แม่น้ำเจ้าพระยา ถือเป็นเส้นเลือดเส้นใหญ่ที่หล่อเลี้ยงผู้คนมาอย่างยาวนานแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าสายน้ำที่คงอยู่มาเป็นเวลานานจะต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ซึ่งบางอย่างก็ถูกบันทึกไว้ บางอย่างอาจจะสูญสลายไปตามกาลเวลา หรือบางแห่งอาจจะมีซากหรือร่องรอยอะไรบางอย่างที่เหลือทิ้งไว้ให้หวนนึกถึงอดีตได้
เหมือนกับแหล่งชอปปิ้งที่ฉันจะไปเดินเล่นในช่วงพระอาทิตย์ตกดินเย็นนี้ ที่นอกเหนือจากเป็นแหล่งที่ให้ความบันเทิงเริงใจกับขาชอป มีบรรยากาศที่งดงามริมแม่น้ำ และยังมีเรื่องเล่าขานถึงความสำคัญในอดีตของพื้นที่แห่งนี้อีกด้วย
บอกเลยก็แล้วกันว่าสถานที่แห่งนี้ก็คือ “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” (Asiatique The Riverfront) ที่ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง และอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นแหล่งชอปปิ้งและแฮงเอาต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ก็เนื่องจากเป็นแหล่งรวบรวมร้านค้ามากมาย มีทั้งของใช้ ของฝาก เสื้อผ้า และอื่นๆ อีกมากมาย แถมยังมีร้านอาหารทั้งเล็กและใหญ่ให้เลือกชิมแบบนานาชาติ ที่สำคัญก็คือ บริเวณที่ตั้งนั้นอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้บรรยากาศการเดินเล่นเป็นแบบสบายๆ ได้ชมทิวทัศน์งามๆ ของแม่น้ำ นั่งเล่นรับลมเย็นๆ แบบเพลินๆ
อย่างที่ฉันบอกไว้ว่าพื้นที่แถบนี้มีประวัติความเป็นมายาวนาน ซึ่งก็เริ่มตั้งแต่การเป็นที่ตั้งของ “วัดพระยาไกร” ที่ถูกยกฐานะขึ้นเป็นวัดหลวงในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่ต่อมากลายเป็นวัดร้างไป จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “ถนนเจริญกรุง” และยังมีการเปิดบริการรถรางไฟฟ้าบนถนนเจริญกรุงอีกด้วย
ภายหลังจากมีสนธิสัญญาเบาว์ริง ทำให้สยามเกิดการค้าเสรี และมีบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนมากมาย โดยบริษัท อีสต์เอเชียติก (เดิมชื่อ บริษัท แอนเดอร์เซ่น แอนด์ โค) เข้ามาสร้างท่าเรือและโรงเลื่อย ณ บริเวณวัดพระยาไกรที่กลายเป็นวัดร้างไปแล้ว โดยระหว่างก่อสร้างนั้นก็ต้องขนย้ายพระพุทธรูปที่เหลืออยู่ในวัดไปยังวัดสามจีน ระหว่างขนย้ายพระพุทธรูปองค์ใหญ่เกิดอุบัติเหตุลวดสลิงขาด องค์พระตกกระแทกพื้นอย่างแรง ปูนที่หล่อทับอยู่ด้านนอกกะเทาะออก เผยให้เห็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งต่อมาขนานนามกันว่า “หลวงพ่อทองวัดไตรมิตร”
ท่าเรือของบริษัท อีสต์เอเชียติก เป็นท่าเรือที่สำคัญและทันสมัยที่สุดในเวลานั้น มีการนำเครื่องจักรขนาดใหญ่เข้ามาในสยามเป็นจำนวนมาก มีปั้นจั่นรางเลื่อนพลังงานไฟฟ้า และตัวโกดังเก็บสินค้ายังเป็นโครงสร้างเหล็ก แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของท่าเรือในสมัยนั้น จนในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา กองทัพญี่ปุ่นได้เข้ามายึดท่าเรือและคลังสินค้าของบริษัท อีสต์เอเชียติก เพื่อใช้เป็นฐานกำลังและคลังแสง ซึ่งในปัจจุบันยังคงได้เห็นรางรถขนแร่ และหลุมหลบภัยสมัยสงครามโลก
จากความหลังครั้งวันวาน มาจนถึงเมื่อปี 2555 มีการปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่โรงเลื่อย โกดัง และท่าเรือของบริษัท อีสต์เอเชียติก ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ โดยยังอนุรักษ์ร่องรอยต่างๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ พร้อมสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ที่ผสมผสานกันจนเป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัย และกลายมาเป็น เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ในทุกวันนี้
แหม.. ยืนอ่านประวัติเขาเสียนาน ฉันว่ามันถึงเวลาที่เราต้องออกเดินกันแล้ว แต่ถ้าใครกลัวจะหลง เพราะพื้นที่เขากว้างขวาง ก็เดินมาสำรวจแผนที่บริเวณทางเข้ากันก่อนก็ได้ ที่นี่ เขาจะแบ่งพื้นที่เป็นย่านต่างๆ โดยจำลองความรุ่งโรจน์ของธุรกิจบนถนนเจริญกรุงในยุครัชกาลที่ 5 มาให้ชม
เริ่มจากบริเวณทางเข้าโครงการ (จากฝั่งถนนเจริญกรุง) ตรงนี้เขาเรียกกันว่า “ย่านเจริญกรุง” ซึ่งด้านหน้าสุดจะเห็น “หลุมหลบภัย” ซึ่งเป็นของเก่าตั้งแต่สมัยสงครามโลก หากเดินเข้ามาจะเห็นร้านอาหารต่างๆ มีร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว ของตกแต่งบ้าน มีโรงภาพยนตร์ 4 มิติ โรงภาพยนตร์ โรงละคร และโชว์สวยๆ จากคาลิปโซ คาบาเรต์
เดินตรงเข้าไปด้านในเรื่อยๆ จะมาถึง “ย่านกลางเมือง” ที่รวบรวมอาหารอร่อยจากนานาชาติ ให้นั่งดื่มกันในบรรยากาศสบายๆ และเป็นกันเอง และยังมีพื้นที่กิจกรรมกลางแจ้ง ที่จะหมุนเวียนกันจัดกิจกรรมตามเทศกาลต่างๆ อย่างวันที่ฉันไปนี้ก็เริ่มเข้าสู่บรรยากาศของเดือนแห่งความรักแล้ว ก็เลยมีการจัดกิจกรรมจำลองสวนแห่งความรักของจูเลียต มาไว้ให้เข้าไปชม ไปถ่ายรูป มีของที่ระลึกขาย และที่สำคัญยังมีกุญแจคู่รักให้เข้าไปคล้องไว้กับรั้วรอบๆ สวน ให้บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรักเสียจริงๆ
เลี้ยวมาซ้ายมืออีกนิด ก็จะเป็น “ย่านโรงงาน” บริเวณนี้จะเป็นพื้นที่พบปะสังสรรค์ และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจหลังเลิกงาน เนื่องจากได้รวบรวมร้านอาหาร ผับ และร้านขายสินค้าแฟชั่น ของประดับตกแต่งไว้มากมาย ยิ่งในช่วงพลบค่ำแล้วก็ยิ่งน่ามาเดินหรือนั่งเล่นแถบนี้มาก เพราะแต่ละร้านจะประดับประดาไฟสีสันสวยงาม เปิดเพลงจังหวะต่างๆ เคล้าคลอไปด้วย
ย่านสุดท้ายของที่นี่ก็คือ “ย่านริมน้ำ” เป็นจุดที่ฉันชอบที่สุด เพราะได้ชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาแบบพาโนรามา มานั่งดูสีสันของท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแสงตะวัน และเมื่อพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นสีสันของแสงไฟ ทั้งจากในโครงการ และจากฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สะท้อนแสงลงบนน้ำดูระยิบระยับ
แต่นอกจากจะมาชมบรรยากาศสวยๆ ในย่านริมน้ำนี้แล้ว ยังมีประติมากรรมที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนงานท่าเรือ มีปั้นจั่นรางเลื่อนตัวเก่า ที่ยังติดตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำ ทำให้ได้ย้อนไปถึงเมื่อวันที่ท่าเรือแห่งนี้ยังคงมีความสำคัญอยู่ และยังปรากฏอาคารสถาปัตยกรรมโบราณที่ในอดีตเคยเป็นอาคารของบริษัท อีสต์เอเชียติก แต่ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการปรับปรุงให้มีสภาพดีขึ้น
อีกจุดหนึ่งที่ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเอเชียทีค ก็คือ “เอเชียทีค สกาย” ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่เป็นจุดดึงดูดสายตาของทุกคน ไม่ว่าจะเดินทางมาทางรถ (ถนนเจริญกรุง) หรือทางเรือ (แม่น้ำเจ้าพระยา) ก็สามารถมองเห็นชิงช้าขนาดยักษ์เด่นเป็นสง่า ซึ่งถ้าได้ขึ้นไปด้านบนก็จะสามารถชมทิวทัศน์กรุงเทพฯ ในมุมสูงได้แบบรอบตัว
เดินวนในเอเชียทีคอยู่ 3 รอบเต็มๆ แวะชิมของอร่อยจากหลายๆ ร้านจนอิ่มแน่นกระเพาะ แถมสองไม้สองมือยังเต็มไปด้วยถุงชอปปิ้งที่มีทั้งของกิน ของใช้ และของฝาก ฉันก็เริ่มเหนื่อยเต็มที ขาก็ล้า เริ่มจะก้าวไม่ออกแล้ว คืนนี้ก็เลยขอไปตบท้ายด้วยการขึ้นชิงช้าสวรรค์ “เอเชียทีค สกาย” นั่งพักผ่อนชมกรุงเทพฯ ที่ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟ ก่อนจะกลับบ้านนอนด้วยความสุขใจ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
“เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” (Asiatique The Riverfront) ตั้งอยู่ระหว่างซอยเจริญกรุง 72-76 ถนนเจริญกรุง แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กทม. เปิดบริการทุกวัน เวลา 17.00-00.00 น.
สำหรับการเดินทางมายังเอเชียทีคสามารถมาได้หลายเส้นทาง โดยเส้นทางที่สะดวกที่สุดคือ นั่งเรือด่วนเจ้าพระยามาลงที่ท่าเรือสาทร หรือใช้บริการ BTS ลงที่สถานีตากสิน จากนั้นจะมีเรือของเอเชียทีคให้บริการรับ-ส่งฟรี ระหว่างท่าสาทร-เอเชียทีค ระหว่างเวลา 16.00-23.30 น.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.thaiasiatique.com
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของผู้จัดการท่องเที่ยว Travel @ Manager on Facebook รับข่าวสารทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยวแบบรวดเร็วทันใจ และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!!
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com