกมาถวายแก้บน ทำให้รอบๆ บริเวณศาลมีปลัดขิกรูปร่างแปลกๆ มากมาย เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมาก ที่ได้เห็นกองปลัดขิกจำนวนมากที่ตั้งอยู่ที่ถ้ำพระนางแห่งนี้
ลงไปเดินเล่น และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถ้ำพระนางแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางไปเที่ยวกันต่อที่ “เกาะไก่” ที่มองเห็นแต่ไกลก็ต้องรู้ว่าเป็นเกาะไก่ เพราะบริเวณที่ปลายสุดของเกาะมีหินแหลมๆ หากมองเข้าไปที่เกาะแล้วก็จะเป็นเป็นรูปร่างคล้ายกับคอและหัวของไก่ แต่ถ้ามาที่อีกด้านของเกาะไก่ ก็จะเป็นจุดเชื่อมต่อของทะเลแหวกนั่นเอง
หากนั่งเรือเข้าไปใกล้ๆ กับเกาะไก่แล้ว ก็จะเห็นว่ามีเรือท่องเที่ยวนิยมมาหยุดจอดให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปว่ายน้ำเล่นพร้อมๆ กับฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่รอบๆ
เล่นน้ำดูปลากันจนหนำใจ ก็แวะไปพักผ่อนกันที่ “เกาะปอดะ” เกาะนี้มีชายหาดล้อมรอบทั้งสามทิศ แต่ทางทิศตะวันตกจะเป็นหน้าผาหินที่เป็นด้านรับคลื่นลมทะเล บนเกาะมีหาดทรายขาวเนียนละเอียด นักท่องเที่ยวนิยมแวะขึ้นไปนั่งเล่นพักผ่อน อาบแดด และถ่ายรูปเป็นที่ระลึก และส่วนใหญ่ หากว่ามากับทัวร์ ก็จะแวะพักที่นี่ในช่วงกลางวัน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้แวะกินข้าวเที่ยว ก่อนจะออกไปสนุกสนานกันในทะเลต่อไป
ซึ่งถึงแม้ว่าแดดในช่วงกลางวันนั้นจะร้อนแรงแค่ไหน “ตะลอนเที่ยว” ก็ยังใจสู้ นั่งเรือฝ่าแดดเปรี้ยงๆ ออกไปในทะเล เพราะจุดมุ่งหมายหลักของวันนี้อยู่ที่การมาชมทะเลแหวกที่ถือว่าสวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งในเมืองไทย เรานั่งเรือมากันที่เกาะทับ อันเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง “ทะเลแหวก” ซึ่งเป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์
ความมหัศจรรย์ของทะเลแหวกอยู่ที่เมื่อยามน้ำลด จะเกิดเป็นแนวสันทรายทอดยาวปรากฏขึ้น กลายเป็นสะพานทรายทอดยาวให้ได้เดินเชื่อมถึงกันระหว่าง 3 เกาะ คือ เกาะไก่ เกาะหม้อ และเกาะทับ ซึ่งถ้าอยากเห็นทะเลแหวกก็ต้องมาให้ถูกเวลาให้ตรงกับช่วงเวลาที่น้ำลงต่ำสุดในแต่ละวัน จะได้เดินไปบนสันทรายที่ขาวละเอียดนุ่มเท้ามากๆ มีน้ำทะเลสวยใสให้ได้ลงไปเล่นได้ด้วย
จบทริปทัวร์ 4 เกาะในวันแรก ด้วยการนั่งชมทะเลแหวกอย่างเต็มอิ่ม พอตกค่ำก็อิ่มหนำกับอาหารและพักผ่อนให้เต็มที่ ก่อนที่เช้าวันถัดมา “ตะลอนเที่ยว” ก็จะออกไปตะลอนทัวร์ในทะลสวยๆ อีกหนึ่งวันเต็ม ซึ่งโปรแกรมหลักในวันนี้ก็คือการออกไปชมความงามของเกาะห้อง ซึ่งในพื้นที่ใกล้ๆ กับเกาะห้องก็ยังมีเกาะสวยๆ ให้แวะเวียนไปชมกันก่อน
จุดแรกของวันนี้เริ่มกันที่ “เกาะลาดิง” (หรือ เกาะเหลาลาดิง) แต่สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วจะรู้จักกันดีในชื่อ “เกาะพาราไดซ์” ที่นี่เป็นเกาะส่วนตัว และเป็นที่พักอาศัยของกลุ่มสัมปทานเก็บรังนก แต่ก็เปิดเกาะด้านหนึ่งให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปชมความงามของธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์อยู่
บริเวณเกาะลาดิงจะมีหาดทรายให้ได้ลงไปเล่นน้ำ หรือจะออกไปดำน้ำดูปลา ดูปะการังในน้ำตื้นๆ ก็ได้ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวก็จะมานั่งเล่นหลบร้อน นอนพักผ่อน แต่บางคนอาจจะมาลองไต่เชือกเล่น บางคนก็ออกไปชักภาพเก็บความประทับใจกลับบ้าน
ต่อจากเกาะลาดิง เราก็นั่งเรือต่อไปอีกสักครู่ จะมาถึง “เกาะผักเบี้ย” ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ อยู่ทางด้านหลังของเกาะห้อง เกาะผักเบี้ยถือเป็นอีกจุดที่สามารถลงเล่นน้ำได้สนุกสนาน เพราะที่นี่มีหาดทรายขาวสะอาด มีร่มไม้ให้นั่งเล่นพักผ่อน จึงจะเห็นว่ามีเรือท่องเที่ยวหลายๆ ลำแวะมาจอดพักให้นักท่องเที่ยวได้ลงมาเล่นน้ำกัน
ส่วนไฮไลต์ของวันนี้อยู่ที่ “เกาะห้อง” ที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า “เกาะเหลาบิเละ” ซึ่งนอกจากจะเป็นเกาะสวย น้ำทะเลใสๆ อีกแห่งหนึ่งแล้ว เกาะห้องแห่งนี้ยังมีจุดสนใจอยู่ที่ “ลากูน” หรือ ทะเลใน เป็นเหมือนสระน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่โอบล้อมไปด้วยหน้าผาสูง มีปากทางเข้าเป็นเหมือนช่องประตู ซึ่งเรือจะค่อยๆ แล่นเข้าไปสู่ลากูนด้านใน ได้เห็นทัศนียภาพของทะเลอันดามันที่งดงามจับตา น้ำทะเลสีเขียวใสมากๆ มองเห็นทรายสีขาวละเอียดที่อยู่ด้านล่าง สามารถลงไปเล่นน้ำได้ด้วย เพราะน้ำไม่ลึกมาก แต่ถ้ามาในช่วงน้ำลงมากๆ เรือจะไม่สามารถแล่นเข้ามาด้านในของลากูนได้
ชมความงามอันน่าอัศจรรย์ของลากูนเกาะห้องแล้ว ก็นั่งเรือออกมาที่ด้านหน้าของเกาะห้องอีกครั้ง เกาะห้องมีเวิ้งอ่าวสองอ่าวติดกัน มีเพียงโขดหินกั้นกลาง โอบล้อมด้วยแนวเขาหินปูนและต้นไม้ที่ขึ้นเขียวขจี มีชายหาดที่มีเม็ดทรายขาวละเอียดเดินนุ่มเท้ามากๆ และน้ำทะเลที่ช่างสวยใสเป็นสีเขียวมรกต ชวนให้ลงไปแหวกว่ายเล่นน้ำเป็นที่สุด
นอกจากจะมาเล่นน้ำกับฝูงปลาที่เกาะห้องแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมพายเรือคายัคไปรอบๆ เกาะ เพื่อชมความงดงามของธรรมชาติรอบๆ แต่ถ้าใครที่เหนื่อยจากการเล่นน้ำหรือทำกิจกรรมต่างๆ แล้ว ก็ขอแนะนำให้มานั่งเล่นนอนเล่นอยู่ใต้ร่มไม้ให้เย็นใจ หรือใครอยากจะออกไปอาบแดดแรงๆ ก็ไม่ขัดศรัทธา แต่เท่าที่สังเกตมาก็เห็นจะมีเพียงแต่นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่จะออกไปนั่ง-นอนอาบแดดกัน ส่วนชาวเอเชียอย่างเราๆ ก็มักจะหาที่ร่มหลบแดดกันเสียเป็นส่วนใหญ่
มาเที่ยวทะเลแบบนี้ ได้เห็นความงดงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นอย่างตระการตา ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ร้อยกี่พันปี ที่จะทำให้เกาะแก่งต่างๆ ในทะเลมีความงดงามแบบนี้ ในฐานะที่เราเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้าไปใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติ ก็ควรจะช่วยกันดูแลรักษาธรรมชาติไว้แบบนี้ เพื่อให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้มาร่วมชมความสวยงามของธรรมชาติเหมือนเช่นที่เราได้เห็นอยู่ในทุกวันนี้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถสอบถามเส้นทางการท่องเที่ยวใน จ.กระบี่ ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกระบี่ โทร. 0-7562-2163-4, 0-7561-2811-2
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com