“ASTV ผู้จัดการออนไลน์” ได้รับเชิญเข้าร่วมทริป “ฟิน เดสติเนชัน” เดินทางไป กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน พร้อมกับผู้โชคดีจากกิจกรรมที่ แม็กนั่ม ไอศกรีม ร่วมกับ การบินไทย ในแคมเปญ “Once in Lifetime experience with MAGNUM FIN Destination”
ตลอดทริป 5 วัน 4 คืน ด้วยแคมเปญที่ต้องการตอกย้ำไลฟ์สไตล์ฉบับ “แม็กนั่มเลิฟเวอร์” กับสถานที่ท่องเที่ยวงดงามของเมืองที่ได้ชื่อว่า “ราชินีแห่งทะเลบอลติก” ควบคู่ไปกับการเดินทางตามเส้นทางสายช็อกโกแลต และขนมหวาน หากจะให้บ่งบอกด้วยความรู้สึกแค่ “ฟิน” อาจจะยังไม่พอ
จากจุดเริ่มต้น สนามบินสุวรรณภูมิ ผู้ร่วมทริปทั้งหมด 7 คนพากันโดยสารชั้นธุรกิจด้วยเครื่องบินโบอิ้งรุ่น 777-300ER**ของการบินไทย มุ่งหน้าสู่จุดหมายกรุงสตอกโฮล์ม เมืองหลวงของสวีเดน ถือเป็นการเริ่มต้นที่อบอุ่นสะดวกสบายจากบริการ “รักคุณเท่าฟ้า” ของเหล่าพนักงานต้อนรับ
ทักทายสตอกโฮล์ม
กรุงสตอกโฮล์ม ในปลายเดือนพฤศจิกายนอุณหภูมิอยู่ที่ราว 2 องศา
สัมผัสแรก บนพื้นแผ่นดินสวีเดน คือ การได้อยู่จุดชมวิวมุมสูงของสตอกโฮล์ม ที่ไกลตาออกไป มองเห็นย่านเมืองเก่า (Old cit:Gamla Stan) ตึกรามทรงโบราณสีส้ม สีเหลือง ตัดกับยอดโบสถ์-ปราสาทแหลม หลังคาสีเขียวสลับกับอาคารตึกสูงสมัยใหม่ทันสมัยอยู่ตรงหน้าโดยมีผืนแผ่นน้ำทะเลคั่นกลาง เรือลำใหญ่กำลังแล่นเข้ามาจากปากอ่าวเพื่อเทียบท่าที่มีเรือขนส่งสินค้า เรือโดยสาร เรือท่องเที่ยวหลายลำจอดสงบนิ่ง อดหลับตานึกถึงประวัติศาสตร์ของที่นี่ที่ว่าไว้ว่า เวลาหลายร้อยปีก่อนที่นี่เป็นศูนย์กลางความเจริญของทั้งวัฒนธรรม การเมือง การค้า และเศรษฐกิจภูมิภาคย่านนี้นั้นเป็นอย่างไร
กรุงสตอกโฮล์ม ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1252 ทำเลที่ตั้งอยู่บนเกาะที่แยกตัวเกาะกลุ่มกันกว่า 14 แห่งริมชายหาด ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลบอลติก ทิศตะวันออกของประเทศสวีเดน ความรุ่งโรจน์รุ่งเรืองจากอดีตสู่ปัจจุบันทำให้สตอกโฮล์มเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
ทว่า ในความใหญ่กลับไม่ได้ทำให้เป็นเมืองที่สับสนวุ่นวายเหมือนเมืองใหญ่ทั่วไป เพราะเมื่อมองใกล้ตัวเข้ามาจากจุดที่ยืนอยู่ ถนนหนทางกลับให้ความรู้สึก สงบ โล่ง โปร่ง อาจเป็นเพราะ ตามข้อมูลบ่งบอกประเทศนี้แม้จะมีผืนแผ่นดินกว้างใหญ่แต่มีคนอาศัยแค่ 9 ล้านคน และใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงเพียง 1.7 ล้านคน น้อยมากเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ
แหงนมองฟ้ามีเมฆครึ้ม ความหนาวเหน็บของอากาศทวีกำลังแรงด้วยลม บรรยากาศเมืองดูหม่นมัว แต่สีสันสดใสของตัวอาคาร สิ่งปลูกสร้างที่ไกลตานั้นกลับโดดเด่นเป็นสง่า มีเสน่ห์ คล้ายบ่งบอกว่า เมืองใหญ่อย่างสตอกโฮล์มมีเรื่องราว มีสีสัน น่าสนใจมากมายให้ค้นหา
พอลงจากจุดชมวิวเมือง นั่งรถลัดเลาะข้ามเกาะสองหรือสามเกาะ เราก็มาถึงจุดศูนย์กลางของเมืองซึ่งเป็นจุดแรกสร้างเมืองโดยปฐมกษัตริย์ของสวีเดน ทั่วบริเวณที่รวมเรียกว่า “วังขุนนาง” ประกอบไปด้วยอาคารเก่า วิหาร โบสถ์ สะท้อนให้เห็นร่องรอยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของสวีเดน
มาหยุดยืนอยู่ริมฝั่งน้ำข้างๆ วังขุนนางสามารถมองเห็นเป้าหมายที่จะไป “ซิตี้ฮอลล์” (CityHall) เด่นเป็นสง่าอยู่อีกริมฟากหนึ่งของแม่น้ำ
ที่ซิตี้ฮอลล์แห่งนี้เป็นทั้งสถานที่ราชการ ศาลาว่าการเมือง และการจัดเลี้ยงรับรองรางวัลโนเบล ที่ยิ่งใหญ่โด่งดังรู้จักกันทั่วโลก เป็นผลงานสร้างสรรค์ของ Ragnar Ostberg
ตัวอาคารสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1911 เสร็จเรียบร้อยในปี ค.ศ. 1923 หรืออีก 12 ปีต่อมา มองจากภายนอกดูเรียบง่าย แต่จะสะดุดตากับส่วนที่เป็นมงกุฎทอง 3 อันคล้ายทะยานสูงขึ้นไปบนฟ้าบนคอหอยสูงกว่า 106 เมตร บ่งบอกถึงการให้ความเคารพเทิดทูนพระมหากษัตริย์อย่างสูงส่งซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของกรุงสตอกโฮล์ม
ขณะที่หากเดินขึ้นหอคอยขึ้นไปก็จะพบกับ Cenotaph of Birger Jarl ตำนาน จากปี ค.ศ. 1248 ถึง 1266 ผู้ค้นพบกรุงสตอกโฮล์ม ในปี 1252
เมื่อเดินเข้าไปสำรวจภายในจะเห็นถึงความละเมียดละไมของการออกแบบสถาปัตยกรรม ที่คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยภายในของซิตี้ฮอลล์อย่างแยบยลลงตัว
ส่วนแรกที่เราสัมผัสเป็นลานในบลูฮอลล์ (Blue room) หรือห้องโถงสีน้ำเงินซึ่งเดิมผู้สร้างต้องการให้สถาปนิกเปิดโล่งมองเห็นท้องฟ้าสีคราม แต่มีปัญหาอุปสรรคในเรื่องของดินฟ้าอากาศ จึงแก้แบบด้วยการใช้กระจกใสแทน กระทั่งสร้างไปสร้างมากลับมีส่วนผสมหลายส่วนเข้าด้วยกัน
ฮอลล์นี้ใช้สำหรับการจัดงานเลี้ยงต่างๆ ตั้งแต่พระราชพิธีไปจนถึงงานสังสรรค์ของสามัญชนและที่สำคัญคืองานมอบรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ ยกเว้น สาขาสันติภาพ ที่ยกให้นอร์เวย์เป็นผู้จัดมาช้านานแล้ว
อีกส่วนที่เป็นไฮไลต์และน่าทึ่งคือส่วนของฮอลล์ทองคำ (Gold room) ที่ผนังห้องประดับด้วยทองคำกว่า 18 ล้านชิ้น ภาพฝาผนังมีเรื่องราวการยกย่องกษัตริย์ และจอมทัพต่างๆ รวมไปถึงภาพมหึมาดูแปลกตาของราชินีที่ดูแตกต่างจากภาพราชินีผู้สิริเลอโฉมที่คุ้นเคย พระองค์ดูคล้ายกับบุรุษเพศมากกว่าโดยเรียกขานว่าเป็น Queen of Lake Malaren ที่คอยรักษาสันติภาพการอยู่ร่วมกันของมวลมนุษยชาติ
เราใช้เวลาละเมียดละไมกับอาคารซิตี้ฮอลล์พอประมาณก็เคลื่อนย้ายไปหาเป้าหมายสำคัญที่รอเราอยู่ นั่นคือ อาหารมื้อแรกที่จะบ่งบอกความเป็นสวีดิชที่ภัตตาคาร Ulla Windbladh restaurant
ที่ร้านแห่งนี้บรรยากาศการตกแต่งดูอบอุ่น ขณะที่สถานที่ตั้งอยู่ในสวนที่เปิดโล่งมีความเป็นมายาวนาน ทำให้นอกจากอิ่มท้องยังอิ่มใจที่ได้ลิ้มรสอาหารและขนมหวานสูตรดั้งเดิมของคนสวีเดน
หลังปรับสมดุลของร่างกายให้เข้ากับท้องถิ่นด้วยอาหารพื้นเมืองสวีดิชเรียบร้อย จุดหมายต่อไปของเราอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เรือวาซา (VASA Museum)
จากประตูของพิพิธภัณฑ์เดินเข้าไปข้างในเราก็ต้องอึ้งและทึ่งกับขนาดของเรือโบราณตั้งตระหง่านอยู่ในเงามืด มีแสงไฟส่องสว่างเพียงเล็กน้อย ซึ่งมารู้ภายหลังว่านี่เป็นวิธีในการควบคุมดูแลอุณหภูมิภายในห้องเพื่อป้องกันเนื้อไม้ถูกทำลาย
เรือวาซา นับเป็นเรือรบที่ทำจากไม้เนื้อแข็งชั้นดี สร้างในสมัยของกษัตริย์กุสตาฟอดอล์ฟที่ 2 ในช่วงปี ค.ศ. 1626 ถือว่าเป็นเรือรบที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุดในยุคนั้นด้วยขนาดที่ใหญ่ระวางขับน้ำ 1,300 ตัน ติดตั้งอาวุธปืนใหญ่มากกว่าเรือทั่วไปสอง-สามเท่า ออกแบบวางปืนไว้สองชั้นรวม 64 กระบอก
หัวเรือ ลำตัวและท้ายเรือตกแต่งประดับประดาด้วยรูปไม้แกะสลักประณีตบรรจงสวยงาม แต่ยังไม่ทันได้แสดงแสนยานุภาพเข้าสู่สมรภูมิการต่อสู้แย่งชิงดินแดน เพียงล่องออกจากท่าเทียบไม่ทันไรก็ล่มจมลงสู่ก้นแม่น้ำ ส่งผลให้มีลูกเรือและเหล่าทหารหาญเสียชีวิตมากมาย
นับจากวันนั้นเรือวาซาที่ควรจะได้ออกรบกลับนอนนิ่งอยู่ในน้ำเป็นเวลานานถึง 333 ปี กระทั่งนายแอนเดอร์ ฟานเซน ค้นพบและนำทีมสำรวจกู้ซากเรือขึ้นมาได้สำเร็จและใช้เวลาอีกนานหลายปีในการทำให้กลับมามีสภาพสมบูรณ์ดังที่โชว์ให้เห็นในพิพิธภัณฑ์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา
กล่าวกันว่า ความยิ่งใหญ่ของเรือวาซาไม่ได้อยู่ที่การสร้าง เพราะการสร้างใช้เวลาเพียง 3 ปีก็แล้วเสร็จ แต่ระยะเวลาจากการจมอยู่ใต้น้ำและกู้ขึ้นมาได้กลับใช้เวลานานมาก นี่ต่างหากที่เป็นความยิ่งใหญ่ของเรือรบวาซา เรือที่ยิ่งใหญ่ที่มาจากศตวรรษที่ 16 แล้วอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดลำเดียวในโลก
…
ยิ่งใกล้ค่ำอุณหภูมิลดต่ำ ความหนาวเย็นยิ่งเย็นเยียบ
ออกจากพิพิธภัณฑ์เรือวาซา ฟ้าก็มืดสนิท
ก่อนจะหมดวันแรกในสตอกโฮล์มซึ่งความมืดกล้ำกรายมาเร็วมาก แค่เพียงบ่ายแก่ๆ ทั่วทุกทิศทุกทางในเมืองหลวงก็สว่างไสวไปด้วยแสงสีนวลตา
แสงไฟสีนวล กับอาคารเก่าในย่านเมืองเก่า (Old Town) เป้าหมายต่อมาที่เราใช้เวลาวิ่งรถเพียงเล็กน้อยก็ได้ลงเดินสัมผัสกับเมืองเก่าท่ามกลางความหนาว เส้นทางมุ่งไปสู่ร้านเครื่องดื่มและขนมชื่อดัง Chokladkoppen ที่ใครมาที่นี่และได้ลิ้มรสเครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ กับขนมหวานแล้วหลงใหลกลับไปทุกคน
ตัวร้านเป็นตึกแฝดสีเหลืองกับสีแดงโดดเด่นตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่า ภายในร้านเต็มไปด้วยผู้คน ตกแต่งด้วยสไตล์ย้อนยุคที่เรียบง่าย ส่งให้บรรยากาศการนั่งดื่มและกินที่นี่อบอุ่นเป็นกันเอง
เมื่อช็อกโกแลตอุ่นร้อนผ่านลำคอตกถึงท้อง นอกจากช่วยสลัดความหนาวเย็นของร่างกาย รสชาติของไวต์ช็อกโกแลต หวานมันกำลังดี ผสมกับสัมผัสกลิ่นส้มที่ถูกเสียบไว้ข้างแก้วตำแหน่งตรงจมูกพอดีของร้าน ปลุกความสดชื่นของทุกโสตประสาทให้กลับมาสู่ความตื่นตัวหลังจากการเดินทางไกลกว่า 10 ชั่วโมง ต่อด้วยการท่องเที่ยวเหมือนได้ทักทายกรุงสตอกโฮล์มแรกพบหน้าที่ยาวนาน
ไม่น่าเชื่อว่า ด้วยฤทธิ์ของไวต์ช็อกโกแลตร้อนและกลิ่นส้ม พอเดินออกมานอกร้าน ค่อยๆกวาดสายตาไปรอบๆ เมืองเก่า แสงสีที่ขับเมืองทั้งเมือง พลันนั้น ความรู้สึกที่มีต่อกรุงสตอกโฮล์มดูคล้ายหญิงสาวที่แรกรู้จัก ยามเธอไม่ยิ้มยังพอทำเนา แต่พอยิ้ม รอยยิ้มที่เฉิดฉันนั้น ทั้งสดชื่น และอบอุ่น อะไรปานนั้น
...
วันรุ่งขึ้น เราเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความหนาวเย็นเช่นเดิม
เป้าหมายแรกอยู่ที่พระราชวังดรอทนิงโฮล์ม Drottningholm Palace ที่ประทับของ สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ และ สมเด็จพระราชินีซิลเวีย แห่งสวีเดน รวมไปถึงพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งทรงประทับมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1981
พระราชวังสวยตั้งอยู่ริมน้ำอยู่ห่างจากใจกลางกรุงสตอกโฮล์มราว 10 กิโลเมตร เป็นสถานที่นิยมของนักท่องเที่ยวเนื่องจากทรงอนุญาตให้ประชาชนได้เข้าชมพระราชวังอย่างใกล้ชิด ซึ่งเราก็ไม่พลาดที่จะเดินชมความงามสง่าของพระราชวังที่เก่าแก่ก่อสร้างมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 16 ในราวปีค.ศ.1662 อย่างถ้วนทั่วตลอดจนบริเวณที่จัดเป็นสวนอังกฤษ สวนสาธารณะที่ให้ประชาชนเข้ามานั่งพักผ่อนหย่อนใจ
หลังเก็บภาพและเดินชมพระราชวังแล้วเรามุ่งหน้าไปที่เมืองซิกทูน่า(Sigtuna) เมืองเก่าแก่ที่สุดของสวีเดน ปัจจุบันยังอนุรักษ์เอาไว้ให้คนรุ่นหลังเข้ามาศึกษา ร่องรอยบางอย่างพอได้สัมผัส เช่น ศาลาที่ว่าการของเมือง ภาพในอดีตก็ผุดพรายขึ้นมา อาคารไม้ดูเก่าแต่มีมนต์ขลังเคยใช้สำหรับขังนักโทษ เป็นสถานที่ค้างแรมของเหล่านักเดินทาง สถานที่ทำงานของผู้ดูแลเมือง ชวนให้นึกถึงหนังย้อนยุคที่เคยอยู่ในความทรงจำ
ตัวเมืองซิกทูน่าปัจจุบันถูกแปลงเป็นหมู่บ้านค้าขายสินค้านานาชนิด สินค้าที่ระลึก ร้านขนม ร้านกาแฟ ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรมพื้นเมืองก็มีให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อ
ท้ายของหมู่บ้านมีโรงแรมเก่าแก่ชื่อ 1909 Sigtuna Stad Hotell เราหยุดพักรับประทานอาหารที่นี่ นอกจากอาหารสไตล์สวีดิชคลาสสิกที่รสชาตอร่อยแล้ว ที่นี่ยังมีอาหารตาหากมองจากห้องอาหารออกไปจะเห็นวิวทะเลสาบเวิ้งว้าง ที่ว่ากันว่าสามารถล่องเรือไปเรื่อยๆจนถึงพระราชวังดรอทนิงโฮล์มที่เราเพิ่งจากมาได้เลย
เมื่อมื้ออาหารผ่านพ้นไปก็เป็นเวลาของการเดินทางตามรอยเส้นทางสายช็อกโกแลตและขนมหวานกันอีกครั้ง
เดินออกจากโรงแรมเก่าแก่ไม่กี่ก้าวก็ถึงร้านขึ้นชื่อของเมืองซิกทูน่า RC Chocolate สำหรับผู้หลงใหลในช็อกโกแลตเพียงเปิดประตูเข้าสู่ร้านแห่งนี้ก็คงรู้สึกว่านี่เหมือนเปิดประตูสวรรค์ เพราะ ที่นี่ช็อกโกแลตพราลีน (Chocolate Praline )หลากหลายให้เลือกลิ้มลองอย่างละลานตา
สำหรับเรา รสชาติกาแฟขมปร่าปนหวานชื่นของช็อกโกแล็ตช่วยให้บ่ายวันนั้นในเมืองเล็กๆเก่าแก่เกือบจะสมบูรณ์แบบ ขาดเพียงแต่ความคลาสสิกแสนโรแมนติกของเมืองเก่า ลม ฟ้า อากาศ เป็นภาพที่ขัดแย้งอยู่บ้างกับชายผู้ที่เดินเดียวดายฝ่าสายลมหนาว
ทาลลินน์ เสน่ห์เอสโตเนีย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ฤดูหนาวในแถบสแกนดิเนเวียกลางวันแสนสั้น กลางคืนยิ่งยาวนาน ท้องฟ้ามืดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้สึกตัว รู้สึกอีกครั้งเราก็เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางโดยสารเรือสำราญของบริษัท ทาลลินน์ ซิลย่า ไลน์ (Tallink Silja Line) ที่เราเห็นแล่นเข้าอ่าวกลางกรุงสตอกโฮล์มในวันแรก เพื่อไปสู่เป้าหมายเมืองทาลลินน์ (Tallinn) ประเทศเอสโตเนีย
ผู้คนในแถบนี้นิยมไปมาหาสู่กันและกันด้วยเรือโดยสารขนาดใหญ่เช่นนี้ เพราะในเรือมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ภัตตาคาร บาร์ ร้านค้าปลอดภาษี สระว่ายน้ำ สปา ไปจนถึง คาสิโน สำหรับนักเสี่ยงโชค
การเดินทางโดยเรือจากสตอกโฮล์มไปถึงเมืองทาลลินน์ใช้เวลานับ10ชั่วโมงสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ทำให้คลายความน่าเบื่อหน่ายลงไปได้ แต่หลังอาหารเย็นที่ภัตตาคารเลิศหรูจบลง เราเลือกที่จะขลุกอยู่ในห้องพักของผู้โดยสารที่ถูกจัดไว้ในชั้นบนๆของลำเรือ มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเรือวิ่งเรียบชายฝั่ง ปรากฏเห็นบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งเป็นระยะไป
ค่ำคืนจนรุ่งสางในเรือผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นไม่เหมือนแรกที่คิดไว้ว่าจะคล้ายกับเรือตังเกที่โยกคลอนไปตามระลอกคลื่นเห่กล่อมให้เมาแล้วจึงหลับสนิท
เรือใหญ่แล่นช้าเนิบนาบทำให้หลับสบายจนถึงสายของวันใหม่ เป้าหมายมองผ่านช่องหน้าต่างเห็นเมืองทาลลินน์ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางอากาศขมุกขมัว
สาธารณรัฐเอสโตเนียเป็นประเทศในย่านทะเลบอลติก ยุโรปเหนือ ทิศเหนือติดกับอ่าวฟินแลนด์ ตะวันตกติดกับทะเลบอลติก ทิศใต้ติดกับประเทศลัตเวีย และ ทิศตะวันออกแนบชิดกับประเทศรัสเซีย
ขณะที่ทาลลินน์เมืองที่เรือกำลังเทียบท่า เป็นเมืองหลวงและเมืองท่าสำคัญของเอสโตเนียตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลบอลติกทางด้านเหนือของประเทศอยู่ห่างจากกรุงเฮลซิงกิเมืองหลวงของประเทศฟินแลนด์เพียง 80 กิโลเมตร ทาลลินน์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของย่านทะเลบอลติก
อากาศที่ทาลลินน์แตกต่างจากกรุงสตอกโฮล์ม ความหนาวเหน็บมีความชื้นจากละอองฝนปนมา ยิ่งเพิ่มความทารุณต่อผู้คนจากเมืองร้อนอย่างเรา แต่ความหนาวถูกชดเชยด้วยเสน่ห์ของเมืองเก่าแก่ที่ยากแก่การละสายตาเพ่งมองตัวอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์ฮันเซียติกที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13
ความเก่าแก่ของเมืองเก่า ตรอกซอกซอยที่เดินผ่านล้วนมีเรื่องราวบอกเล่าที่สะกิดให้การเดินช้าลงเพราะมัวแต่เพ่งพิจารณาเพลิดเพลินอย่างลืมวันเวลาจนมัคคุเทศก์ท้องถิ่นต้องเร่งเร้าพวกเราให้เร่งเดิน
ไม่ว่าจะเร่งอย่างไรในความรู้สึกของเราเหมือนโลกนั้นหมุนช้าลงไปแล้ว เสน่ห์ความงามของเมืองเก่าทาลลินน์คล้ายสะกดจิตให้เวลาทุกนาทีหยุดลงเสียด้วยซ้ำ ก่อนจะแวะเติมความหวาน ฟินกับช็อกโกแลตร้อนจากร้าน Chocolaterie de Pierre ที่ได้ชื่อว่า อร่อยที่สุดในโลก ลงในไปในสายเลือดตามเจตนารมณ์ของทริปนี้
คำว่า อร่อยที่สุดในโลก ของร้านทำให้เราที่ไม่ใช่ผู้ชำนาญด้านช็อกโกแลตยากที่จะบรรยายเป็นตัวหนังสือออกมาว่าเป็นรสชาติเป็นอย่างไร เห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย? ยังคงเป็นคำถามที่ถามต่อๆกันให้หมู่คณะ แต่ผลของช็อกโกแลตร้อนกรุ่นพอได้สัมผัสที่ลิ้นบวกกับสถานที่ตั้งของร้านที่ซุกตัวอยู่ในตรอกกลางเมืองเก่าการตกแต่งร้านที่สลัวๆให้ความรู้สึกคล้ายกับกำลังนั่งดื่มอยู่ในฉากแสนคลาสสิกให้หนังรักโรแมนติกได้กลายเป็นตัวชูรสเพิ่มรสชาติและบรรยากาศให้กับช็อกโกแลตร้อนไปโดยปริยาย
ทาลลินน์มีจุดให้นักท่องเที่ยวได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ไม่น่าแปลกใจที่สถานที่แห่งนี้จะถูกบรรจุไว้ในโปรแกรมหากใครได้มาเยือนยุโรปแถบนี้
ถ้าเดินเหนื่อยก็แวะดื่ม และ กินภายในเมืองเก่าที่มีเอกลักษณ์ ต่อจากร้านดื่มเรามุ่งตรงไปที่ร้านขายช็อกโกแลตที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งในย่านเมืองเก่าทาลลินน์
ร้านนี้มีชื่อว่า Kalev Chocolate Shop ก่อตั้งมาตั้งแต่ปีค.ศ.1806 ผลิตและจำหน่ายช็อกโกแลตพราลีนที่ขึ้นชื่อของเมืองทาลลินน์และเอสโตเนีย
ภายในร้านเมื่อเข้าไปลูกค้าที่เป็นผู้หลงใหลในช็อกโกแลตยังเดินเข้า-ออกอยู่ตลอดเวลาขณะที่ช็อกโกแลตพราลีนรูปทรงต่างๆวางโชว์ชวนให้ทึ่งในความบรรจงประณีตของการทำคล้ายกับเราได้เสพงานศิลป์มากกว่าที่จะเป็นของกินชั้นเลิศ
ขณะที่ภายนอกมีร่องรอยของวัฒนธรรมการกินช็อกโกแลตหลงเหลืออยู่กับรูปทรงของเครื่องจำหน่ายเครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อนและสินค้าของร้านแก่ลูกค้าที่สัญจรผ่านไปมา หลับตานึกภาพย้อนไปเมื่อในอดีต นึกให้น่าอิจฉาผู้คนสมัยนั้นที่มีชีวิตอย่างร่ำรวยอารมณ์ศิลป์แม้แต่การจะดื่มจะกินช็อกโกแลตสักชิ้นหรือสักถ้วยหนึ่ง
เราเตร็ดเตร่อยู่ในเมืองเก่าทาลลินน์จนเย็นย่ำ ดื่มด่ำกับเมือง กับผู้คน เวลาในเอสโตเนียก็หมดลง เราต้องเดินทางกลับไปที่เรือสำราญที่จอดรออยู่ท่าเรือมุ่งหน้ากลับกรุงสตอกโฮล์ม สวีเดน
เมื่อได้เวลา เรือลำใหญ่ค่อยๆคืบคลานออกจากท่าอย่างเชื่องช้า คล้ายกับการแรกพบแล้วจากลาที่อ้อยอิ่ง ทิ้งทาลลินน์ไว้ที่เบื้องหลัง กับ ความทรงจำที่ติดตรึงใจไปอีกนานเท่านาน
ไบเบิล ช็อกโกแลต
สิ่งที่เรียนรู้คู่ไปกับการท่องเที่ยวทริปนี้ คือ การรู้จักช็อกโกแลตมากขึ้น
ก่อนนี้โลกของช็อกโกแลตสำหรับเราเหมือนจะไม่มีอะไรซับซ้อน มันก็แค่ผลผลิตที่มาจากเมล็ดของต้นโกโก้(Cocoa) ถูกใช้เป็นส่วนผสมของขนมหวานหลากหลาย ไอศกรีม ลูกอม คุกกี้ เค้ก ที่ทุกคนรู้จักดี และว่ากันว่า ช็อกโกแลตที่อร่อยและดีที่สุดอยู่ที่เบลเยี่ยม
หลังจากกลับจากเอสโตเนียมาถึงสตอกโฮล์มช่วงสายของอีกวัน จุดหมายแรกคืออาหารกลางวันที่ร้าน Gondolen ร้านอาหารที่ขึ้นชื่อว่าหรูหราและบรรยากาศดีที่สุดของเมือง ซึ่งบนห้องอาหารถูกออกแบบพิเศษมาเพื่อเป็นสถานที่กินไปดื่มด่ำกับภาพมุมสูงของเมืองสตอกโฮล์มแบบ 360 องศา
จากนั้นเราเดินจากร้านอาหารไปย่านเมืองเก่าของกรุงสตอกโฮล์มอีกครั้งเพื่อไปยังแหล่งที่อยู่ของมิสเตอร์ปีเตอร์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น กูรู ช็อกโกแลต ให้เราได้เข้าคลาสช็อกโลแลตเทสติ้ง ที่ร้าน Bagguskallare ของเขา
นี่จึงเป็นไฮไลต์ของทริปอย่างแท้จริงหลังจากเข้าออกร้านช็อกโกแลตมีชื่อหลายแห่ง เราสะเปะสะปะดื่มและชิมลิ้มรสอย่างไม่รู้อะไรมากนักนอกจากใช้ความรู้สึกวัด
ที่นี่ได้ทำให้โลกของช็อกโกแลตของเราเปิดกว้าง รับรู้ถึงว่าสลับซับซ้อนและความหมายที่ลึกซึ้งของมัน
ขณะเดียวกันครูผู้สอน มิสเตอร์ปีเตอร์ ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านช็อกโกแลตในประเทศสวีเดน ผลงานของเขาได้รับการตีพิมพ์เป็น “ไบเบิล ช็อกโกแลต” แต่ละวันเขามีหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราว เส้นทาง และ ความเป็นมาของช็อกโกแลต พร้อมกับภาคปฏิบัติให้นักเรียนทั้งหลายได้ทดลองทดสอบช็อกโกแลตชนิดต่างๆอย่างชนิดผู้ที่เริ่มต้นจากศูนย์อย่างเราสามารถเข้าใจเข้าถึงได้ง่าย
เขาบอกว่า เมล็ดโกโก้ที่ดีที่สุดสำหรับนำมาผลิตเป็นช็อกโกแลต อันดับต้นๆของโลกอยู่ที่ มาดากัสกา เวนา ซูเอล่า เอกวาดอร์ รสชาติของช็อกโกแลตที่มาจากประเทศเหล่านี้จะให้รสชาติที่นุ่มนวลละมุนลิ้นกลมกล่อม ละลายในปาก
ช็อกโกแลตที่มีวางจำหน่ายอยู่ทั่วโลก ผู้ผลิตแต่ละประเทศจะผสมหรือเบลนด์ส่วนผสมลงในผงช็อกโกแลตเป็นสูตรของตัวเองแล้วพะยี่ห้อออกขายแต่อย่างไรก็ตามผู้ผลิตจะบอกแหล่งที่มาของเมล็ดโกโก้ว่ามาจากไหน หากขึ้นชื่อประเทศที่ว่ามาผู้รักช็อกโกแลตสามารถเชื่อถือได้ระดับหนึ่งว่า รสชาติของช็อกโกแลตจะไม่ทำให้ผิดหวัง
มิสเตอร์ปีเตอร์ให้เราได้ทดสอบช็อกโกแลตจากแหล่งที่มาต่างๆ การผสมส่วนผสมที่ดี และ เลว ให้รสชาติที่ดีและแย่แตกต่างกันอย่างไร
ไม่น่าเชื่อว่า ช็อกโกแลต ที่คุ้นลิ้นจะมีความแตกต่างกันมากมาย เช่น มีอยู่ชิ้นหนึ่งที่เราลองชิมและทดสอบพบว่า รสชาติมีความหวานปนเผ็ด มิสเตอร์ปีเตอร์ให้ลองคาดว่ามาจากที่ไหนของโลก
ไม่มีใครทายถูก เพราะ ช็อกโกแลตชิ้นนั้นผสมและผลิตจากจังหวัดกาฬสินธุ์ ประเทศไทย
การได้ทดสอบช็อกโกแลตพร้อมฟังคำอธิบายจากกูรูในลักษณะนี้จึงช่วยเพิ่มพูนความมั่นใจในตัวเอง อย่างน้อยก่อนซื้อช็อกโกแลตครั้งต่อไป เราตั้งใจว่าต้องดูแหล่งที่มาก่อนพิจารณายี่ห้อดัง และหลังจากได้ลิ้มรสก็น่าจะบอกได้ว่า ช็อกโกแลตอันไหนดีหรือควรเคี้ยวแล้วกลืนลงท้องให้เร็วที่สุดเพราะรสชาติสุดจะทนทาน
เวลาแห่งความสนุกสนานในคลาสเรียนช็อกโกแลตผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังร่ำลาพร้อมประกาศนียบัตรที่ไม่มีแผ่นกระดาษรองรับนอกจากประสบการณ์ที่ไม่อาจลืมเลือนมาไว้ในใจ
….
ค่ำคืนในสตอกโฮล์ม แสงไฟสีนวลตาตรอกซอกซอยยังคงเพิ่มเสน่ห์ให้เมืองเก่าเหมือนที่เคยเป็นมา
เพียงแต่ท่ามกลางแสงไฟสลัวนั้นชวนให้หม่นหมองอึดอัดขัดข้องใจอยู่บ้าง อาจจะเพราะ รู้ว่าช่วงเวลาต้องจากกันกระชับสั้นเข้ามาแล้ว
การร่ำลามักเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากใจเสมอ
ทบทวนหวนนึกตั้งแต่แรกพบ สตอกโฮล์ม เมืองเก่า อาหารแบบสวีดิช เครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อนขมเฝื่อนละมุนละไม และ ขนมหวาน เส้นทางท่องเที่ยวในสองประเทศ สวีเดน และ เมืองเก่าทาลลินน์ เอสโตเนีย มีทะเลบอลติกเห่กล่อมสองคืน จบลงด้วยการเข้าคลาสเรียนรู้ช็อกโกแลต นับเป็นความทรงจำที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต
เช้าวันต่อมา วันที่เรานั่งเครื่องบินสายการบินไทย เพื่อมุ่งหน้ากลับสุวรรณภูมิ
สตอกโฮล์ม บนภาพในมุมสูงยังดูเหมือนใครคนหนึ่งที่ยามแย้มยิ้ม รอยยิ้มของเธอแม้ดูเรียบง่ายหากแต่เฉิดฉัน เจิดจ้า รวมเป็นความงามที่ยากจะให้ใครสักคนปฏิเสธแข็งขืนต่อความหวังของตนเอง
หวังที่เฝ้าหวังว่า สักวันหนึ่ง จะได้ย้อนคืนกลับมาพบกันใหม่.
*****************************************
ข้อมูลโบอิ้ง 777-300ER
เครื่องบินโบอิ้ง 777-300 ER ถือเป็นเครื่องบินลำใหม่ที่บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) รับมอบมา ในเครื่องบินประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ในห้องโดยสารเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารอย่างครบครัน ทั้งที่นั่งที่ติดตั้งจอทีวีส่วนตัวและระบบสาระบันเทิงเต็มรูปแบบในทุกที่นั่ง
เครื่องบินโบอิ้ง 777-300ER จำนวน 8 ลำใหม่ของการบินไทย ในตารางบินฤดูหนาวได้นำมาให้บริการผู้โดยสารในเส้นทางยุโรป/อเมริกา และ เอเชีย ได้แก่ เส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ-สตอกโฮล์ม/ออสโล/โคเปนเฮเกน/ลอสแองเจลิส/เซี่ยงไฮ้ (สำหรับบางเที่ยวบิน)
ทั้งนี้ เครื่องบินติดตั้งที่นั่งรวม 348 ที่นั่งแบ่งเป็น 2 ชั้นโดยสาร คือ ชั้นธุรกิจ หรือ Royal Silk class จำนวน 42 ที่นั่ง เป็นที่นั่งแบบใหม่ที่มีความเป็นส่วนตัว สามารถปรับเอนราบได้ถึง 180 องศา
ชั้นประหยัด หรือ Economy Class จำนวน 306 ที่นั่ง ที่มีความสะดวกสบายมีระยะห่างระหว่างแถวกว้าง 32 นิ้ว
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com