xs
xsm
sm
md
lg

เที่ยวป่าอะเมซอนเมืองไทย ฟอกปอดให้สดชื่นที่ “พังงา”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หนึ่งในตัวแทนความอุดมสมบูรณ์ของ “Little Amazon”
ภาคใต้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภาคที่มีฝนตกตลอดแทบทั้งปี ด้วยภูมิประเทศของภาคใต้ที่มีความแตกต่างจากภาคอื่นๆ จึงทำให้หลายๆ จังหวัดทางภาคใต้ของไทย ถูกขนานนามให้เป็นเมืองฝนแปดแดดสี่

เช่นเดียวกันกับ “พังงา” ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีฝนตกชุกไม่แพ้ที่ไหน ด้วยสภาพอากาศเช่นนี้ จึงทำให้นักท่องเที่ยวส่วนมาก เดินทางมาท่องเที่ยวยังจังหวัดพังงาในช่วงไฮซีซั่น (Hi Season) หรือประมาณเดิน พ.ย.-พ.ค. เท่านั้น ถึงหลายคนอาจจะมองว่าฤดูฝนอาจทำให้เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว แต่ถ้ามองในแง่ดี ฤดูฝนนี่แหละทำให้ต้นไม้ดูเขียวขจี และสดชื่น เหมาะแก่การสูดโอโซนเป็นที่สุด
“ปลาการ์ตูน” ที่ทางศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งพังงาเพาะพันธุ์ไว้
“พังงา” เป็นจังหวัดที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ทั้งเกาะน้อยใหญ่ ภูเขา น้ำตก หรือ ถ้ำ ดังคำขวัญประจำจังหวัดที่ว่า ‘แร่หมื่นล้าน บ้านกลางน้ำ ถ้ำงามตา ภูผาแปลก แมกไม้จำปูน บริบูรณ์ด้วยทรัพยากร’ ด้วยทรัพยากรเหล่านี้ จึงทำให้จังหวัดพังงากลายเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่เหมาะสมแก่การมาท่องเที่ยวยิ่งนัก

สำหรับการมาเที่ยวพังงาของ "ตะลอนเที่ยว" ในครั้งนี้ เดินทางไปกับโครงการ "Lady Journey Go Green... เยือนเมืองย้อนยุคแห่งอันดามัน จ.พังงา" โดยเป็นการไปท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติในบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากที่คุ้นเคยกัน เนื่องจากว่าในช่วงฤดูฝนแบบนี้อาจจะไม่เหมาะกับการไปเที่ยวทะเลสักเท่าไหร่ แต่สำหรับทริปนี้จะเป็นการท่องเที่ยวแบบไหนบ้างนั้น ต้องลองติดตามกันดู
เต่าทะเลหนึ่งในสัตว์ที่ศูนย์วิจัยฯ เพาะพันธุ์ไว้
เริ่มต้นที่ “ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งพังงา” ตั้งอยู่บนถนนเลียบชายทะเลหาดท้ายเหมือง ห่างจากตัวอำเภอท้ายเหมืองประมาณ 4 กิโลเมตร ที่นี่ถือเป็นศูนย์ศึกษา ค้นคว้า วิจัย รวมถึงพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเพาะเลี้ยงเต่าทะเล หอยมือเสือ ปลาการ์ตูน รวมถึงการเพาะเลี้ยงสาหร่ายช่อพริกไทย อีกด้วย
“หอยมือเสือ” หาดูได้ยากในปัจจุบัน
ภายในศูนย์ฯ จะมีเจ้าหน้าที่คอยเล่าประวัติความเป็นมา ร่วมถึงวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งศูนย์ฯ จากนั้นจะพาเดินชมศูนย์เพาะเลี้ยงในบ่อต่างๆ ส่วนไฮไลท์ที่น่าสนใจของที่นี่คือเต่าทะเล ภายในศูนย์ฯ จะมีเต่าทะเลหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งเต่าตนุ เต่ากระ ที่ทางศูนย์ฯ เพาะเลี้ยงไว้ มีทั้งลูกเต่าตัวเล็กๆ ไปจนถึงพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์เต่า ที่มีอายุมากกว่า 20 ปี
“สาหร่ายช่อพริกไทย” หรือ “สาหร่ายกรีนคาเวียร์”
นอกจากนี้แล้วจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของศูนย์ฯ คือการเพาะเลี้ยงสาหร่ายช่อพริกไทย (Caulerpa macrophysa) เป็นพืชที่ทางศูนย์ฯ ได้ทำการวิจัยและเพาะเลี้ยงเพื่อให้ชาวบ้านนำไปเลี้ยงต่อในแหล่งธรรมชาติ เพื่อสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน โดยสาหร่ายช่อพริกไทย สามารถนำมาประกอบอาหารได้ จะมีรสชาติกรุบกรอบ ที่เรียกได้ว่าเป็นจานเด็ดที่ใครมาเที่ยวพังงาต้องมาลิ้มลอง
ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของ “คลองลำรู่”
หลังจากได้รับความรู้เรื่องการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกันจนหนำใจแล้ว ก็ไปชื่นชมธรรมชาติกันต่อที่ “คลองลำรู่” ที่ตั้งอยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติเขาหลัก-ลำรู่ ที่นี่จะมีกิจกรรมล่องแพไม้ไผ่ ท่ามกลางธรรมชาติ ให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมสนุกกัน เมื่อถึงที่หมายก็มีฝนตกปรอยๆ แต่หาได้เป็นอุปสรรคแก่เราไม่ เราเริ่มเตรียมพร้อมล่องแพด้วยการสวมเสื้อชูชีพเพื่อความปลอดภัย จากนั้นลงแพไม้ไผ่ โดยแพแต่ละลำจะรับนักท่องเที่ยวได้ 2 คน บนแพจะมีคนบังคับแพเป็นผู้บังคับทิศทางในการล่องไปตามสายน้ำ
ล่องแพไม้ไผ่ท่ามกลางสายฝนและน้ำเย็นเฉียบ
เมื่อประจำที่พร้อมแล้วแพจะค่อยๆ เคลื่อนไปตามกระแสน้ำ ลัดเลาะไปตามโขดหินน้อย-ใหญ่ ที่รายล้อมไปด้วยทัศนียภาพผืนป่า และสวนผลไม้ให้ได้ชมกันตลอดสองข้างทาง น้ำใสๆ ที่สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือก ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ทั้งใจและกาย ในบ้างช่วงกระแสน้ำแรงเป็นแก่งทางลง คนบังคับเรือต้องออกแรงบังคับให้แพไม่กระแทกหิน ทำเอาหวาดเสียว เรียกเสียงกรี้ดกร๊าดจากนักท่องเที่ยวได้ตลอดทาง กว่าจะไปถึงจุดสิ้นสุดก็ทำเอาทั้งเปียกทั้งหนาว เรียกความประทับให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติไม่น้อย
ต้นไม้ที่ขึ้นตลอดสองข้างทางที่เกาะคอเขา
แต่เท่านี้ยังไม่จุใจพอ เราออกเดินทางกันต่อไปยังบ้านน้ำเค็ม แต่จุดหมายปลายทางของเราไม่ได้อยู่ที่บ้านน้ำเค็ม เราตรงมาที่ท่าเรือบ้านน้ำเค็มเพื่อเดินทางไปยัง “เกาะคอเขา” ตั้งอยู่ในเขตตำบลเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า ซึ่งแต่ก่อนตำบลเกาะคอเขาเป็นกิ่งอำเภอเกาะคอเขา เคยเป็นเมืองท่าแห่งหนึ่งของจังหวัดพังงา เมื่อมาถึงท่าเรือจะเห็นเกาะคอเขาตั้งอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลออกไป เรือหางยาวที่จอดเรียงรายบริเวณท่าเรือ จะเป็นพาหนะในการพาเราข้ามฟากไปยังเกาะคอเขาในครั้งนี้

เราใช้ระยะเวลาโดยสารเรือเพื่อข้ามมายังเกาะคอเขาประมาณ 15 - 20 นาที เมื่อมาถึงท่าเรือเกาะคอเขาก็มีรถสองแถวมารอรับอยู่แล้ว เราเริ่มต้นขึ้นรถสองแถว และออกเดินทางไปไปชมฝูงควายไล่ทุ่ง รถเเล่นไปตามทางถนนราดยางเส้นเล็กที่มีเพียงเลน 2 เลน ให้รถวิ่งสวนกันได้ ตลอดสองข้างทางจะสังเกตเห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของเกาะ ต้นไม้น้อยใหญ่นานาชนิดมีให้เห็นตลอดทาง หากสังเกตให้ดีๆ จะพบว่าในบางช่วงนั้นต้นไม้จะมีความสูงใกล้เคียงกันเกือบทั้งหมด เราได้คำตอบจากชาวบ้านว่า สาเหตุที่ต้นไม้สูงเท่ากันหมดเนื่องมาจากเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 2547 ทำให้ต้นไม้ล้มตายเป็นจำนวน ภายหลังธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเองจึงทำให้ต้นไม้เหล่านี้เกิดขึ้นมาใหม่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน จึงเป็นที่มาของความสูงของต้นไม้ที่เท่าๆ กัน นับว่าเกาะแห่งนี้ยังคงเป็นเกาะที่มีความสมบูรณ์และเป็นธรรมชาติมาก
ฝูงควายออกหากินในทุ่งหญ้าสนามบินเก่าบนเกาะคอเขา
เมื่อมาถึงจุดหมาย(จุดชมฝูงควายไล่ทุ่ง) จะพบกับทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่ ดูโล่งสบายตา เราเริ่มสอดส่องสายตามองหาฝูงควาย จากที่ได้ทราบข้อมูลมาก่อนว่าฝูงควายที่นี่เป็นฝูงควายขนาดใหญ่ มีควายนับร้อยตัว ฝูงควายเหล่านี้จะเดินไปไหนมาไหนเป็นฝูง แล้วพอตกเย็นก็จะเดินกลับเข้าคอกพร้อมๆ กัน

ในส่วนของทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่นั้น จากการสอบถามชาวบ้านในพื้นที่ได้ความว่า "ในสมัยก่อนเกาะคอเขาเป็นพื้นที่การค้า เนื่องจากเป็นเมืองที่เดินทางสะดวก เรือใหญ่สามารถบรรทุกสินค้ามายังเกาะได้ทางทะเล และสามารถขนถ่ายสินค้าขึ้นทางบกได้ จึงทำให้บริเวณนี้ถูกชาวญี่ปุ่นสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสนามบิน ในส่วนของทุ่งหญ้านั้นจะเป็นพื้นรันเวย์ แต่ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิก็ทำให้มีหญ้าขึ้นเหมือนอย่างที่เห็น"
ต้นของดอกบัวที่เล็กที่สุด
"ส่วนควายที่นี่จะเป็นควายที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ ไม่ได้ขาย หรือกิน เพราะที่เกาะนี้ไม่มีโรงฆ่าสัตว์ ชาวบ้านก็ปล่อยตามธรรมชาติ" หลังจากฟังจบ เราก็เริ่มสอดส่องสายตามองหาฝูงควายกันอีกครั้ง แต่ก็พบเพียงไม่กี่ตัว คนขับรถสองแถวจึงพาขับรถไปเรื่อยๆ จึงมานึกขึ้นได้ว่า เพราะว่าฝนตกทำให้ฝูงควายแยกย้ายกันไปหลบฝนตามป่า ตามใต้ต้นไม้ แต่ถึงแมัว่าฝนจะตกลงมาเราก็ไม่ละความพยายาม ยังคงตระเวนหาฝูงควายต่อไป จนมาพบควายฝูงหนึ่งอยู่ห่างออกไปจากถนนราว 50 เมตร ควายตัวดำสนิทหลายตัวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ บ้างก็กินหญ้าที่พื้นในบรรยากาศฝนพรำๆ ช่างเป็นภาพธรรมชาติที่งดงามลงตัวจริงๆ
หม้อข้าวหม้อแกงลิง หาดูได้ที่เกาะคอเขา
หลังจากชื่นชมกับทัศนียภาพเบื้องหน้ากันจนจุใจแล้ว เราขึ้นรถสองแถวกันต่อเพื่อไปชมดอกบัวที่เล็กที่สุด และต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง เมื่อไปถึงยังจุดหมายก็ต้องผิดหวังกันไปตามๆ กัน เนื่องจากฝนตก ทำให้บัวไม่ออกดอก จึงทำได้เพียงมองต้นของมันและจินตนาการเอาว่ามันคงเป็นดอกบัวจิ๋วที่เล็กมาก หลังจากผิดหวังกับดอกบัว ใกล้ๆ กันกับบ่อบัวก็มีต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงสีแดงอมม่วงบ้าง สีเขียวบ้างให้เห็นกันพอชื่นใจ
ล่องเรือชม Little Amazon ที่คลองสังเน่ห์
จากนั้นเราก็ออกเดินทางกลับโดยนั่งเรือหางยาวกลับไปที่ท่าเรือบ้านน้ำเค็ม จากนั้นมุ่งหน้าไปชมป่าดิบชื้นที่ถูกเรียกว่า “Little Amazon (ลิตเติ้ลอะเมซอน)” ป่าดิบชื้นแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ อำเภอตะกั่วป่า เป็นป่าผืนป่าเล็กที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย มีพืชพรรณไม้แปลกๆ ขึ้นอยู่ตามริมฝั่ง มีสิ่งมีชีวิตจำพวกงูอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ป่าแห่งนี้ถูกนักท่องเที่ยวและชาวบ้านขนานนามให้เป็น Little Amazon
พบงูหลายชนิดได้ที่ลิตเติ้ลอะเมซอน
เมื่อมาถึงจุดหมายก็เตรียมความพร้อมก่อนเข้าชมด้วยการสวมชูชีพ เนื่องจากป่าที่เราจะเข้าไปนั้นต้องนั่งเรือเข้าไปในคลอง โดยคลองที่เราจะเข้าไปชื่อว่า “คลองสังเน่ห์” ซึ่งเป็นที่ตั้งของลิตเติ้ลอะเมซอน เราเริ่มต้นลงเรือลำละ 2 คน เรือจะค่อยๆ แล่นผ่านต้นตีนเป็ด ต้นจาก และต้นไทรอายุนับร้อยปี มีม่านไทรย้อยห้อยลงมาทำให้บรรยากาศดูรกและเหมือนเข้าป่าลึกขึ้นทุกที จากนั้นเรือจะแล่นไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางน้ำ ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย ผ่านไปสักพักคนขับเรือค่อยๆ ชะลอความเร็วเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างบนต้นไม้ ไม่นานคนขับเรือก็ชี้ให้เราดูบนยอดไม้ งูตัวดำมันเงาคาดลายตัวด้วยสีเหลืองอมขาว นอนขดอยู่บนต้นไม้ ช่างเป็นภาพที่ชวนขนลุกสำหรับคนไม่ชอบงูเอาเสียจริง
ทัศนียภาพร่มรื่นของคลองสังเน่ห์
หลังจากซุ่มมองงูได้สักพัก ห่างออกไปไม่ไกลคนขับเรือก็เรียกให้แหงนมองบนต้นไม้ จะเห็นงูเขียวนอนขดอยู่กับกิ่งไม้ ดูไปเสียวไปว่ามันจะตกลงมาใส่หัวหรือไม่ จากนั้นเรือก็ค่อยๆ แล่นต่อไป ภายในป่าบางช่วงจุถูกต้นไม้ปกคลุมจนไม่เห็นแสดแดด บางช่วงต้นไม้ก็โล่งโปร่งพอให้แสงแดดส่องลงมากระทบน้ำบ้าง เมื่อมองไปเบื้องหน้าเป็นภาพคลองที่มีต้นไม้นานาชนิดเรียงรายตลอดเส้นทาง ช่างเป็นภาพธรรมชาติที่งดงามลงตัวจริงๆ
บ้านเรือนเก่าตามสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส
อิ่มเอมกับธรรมชาติของป่าลิตเติ้ลอะเมซอนแล้ว เราออกเดินทางไปยังจุดสุดท้ายที่ “เมืองเก่าตะกั่วป่า” เพื่อไปชมความงามของตึกแถวแบบสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส ที่สร้างขึ้นในช่วงยุคทองของการทำเหมืองแร่ดีบุก ซึ่งในสมัยก่อนมีชาวจีนเข้ามาทำเหมืองแร่ดีบุกที่ตะกั่วป่าเป็นจำนวนมาก ทำให้มีบ้านเรือนแบบเก่าที่ถูกสร้างไว้เรียงรายอยู่ตลอดสองฟากฝั่งถนน ถึงแม้ว่าปัจจุบันเหมืองแร่จะไม่มีแล้ว แต่ตึกแถวโบราณยังคงเหลือให้เห็นทั้งในสภาพดี และสภาพทรุดโทรมไปบ้าง จึงทำให้เสน่ห์ของบ้านเรือนเหล่านี้ กลายเป็นจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนพังงาต้องไปชมกันสักครั้ง
บ้านโบราณยังคงมีอยู่ให้เห็น
มาพังงาครั้งนี้นอกจากจะได้เที่ยวเต็มอิ่มกับธรรมชาติจนหายเหนื่อยเมื่อยล้าจากการทำงานแล้ว ธรรมชาติที่นี่ยังช่วยฟอกปอดให้สดชื่นอีกด้วย หากใครที่อยากจะมาสัมผัสธรรมชาติของภาคใต้แบบนี้บ้าง ก็จองตั๋วแพ็กกระเป๋าไปเที่ยวพังงากันเลย!
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น