พอบอกใครต่อใครว่า “ตะลอนเที่ยว” จะไปเที่ยวเมือง “กวางโจว” (กวางเจา) ประเทศจีน ทุกคนก็แซวเป็นเสียงเดียวกันว่า จะไปสมัครเป็นนักแสดงกายกรรมหรือยังไง เพราะหลายคนมักนึกถึงและรู้จักชื่อเสียงของเมืองกวางโจว จากภาพของนักแสดงกายกรรมผาดโผนชวนเสียวไส้ ที่มักเดินทางมาโชว์การแสดงในบ้านเราบ่อยๆ
จึงไม่น่าแปลกที่พอบอกว่าจะไปเที่ยวเมืองกวางโจว หลายคนเลยนึกว่าเราจะไปดูโชว์การแสดงกายกรรมให้ถึงที่เลยหรือ ต้องออกตัวเลยว่าเราไม่ได้ตั้งเป้าหมายไปดูกายกรรม แต่ที่เลือกมาเที่ยวกวางโจวในทริปนี้ ก็เพราะรู้มาว่านอกเหนือจากกายกรรมที่เลื่องชื่ออันโด่งดังแล้วเมือง “กวางโจว” ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจ ดึงดูดให้คนชอบเที่ยวอย่างเราต้องขอเดินทางมาสัมผัสกัน
ก่อนที่จะออกตะลอนทัวร์เมืองกวางโจวกัน เรามารู้จักเมืองกวางโจวให้มากขึ้นสักหน่อย “กวางโจว” (กวางเจา) หรือที่คนจีนออกเสียงสำเนียงว่า “กว่างโจว” (Guǎngzhōu) เป็นเมืองเอก (เมืองหลวง) ของมณฑลกวางตุ้ง ตั้งอยู่ปากแม่น้ำจูเจียง ซึ่งเป็นแม่น้ำสายยาวเป็นอันดับสามของประเทศ และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,800 ปี เป็นจุดเริ่มของเส้นทางสายไหมทางทะเลในครั้งอดีต และยังเคยเป็นเมืองท่าเสรีแห่งแรกและแห่งเดียวที่เปิดต้อนรับชาวตะวันตกที่เข้ามาติดต่อค้าขาย
เมืองกวางโจวยังได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแพะ” หรือ “หยางเฉิน” ตามตำนานมีเรื่องเล่ากันว่าเมื่อ 4,500 ปีก่อน สมัยโจวหยีหยาง มีเทวดา 5 องค์มองเห็นเมืองกวางโจวซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ชาวบ้านใช้ชีวิตยากลำบาก จึงสวมเสื้อสีสันแตกต่างกันขี่แพะ 5 ตัวลงมา และคาบรวงข้าว 6 รวง มาเมืองมนุษย์คือเมืองกวางโจว เดิมชื่อฉู่ถิง และได้มอบพันธุ์เมล็ดข้าวให้แก่ชาวเมืองกวางโจว พร้อมอวยพรให้พ้นจากความอดอยากตลอดกาล เมื่อเทวดาพูดจบก็หายตัวไป แพะที่ขี่มาก็กลายเป็นหิน 5 ก้อน นักประติมากรรมจึงได้แกะสลักแพะ 5 ตัว จากนั้นเมืองกวางโจวก็มีเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก และเชื่อว่าเป็นเพราะเทวดาที่ทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง จึงทำให้ชาวเมืองกวางโจวซาบซึ้งในบุญคุณ จึงตั้งอนุสาวรีย์แพะห้าตัวขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงเทวดา และก็ถือว่าแพะเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองกวางโจวตลอดมาจนถึงทุกวันนี้
เอาล่ะหลังจากรู้ความเป็นมาของเมืองกวางโจวกันพอสังเขปแล้ว “ตะลอนเที่ยว” ไม่รอช้าขอออกเที่ยวเมืองกวางโจวแบบตามใจ ตามอารมณ์ของเราเลยแล้วกัน โดยขอเปิดฉากมาเที่ยวกันที่นี่ “อนุสาวรีย์แพะห้าตัว” ซึ่งตั้งอยู่ภายในสวนสาธารณะเยี่ยซิ่วที่ร่มรื่น อนุสาวรีย์ห้าแพะนี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกวางโจว ว่ากันว่าถ้าไม่มาดูแพะก็เหมือนมาไม่ถึง กวางโจว เราเลยต้องขอมาให้ถึงเมืองแพะ และก็ได้เห็นอนุสาวรีย์แพะห้าตัวกับตา ที่ตั้งโดดเด่นอยู่เบื้องหน้า ดูแล้วช่างงดงามแข็งแกร่ง เพราะว่าถูกสร้างด้วยหินแกรนิตจำนวน 120 ก้อน แกะสลักประกอบกันเป็นแพะ 5 ตัว มีความสูง 11 เมตร มีแพะตัวใหญ่สุดเป็นตัวผู้คาบรวงข้าว 6 รวง อยู่ที่ปาก ซึ่งอนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นตามตำนานเมืองแพะที่กล่าวไว้แล้ว
เราได้เดินชมอนุสาวรีย์แพะโดยรอบ ได้เห็นแพะครบทั้ง 5 ตัว และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วยว่าเรามาถึงเมืองกวางโจวแล้วจริงๆ นะ จากนั้นก็เดินทางออกจากสวนสาธารณะ เพื่อไปไหว้พระขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเมืองกวางโจวให้ความเคารพศรัทธากัน โดยมากันที่ “วัดกวงเสี้ยว” เป็นวัดโบราณที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของกวางโจว ตามประวัติกล่าวไว้ว่าวัดกวงเสี้ยว เมื่ออดีตเคยเป็นที่ประทับของฮ่องเต้หน่านเหย่ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ราว ค.ศ. 400 ต่อมาก็เปลี่ยนแปลงเป็นวัด ในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม วัดแห่งนี้พ้นภัยการเมืองมาได้เนื่องจากโจวเอินไหลสั่งให้อนุรักษ์ไว้ แต่ว่าวัดแห่งนี้เคยเกิดอัคคีภัยขึ้นหลายครั้ง วิหารหลายหลังภายในวัดจึงถูกสร้างขึ้นใหม่
มาถึงวัดเราได้เห็นชาวเมืองกวางโจวพากันมาที่วัดแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก มีพระสังกัจจายน์สีทองเหลืองอร่ามตั้งประดิษฐานอยู่ ซึ่งชาวกวางโจวนิยมมาไหว้ขอพรกับองค์ท่านเป็นอย่างมาก และบริเวณด้านในวัดก็ดูเงียบสงบร่มรื่น ภายในวัดมีวิหารต่างๆ กระจายอยู่ตามบริเวณต่างๆ รอบวัด และมีวัตถุโบราณต่างๆ มากมายให้ชม มีเจดีย์เหล็กเก่าแก่ตั้งอยู่หลายองค์ ซึ่งเราได้เดินชมวัดไปทั่วๆ แล้วก็ได้ร่วมทำบุญ ไหว้ขอพรกับองค์พระศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด และก็ได้เห็นว่าชาวกวางโจวมาไหว้พระ มาสวดมนต์กันเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากได้ไหว้พระและขอพรจนอิ่มใจแล้ว เราก็เดินทางออกจากวัด ไปสัมผัสกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของมณฑลกวางตุ้งกันที่ “พิพิธภัณฑ์มณฑลกวางตุ้ง” เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีตัวอาคารใหญ่โต ดูร่วมสมัย มีพื้นที่ครอบคลุม 41,027 ตร.ม. มีพื้นที่ก่อสร้างรวม 63,128 ตร.ม. ทางรัฐบาลจีนใช้งบประมาณในการก่อสร้างกว่า 900 ล้านหยวน และเปิดให้เข้าชมฟรี โดยนักท่องเที่ยวเพียงแค่นำพาสปอร์ตไปแลกเป็นตั๋วก็เข้าชมฟรีเช่นกัน
เมื่อเดินเข้ามาภายในอาคารของพิพิธภัณฑ์สัมผัสได้ถึงความโอ่อ่าและดูทันสมัย ภายในมีร้านหนังสือ ร้านอาหาร และร้านกาแฟให้บริการอย่างครบครัน ในส่วนของการจัดแสดงก็จะแบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็นชั้นๆ โดยมีการจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมต่างๆ ของมณฑลกวางตุ้ง, การจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับทรัพยากรต่างๆ อันมากมายของมณฑลกวางตุ้ง, การจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมของมณฑลกวางตุ้ง และยังมีนิทรรศการจัดแสดงงานแบบชั่วคราวที่จะหมุนเวียนเปลี่ยนไป
ต้องขอยอมรับเลยว่าพิพิธภัณฑ์มณฑลกวางตุ้งแห่งนี้ มีการจัดแสดงและนำเสนอเรื่องราวได้เป็นอย่างดี มีความน่าสนใจ จัดแสดงผ่านสื่อมัลติมีเดียแบบผสมผสาน มีความทันสมัย และมีสิ่งของโบราณล้ำค่าให้ชมมากมาย เมื่อได้มาเดินเที่ยวชมแล้วทำให้เรารู้จักมณฑลกวางตุ้งเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเห็นแล้วก็อดนึกถึงพิพิธภัณฑ์ที่เมืองไทยไม่ได้ซึ่งยังขาดการส่งเสริมจากทางรัฐบาล ก็หวังแต่เพียงแค่อยากให้บ้านเรามีพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่และทันสมัยแบบนี้บ้าง ลูกหลานไทยจะได้มีที่ศึกษาหาความรู้กัน
เราได้รับรู้เรื่องราวของมณฑลกวางตุ้งจนเต็มอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาที่จะต้องออกเดินทางไปยังที่เที่ยวต่อไป นั่นก็คือ "บ้านตระกูลเฉิน" หรือ “บ้านของคนแซ่เฉิน” ซึ่งเป็นแซ่ใหญ่ 1 ใน 5 ของคนกวางโจว เมื่อมาถึงเราก็ได้เห็นถึงความใหญ่โตของบ้าน หรือจะเรียกกว่าคฤหาสน์ของตระกูลเฉินก็ว่าได้ ซึ่งคฤหาสน์หลังนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง ประมาณปี ค.ศ. 1890 โดยคนตระกูลเฉินร่วมใจกันออกเงินสร้างขึ้น เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ตระกูลของตัวเอง และยังใช้เป็นที่ชุมนุม เป็นสถานที่อบรมลูกหลานก่อนที่จะไปสอบจอหงวน และก็กลายเป็นโรงเรียนตระกูลเฉิน ต่อมารัฐบาลจีนได้ทำการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ และประกาศให้เป็นสถานที่อนุรักษ์ เพราะมีสถาปัตยกรรมที่งดงามอันทรงคุณค่า โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ลวดลายมงคลที่ทำด้วยเซรามิคเป็นรูปคนและรูปสัตว์ต่างๆ ประดับอยู่บนหลังคาที่ดูโดดเด่นและงดงามเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเราเดินผ่านประตูใหญ่เข้ามายังตัวบ้านด้านใน ก็พบกับฉากไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายอันละเอียดงดงามเป็นอย่างมาก และภายในบ้านก็แบ่งเป็นห้องๆ จัดแสดงเรื่องราวของสภาพบ้านเรือนของคนกวางโจวในอดีต มีเครื่องเรือนไม้แบบจีนที่หาชมได้ยาก และมีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงศิลปะพื้นบ้านของคนกวางตุ้งอันทรงคุณค่า อาทิ งานเครื่องกระเบื้อง งานแกะสลักไม้ งานปักผ้า ฯลฯ
“ตะลอนเที่ยว” ใช้เวลาอยู่ที่บ้านตระกูลเฉินพอสมควร เรียกว่าได้เดินชมจนทั่วบ้าน จากนั้นก็ได้เวลาที่เรารอคอยนั่นคือการไปชอปปิ้ง ซึ่งแหล่งชอปปิ้งชื่อดังที่ผู้คนนิยมมาเดินชอปกันก็ต้องที่นี่เลย “Onelink Plaza” เป็นห้างขนาดใหญ่ มี 8 ชั้น ด้านในตึกติดแอร์เดินเย็นสบาย คลาคล่ำไปด้วยเหล่าพ่อค้าแม่ค้าชาวจีน ที่นำเสนอขายสินค้าหลากหลายประเภท อาทิ ของเล่น กิฟต์ชอปน่ารักๆ ของฝากจากจีน ฯลฯ
สินค้าที่นี่จะมีทั้งแบบขายปลีกและขายส่ง หากซื้อจำนวนเยอะราคาต่อชิ้นก็จะถูกกว่าซื้อชิ้นเดียว ซึ่งก็เหมือนกับที่สำเพ็งบ้านเรา และเท่าที่ได้เดินชอปก็เห็นว่าสินค้าต่างๆ ที่มีขายเหล่านี้ ที่เมืองไทยบ้านเราก็มีเหมือนกัน เพราะว่าพ่อค้าแม่ค้าชาวไทยส่วนหนึ่งก็จะสั่งสินค้าจากที่นี่ไปขายที่เมืองไทยกัน
เรายังไม่สาสมแก่ใจกับการชอปปิ้งมากนัก ยังอยากจะละลายทรัพย์ต่อ จึงขอมาเดินชอปต่อกันที่นี่ “ถนนปักกิ่ง” หรือ “ถนนเป่ยจิงลู่” ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงของเมืองกวางโจว ถนนปักกิ่งนี้สร้างทับถนนโบราณ ในยุคราชวงศ์ซ่ง (ปี 960 - 1279) ซึ่งได้มีการเก็บรักษาสภาพของถนนสายเก่าไว้เป็นอย่างดี โดยใช้กระจกครอบถนนไว้ให้ผู้คนที่มาเดินชอปปิ้งได้เห็นถึงร่องรอยของถนนสายเก่า ให้ผู้คนที่มาเดินชอปปิ้งได้ชื่นชมและรับรู้ถึงความสำคัญในประวัติศาสตร์ไปด้วย
ถนนปักกิ่งเส้นนี้ นักชอปทั้งหลายจะได้ละลายทรัพย์กันแบบสมใจ เพราะว่าตลอด 2 ฟากฝั่งของถนนมีห้าง และร้านค้าหลายร้านที่เปิดขายสินค้ามากมาย มีเสื้อผ้าแบรนด์เนม เสื้อผ้าแฟชั่น กระเป๋า รองเท้า ของเล่น ของฝากของที่ระลึก อาหารและขนม อีกทั้งยังมีตรอกซอยซอยเล็กๆ ให้เดินเข้าไป ซึ่งด้านในจะขายสินค้าก็อปปี้สารพันใฟ้ได้เลือกซื้อหากัน
เรียกว่าหากได้มาเดินชอปที่ถนนปักกิ่งไม่มีไม่เสียตังค์ เพราะว่าสินค้ามีให้เลือกซื้อหามากมายจริงๆ เราเองก็ควักเงินหยวนออกจากกระเป๋าไปเป็นจำนวนไม่น้อย ได้ของฝากติดมือกลับบ้านมากมาย เดินกันจนเมื่อย จนเย็นย่ำ แต่ว่าทริปทัวร์กวางโจวของเรายังไม่สิ้นสุดเท่านี้
เพราะเราขอมาปิดทริปเที่ยวกันยับที่ “Canton Tower” ที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกล และเมื่อมาถึงที่ก็ถึงกับต้องแหงนคอตั้งบ่ามองกันเลยทีเดียว เพราะว่า Canton Tower หรือ กวางโจวทาวเวอร์นี้ เป็นหอส่งสัญญาณทีวีที่สูงที่สุดในโลก มีความสูง 610 ม. โดยเป็นความสูงของตัวอาคาร 460 ม. และความสูงของเสาส่งสัญญาณ 150 ม. ซึ่งเป็นหอโทรทัศน์ที่มีประโยชน์ทั้งการส่งสัญญาณภาพโทรทัศน์ และเป็นหอชมวิวทิวทัศน์รอบเมืองกวางโจวด้วย
โดยตัวอาคารเป็นเหล็กที่มีรูปทรงสวยงาม ดูแข็งแกร่ง และมีสัดส่วนโค้งเว้า ซึ่งในส่วนที่แคบที่สุดของอาคารสามารถวัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ที่ความกว้าง 30 ม. และในยามค่ำคืนอาคารนี้จะมีสีสันสวยงามเป็นอย่างมาก สามารถเปลี่ยนสีไปได้หลากหลายสีสัน
เราได้เข้ามาในตัวอาคาร เพื่อจะได้ขึ้นไปชมวิวเมืองกวางโจวในมุมสูงกัน ซึ่งต้องขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 107 เห็นสูงๆ แบบนี้ แต่ใช้เวลาขึ้นลิฟต์แค่ 90 วินาที เรียกว่าแป๊บเดียวเท่านั้น ก็มาถึงยังชั้นที่เป็นจุดชมวิว เป็นพื้นที่กว้างโล่งติดแอร์และกรุกระจกที่สามารถเดินได้รอบแบบ 360 องศา ทำให้เรามองเห็นวิวเมืองกวางโจวได้ทุกมุมมอง มองผ่านกระจกออกไปได้แบบสุดลูกหูลูกตา ได้เห็นทัศนียภาพเมืองกวางโจวยามค่ำคืนที่มีสีสัน มองแล้วสร้างความประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเราก็ได้ปิดฉากทัวร์เมืองกวางโจวลงอย่างมีความสุข ไปพร้อมๆ กับการชื่นชมวิวเมืองกวางโจว ที่เมื่อได้มาเที่ยวสัมผัสด้วยตัวเองแล้ว ก็ทำให้เราได้กลับไปบอกคนอื่นๆ ว่ากวางโจวเมืองนี้ ไม่ได้มีดีแค่กายกรรม แต่ว่ายังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ชวนให้มาเที่ยวกัน
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
การเดินทางไปเมืองกวางโจว มีสายการบินแอร์เอเชีย ให้บริการเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ-กวางโจว วันละ 1 เที่ยวบิน และกำลังจะเปิดให้บริการเที่ยวบินจากกระบี่-กวางโจว วันละ 1 เที่ยวบิน เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย. เป็นต้นไป สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2515-9999 หรือที่ www.airasia.com
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com