xs
xsm
sm
md
lg

หลงรักดอกเสี้ยว เที่ยวแจ้ซ้อน นอนแช่น้ำอุ่น กรุ่นไอหนาวที่บ้านป่าเหมี้ยง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บ่อน้ำร้อนแจ้ซ้อน
ยังจำได้ว่าเมื่อตอนที่ “ตะลอนเที่ยว” เด็กๆ เคยไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนแล้วนำไข่ไก่ลงไปต้ม เสร็จแล้วก็ตักขึ้นมาปอกเปลือก เหยาะซอสลงไปนิด ลองชิมรสชาติไข่น้ำพุร้อนที่อร่อยถูกใจจนยังจำได้ถึงทุกวันนี้ แต่ต้องขอบอกว่า ไข่น้ำพุร้อนแบบนี้ไม่ได้หากินได้ง่ายๆ ต้องไปถึงถิ่นที่มีน้ำพุร้อนเท่านั้นถึงจะได้ชิม พอถึงวันหยุดที่มีเวลาว่าง ก็เลยชวนพี่น้องเพื่อนฝูงมารำลึกความหลังสมัยเด็กกันหน่อย

แต่ครั้งนี้เลือกมาที่ จ.ลำปาง มุ่งหน้ามายัง “อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน” ด้วยเหตุที่ได้ยินข่าวว่าจะมีเทศกาลดอกเสี้ยว ในบริเวณใกล้ๆ กับอุทยานฯ ก็เลยอยากมาเห็นหน้าเห็นตาเจ้าดอกเสี้ยวว่าเป็นอย่างไร แต่ก่อนอื่นนั้น เมื่อมาถึงอุทยานฯ แจ้ซ้อน แล้ว ก็ต้องมาทำกิจกรรมยอดฮิตของนักท่องเที่ยวก่อน นั่นก็คือ การต้มไข่ในน้ำร้อน
ไข่แช่น้ำร้อน มีทั้งไข่ไก่และไข่นกกระทา
“บ่อน้ำร้อนแจ้ซ้อน” จะมีลักษณะเป็นโขดหินน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่โดยรอบ จะมีไอน้ำลอยกรุ่นขึ้นมาจากบ่อตลอดเวลา อุณหภูมิความร้อนเฉลี่ยประมาณ 70-80 องศาเซลเซียส ฉะนั้น เวลาเดินตามเส้นทางก็ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะหากเดินไม่ดีแล้วพลัดตกลงไปในบ่อ ก็จะได้ลิ้มรสความร้อนอย่างเต็มที่แน่นอน

ด้วยอุณหภูมิของน้ำที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้กิจกรรมการแช่ไข่ในน้ำร้อนเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยว มีทั้งไข่ไก่และไข่นกกระทา โดยเฉพาะไข่ไก่นั้นจะมีใส่ชะลอมวางขายตามร้านค้าต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวซื้อแล้วนำมาแช่และรอคอยที่จะชิมอย่างใจจดใจจ่อ
รอชิมไข่แช่น้ำร้อน
หลังจากกินของอร่อยไปแล้ว ก็ต้องมานอนแช่น้ำอุ่นๆ ให้สบายตัวกันหน่อย แต่ไม่ใช่ว่าจะให้ไปนอนแช่ในบ่อน้ำร้อนที่ต้มไข่แน่ๆ เพราะตัวเราอาจจะสุกตามไข่ไปได้ บริเวณที่สามารถนั่งแช่นอนแช่น้ำอุ่นได้มีชื่อว่า “แอ่งน้ำอุ่น” ซึ่งอยู่ติดกับบ่อน้ำร้อน เป็นแอ่งน้ำที่เกิดจากการไหลมาบรรจบกันของน้ำร้อนจากบ่อและน้ำเย็นจากน้ำตกแจ้ซ้อนที่อยู่ใกล้ๆ กัน อุณหภูมิของน้ำก็อุ่นกำลังสบาย แต่ถ้าชอบอาบน้ำที่ร้อนขึ้นมาหน่อย ก็ต้องไปที่ “ห้องอาบน้ำแร่” ที่มีให้เลือกทั้งแบบห้องส่วนตัว สระน้ำรวม และบ่อกลางแจ้ง ซึ่งจะใช้น้ำแร่ที่ต่อมาโดยตรงจากบ่อน้ำร้อน คุณประโยชน์ของการอาบน้ำแร่ที่หลายๆ คนชื่นชอบก็คือ ช่วยบำบัดความเมื่อยล้าของร่างกาย ใครที่นั่งรถมาไกลๆ ถ้าได้มาอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนที่นี่ รับรองว่าหายเมื่อย ผ่อนคลาย สบายตัวแน่นอน
พักผ่อนนอนแช่น้ำอุ่น
บรรยากาศที่ร่มรื่น เย็นสบายภายในอุทยาน ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจกันมาก โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดต่างๆ ทั้งเพื่อนฝูง และครอบครัว ต่างก็พากันจูงมือมานั่งเล่น นอนเล่น ชิมไข่แช่น้ำร้อน และยังพากันเดินไปชมน้ำตกที่อยู่ภายในอุทยานฯ ทั้ง น้ำตกแจ้ซ้อน น้ำตกแม่มอญ น้ำตกแม่ขุน เป็นต้น และยังสามารถไปเดินป่าศึกษาธรรมชาติได้ตามเส้นทางที่จัดไว้อีกด้วย แบบนี้ นอกจากจะได้พักผ่อนแล้ว ก็ยังได้ความรู้เพิ่มเติมให้กับตัวเองไปในตัว

อย่างที่บอกไปในตอนต้นว่า “ตะลอนเที่ยว” อยากมาดูหน้าตาของ “ดอกเสี้ยว” ว่ามีลักษณะอย่างไร ก็เลยขับรถออกจากอุทยานฯ แจ้ซ้อน มาตามเส้นทาง แจ้ซ้อน-ป่าเหมี้ยง ระหว่างสองข้างทางจะมีดอกเสี้ยวให้เห็นเป็นระยะๆ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เป็นบริเวณชมทิวทัศน์ของดอกเสี้ยวได้อย่างเต็มตา เรียกกันว่า “ลานดอกเสี้ยว”
ลานดอกเสี้ยว
“ดอกเสี้ยว” เป็นดอกไม้ป่าที่จะบานทั่วหุบเขาในราวๆ เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ลักษณะดอกจะมีสีขาว มี 5 กลีบ แต่จะมีสีชมพูแต้มที่กลีบใหญ่สุด ทุกๆ ปีในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จะมีการจัดเทศกาลดอกเสี้ยวบาน เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมความงดงามของดอกเสี้ยว ราวมถึงเป็นการเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียงได้มาออกร้าน นำเสนอสินค้าในท้องถิ่นของตนเองด้วย อย่างในปีนี้ มีการจัดงาน “เทศกาลดอกเสี้ยวบาน” ครั้งที่ 12 ไปเมื่อวันที่ 22-24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานี้เอง

ในพื้นที่ที่ดอกเสี้ยวบานสะพรั่งอยู่นี้ เป็นพื้นที่ของ “บ้านป่าเหมี้ยง” หมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอีกแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อของ จ.ลำปาง “ตะลอนเที่ยว” ก็ต้องไม่พลาดที่จะเข้าไปสัมผัสวิถีชีวิตของชาวชุมชน และร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ภายในชุมชน
ดอกเสี้ยวกลีบสีขาวแต้มชมพู
เริ่มแรกต้องไปทำความรู้จักกับชาวบ้านในชุมชนกันก่อน ชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำอาชีพเกี่ยวกับใบเมี่ยง (ใบชา) ตั้งแต่การปลูก การเก็บใบเมี่ยง การหมักเมี่ยง และการแปรรูปใบเมี่ยงให้เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งอหารการกิน และทำเป็นหมอนใบชา ที่กลายมาเป็นของฝากขึ้นชื่อของที่นี่

“ตะลอนเที่ยว” ได้เดินเข้าเดินออกบ้านต่างๆ ที่ทำกิจกรรมเกี่ยวกับใบเมี่ยง ชาวบ้านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี แถมยังมาช่วยกันอธิบายวิธีการทำใบเมี่ยงและการหมักเมี่ยงให้ได้ฟังอย่างกระจ่างแจ้ง เริ่มแรกนั้นต้องไปเก็บใบเมี่ยง แล้วนำมานึ่ง จากนั้นก็ขายต่อมาให้คนหมักเมี่ยง ซึ่งวิธีการหมักเมี่ยงก็จะนำใบเมี่ยงมามัดรวมกันเป็นห่อ แล้วหมักกับน้ำเปล่า ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ก็จะนำไปขายได้เลย
สาธิตวิธีการหมักเมี่ยง
ชาวบ้านบอกว่า ใบเมี่ยงที่หมักแล้วนั้น จะนำไปกินเป็นของว่าง เคี้ยวเล่นเพลินๆ เป็นของกินเล่นของคนภาคเหนือ ลองชิมใบเมี่ยงที่หมักแล้วรสชาติจะออกเปรี้ยวๆ ฝาดๆ คล้ายกับของหมักดองทั่วไป จะกินใบเมี่ยงเปล่าๆ หรือจะใส่ไส้ลงไปกินคู่กันด้วยก็ได้ ซึ่งไส้เมี่ยงก็มีทั้งใส่ขิงดอง มะพร้าวคั่ว และถั่วลิสง ให้เคี้ยวกินกันเพลินๆ

จากนั้นก็เดินเลี้ยวเข้าบ้านที่ทำหมอนใบชา มีทั้งหมอนกลม หมอนเหลี่ยม ใบเล็กใบใหญ่ และยังมีหมอนใบชาใบเล็กๆ ที่ใช้สำหรับใส่ตู้เสื้อผ้า หรือตู้รองเท้าเพื่อดับกลิ่นด้วย ไส้ใบชาที่ยัดใส่ลงไปในหมอน จะช่วยดูดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ ส่วนกลิ่นใบชาที่หอมอ่อนๆ นั้นก็ช่วยให้ผ่อนคลาย ถ้าใช้ไปเรื่อยๆ จนกลิ่นชาหมด ก็ให้นำไปตากแดดไว้สักพัก กลิ่นของใบชาก็จะกลับมาตามเดิม
หมอนใบชาสารพัดประโยชน์
ใบเมี่ยงนี้ นอกจากจะนำไปหมักได้มาเป็นของกินเล่นแล้ว ใบเมี่ยงสดก็ยังสามารถนำมาทำเป็นอาหารอร่อยๆ ได้อีกหลายเมนู ซึ่งหากว่ามาที่บ้านป่าเหมี้ยงแล้วก็ต้องไม่พลาดที่จะมาลองชิม “ยำใบเมี่ยง” อาหารสูตรเด็ดที่ลองแล้วจะติดใจ นอกจากยำใบเมี่ยงแล้ว ที่บ้านป่าเหมี้ยงก็ยังมี “ขันโตกสุขภาพ” ที่ประกอบไปด้วยยำใบเมี่ยง และเมนูหลากหลายที่ใช้วัตถุดิบธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น รับรองความอร่อย ปลอดภัย และได้ประโยชน์กับสุขภาพ เป็นขันโตกที่ชาวบ้านป่าเหมี้ยงทำไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งหลาย

และเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ถ้าหากได้มานอนที่บ้านป่าเหมี้ยงแล้วก็ต้องตื่นแต่เช้าตรู่เสียหน่อย จะได้ไปชมพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ ที่ “จุดชมวิวดอยกิ่วฝิ่น” จะอยู่ห่างจากบ้านป่าเหมี้ยงไปประมาณ 4 กิโลเมตร ก่อนจะถึงดอยกิ่วฝิ่นนั้น เราจะต้องข้ามจากลำปางไปยังเชียงใหม่ก่อน เพราะบริเวณนี้เป็นพื้นที่รอยต่อของทั้ง 2 จังหวัด พอจอดรถไว้ที่ลานด้านล่างแล้ว ก็ต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกเล็กน้อยประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงลานกว้างด้านบน มีที่นั่งให้ชมวิวทิวทัศน์รอบตัว รับลมเย็นสบายยามเช้า (หรือถึงขั้นหนาวในบางวัน)
เส้นแบ่งเขตแดนจังหวัดบนจุดชุมวิวดอยกิ่วฝิ่น
อากาศที่บ้านป่าเหมี้ยงจะเย็นสบายตลอดทั้งปี ไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศ มีเพียงแอร์ธรรมชาติก็สดชื่นที่สุดแล้ว โดยเฉพาะเมื่อขึ้นมาที่ดอยกิ่วฝิ่น จะยิ่งได้ความบริสุทธิ์สดชื่นของอากาศมากขึ้น และหากว่าท้องฟ้าสดใส จะมองเห็นทิวทัศน์ได้ถึง 4 จังหวัด ก็คือ ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ และเชียงราย นอกจากจะชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ยามพระอาทิตย์ตกดินก็สวยงามไม่แพ้กัน

มาพักผ่อนครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยการมาชิมไข่แช่น้ำร้อน ต่อด้วยการนอนแช่น้ำอุ่น ได้มาชมดอกเสี้ยว และยังได้มาเที่ยวที่บ้านป่าเหมี้ยง ทั้งสุขกาย สบายใจ ได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ แบบนี้ต้องหาโอกาสกลับมาเยือนอีกครั้งอย่างแน่นอน
จุดชมวิวดอยกิ่วฝิ่น
 * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ตั้งอยู่ที่ ต.แจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง อยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางประมาณ 75 กิโลเมตร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0-5438-0000, 08-9851-3355

บ้านป่าเหมี้ยง เป็นชุมชนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน สามารถเดินทางโดยรถยนต์ได้ 2 เส้นทาง คือ เดินทางจากตัวเมืองลำปางมุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน และจากอุทยานฯ ไปอีก 16 กิโลเมตร สภาพเส้นทางเป็นถนนลาดยางลัดเลาะภูเขา และสามารถเดินทางจาก จ.เชียงใหม่ ผ่านบ้านแม่กำปอง อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ไปยังบ้านป่าเหมี้ยง แต่สภาพเส้นทางค่อนข้างชัน บ้านป่าเหมี้ยงมีที่พักแบบโฮมสเตย์บริการ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 30 คน ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ อบต.แจ้ซ้อน โทร. 0-5426-3235

การเดินทางสู่ จ.ลำปาง สามารถเดินทางได้ทั้งทางรถยนต์ รถโดยสารประจำทาง รถไฟ และเครื่องบิน (โดยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส) สำหรับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ใน จ.ลำปาง อาทิ วัดพระธาตุลำปางหลวง, วัดพระแก้วดอนเต้า, กาดกองต้า, ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย, เหมืองแม่เมาะ เป็นต้น

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมด้านการท่องเที่ยวและที่พักได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงใหม่ (ดูแลพื้นที่ จ.เชียงใหม่, ลำพูน และลำปาง) โทร. 0-5324-8604, 0-5324-8607, 0-5330-2500
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของผู้จัดการท่องเที่ยว Travel @ Manager on Facebook รับข่าวสารทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยวแบบรวดเร็วทันใจ และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!!

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com


กำลังโหลดความคิดเห็น