โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
เป็นประจำของทุกปีหลังจากผ่านวันขึ้นปีใหม่ไป สิ่งที่เด็กๆรอคอยก็คือ “วันเด็กแห่งชาติ” ที่ตรงกับวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปีมาตั้งแต่ พ.ศ.2508 จนปัจจุบัน และมีการให้คำขวัญวันเด็กทุกปีโดยนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น
สำหรับปีนี้คำขวัญวันเด็ก คือ “สามัคคี มีความรู้คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี” และเพื่อเป็นการสนองคำขวัญของปีนี้ ฉันขอแนะนำสถานที่เที่ยวในวันเด็กนี้ ให้น้องๆหนูๆได้เพลิดเพลินพร้อมได้ความรู้ติดตัวกันไปด้วย
สำหรับที่แรกก็คือ “เขาดิน” หรือ "สวนสัตว์ดุสิต" สถานที่เที่ยวยอดฮิตของเด็กๆมาทุกยุคทุกสมัย ที่เขาดินแห่งนี้ มีไฮไลท์ 7 มหัศจรรย์สวนสัตว์ดุสิต มาเป็นตัวชูโรง ได้แก่ แพนด้าแดง เจ้าสัตว์ขนฟูน่ารักน่าเอ็นดูนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเนปาล จีน แถบเทือกเขาหิมาลัย เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลกซึ่งได้รับการคุ้มครอง สำหรับในเมืองไทยหาชมได้ที่สวนสัตว์ดุสิตที่เดียวเท่านั้น
สัตว์ใกล้สูญพันธุ์อีกชนิดก็คือ ค่างห้าสี ค่างที่มีสีสันสวยงามที่สุดในโลก ตามตัวจะมีสีตัดกันถึง 5 สี ตัวและหัวมีสีเทา หน้าผากมีสีเทาดำออกแดง หนวดเคราสีขาว หางและก้นสีขาว ใบหน้าสีเหลือง และส่วนขามีสีน้ำตาลแดง ต่อไปเป็น เก้งเผือก ที่มีรายงานการพบที่เดียวในโลกคือที่ประเทศไทย เป็นเก้งที่มีขนสีขาวสะอาดทั่วทั้งตัว
และข้างกรงเก้งเผือกนั้นก็เป็นมหัศจรรย์ต่อมา คือ ละมั่งพันธุ์ไทย สัตว์ป่าสงวนที่สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติเรียบร้อยแล้ว หากจะชมละมั่งพันธุ์ไทยตัวเป็นๆ ต้องมาที่สวนสัตว์ดุสิตแห่งเดียวเท่านั้น มหัศจรรย์ต่อมาคือ หลุมหลบภัย ใกล้ๆ กับบ่อน้ำของแม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส ซึ่งหลุมหลบภัยนี้สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อให้นักท่องเที่ยวรวมถึงประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามาหลบลูกระเบิดที่เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรจะเข้ามาโจมตี
มหัศจรรย์ถัดไป คือ จุดชมวิวพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยมองจากริมสระน้ำภายในเขาดินไปแล้วจะสามารถมองเห็นยอดโดมของพระที่นั่งอนันต์ฯ อยู่ท่ามกลางแมกไม้ดูสวยงาม และสิ่งชูโรงสุดท้าย คือ ต้นสัก ซึ่งปลูกในสมัย ร.5 ซึ่งนอกจากจะเป็นต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาแล้ว ก็ยังถือเป็นอนุสรณ์สถานที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรเดนมาร์กอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสัตว์อีกนานาชนิดรอพบน้องๆที่เขาดิน
สถานที่ท่องเที่ยวในวันเด็กต่อไปก็ฮอตไม่แพ้เขาดิน นั้นคือ “ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพฯ” หรือ "ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาแห่งชาติ" โดยท้องฟ้าจำลองแห่งนี้ เป็นสถาบันที่ให้บริการด้านดาราศาสตร์ อวกาศ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เรื่องราวของความสัมพันธ์และความมหัศจรรย์ของชีวิตสัตว์และพืชที่น่าพิศวงของโลกใต้น้ำ ซึ่งจะจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการที่ทันสมัยตามอาคารต่างๆและพื้นที่รอบอาคารโดม
ส่วนอาคารที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ อาคารโดม นั้น ภายในเป็นที่ตั้งของห้องฉายดาว ห้องที่ฮิตของท้องฟ้าจำลองแห่งนี้ ภายในเป็นห้องวงกลมขนาดใหญ่ หลังคาเป็นรูปโดม เพื่อที่จะฉายดวงดาวในท้องฟ้าที่จำลองขึ้นคล้ายกับดวงดาวในท้องฟ้าจริงให้เราได้เรียนรู้กันอย่างสนุกสนาน ซึ่งนอกจากท้องฟ้าจำลองที่กรุงเทพฯแล้ว ยังมีท้องฟ้าจำลองแห่งใหม่ ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษารังสิต ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ด้วย
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็คือ “องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ” หรือ “อพวช.” ที่ตั้งอยู่ที่ต.คลองหก จ.ปทุมธานี เช่นกัน ใครมาถึงที่แห่งนี้แล้วก็ต้องสะดุดตากับอาคารรูปทรงลูกบาศก์จำนวน 3 รูปยึดติดกัน สะท้อนถึงความทันสมัยความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง
ภายในแบ่งเป็น 6 ชั้น ชั้นแรกได้แก่ ส่วนของการต้อนรับและแนะนำการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ชั้นที่ 2 เป็นประวัติการค้นพบและการประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นที่ 3 คือวิทยาศาสตร์พื้นฐาน อุโมงค์พลังงาน และโรงภาพยนตร์ ชั้นที่ 4 ได้แก่ วิทยาสาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับประเทศไทย ชั้นที่ 5 เป็นวิทยาสาสตร์และเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน และชั้นสุดท้ายคือชั้นที่ 6 ได้แก่เทคโนโลยีภูมิปัญญาไทย
สถานที่ต่อไปเป็นแนวอนุรักษ์ความเป็นไทย ได้แก่ “มิวเซียมสยาม” หรือ “พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้” ตั้งอยู่ที่ถนนสนามไชย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นแหล่งการเรียนรู้หนึ่งที่เน้นจุดมุ่งหมายในการแสดงตัวตนของชนในชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เข้าชมที่อยู่ในวัยเด็กและเยาวชน จะได้เรียนรู้รากเหง้าของชาวไทย ซึ่งการนำเสนอแบ่งเป็น 3 ช่วงใหญ่
ช่วงที่ 1 “สุวรรณภูมิ” นำเสนอเรื่องราวของดินแดนสุวรรณภูมิและประเทศไทยในปัจจุบัน ย้อนกลับไปราว 3,000 ปีก่อนการรับพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูเข้ามา จนกระทั่งกลายเป็นศาสนาประจำชาติจนถึงปัจจุบัน ส่วนช่วงที่ 2 “สยามประเทศไทย” นำเสนอเรื่องราวการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ซึ่งถือเป็นอาณาจักรใหญ่ที่ครอบคลุมดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันเกือบทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญในการกำเนิดขึ้นของ สยามประเทศไทย
และช่วงที่ 3 “ประเทศไทย” นำเสนอพัฒนาการของดินแดน ผู้คน และสังคมจากแบบจารีตมาสู่สังคมสมัยใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งทั้ง 3 ช่วงนี้ จะนำเสนอโดยอธิบายลึกลงไปถึงรายละเอียด ผ่านห้องนิทรรศการจำนวน 16 ห้อง และอีก 1 ห้องพิเศษ ที่จะเล่าถึงที่มาของมิวเซียมสยาม ให้เด็กๆได้รับประสบการณ์สดใหม่จับต้องได้อย่างเพลิดเพลิน
สถานที่อีกหนึ่งแห่งที่น่าสนใจก็คือ “นิทรรศน์รัตนโกสินทร์” ถนนราชดำเนินกลาง สถานที่รวบรวมความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม และวิถีความเป็นอยู่ ตั้งแต่เริ่มกรุงรัตนโกสินทร์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ผ่านห้องจัดแสดงมากมายได้แก่ “ดื่มด่ำย่านชุมชน” เพื่อชมวิถีทำกินและความเป็นอยู่ที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นอยู่แบบไทย
“ห้องรัตนโกสินทร์เรืองโรจน์” กับการวางผังเมืองในรัชกาลที่1 ต่อไปเป็นห้อง “เกียรติยศแผ่นดินสยาม” ที่จำลองพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้วที่สมบูรณ์ที่สุด ส่วน“ห้องเรืองนามมหรสพศิลป์” ภายในห้องจัดฉายภาพมหรสพรอบผนังห้องทั้ง 360 องศา น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
ต่อกันที่ “ห้องเยี่ยมยลถิ่นกรุง” โดยที่ห้องนี้แล้วเราจะได้ถ่ายรูปแบบโบราณ แล้วนำไปเป็นตัวละครในแอนิเมชั่นท่องเที่ยวทั่วกรุง ถัดไปเป็น “ห้องรัตนโกสินทร์สกายวิว” ที่เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของโลหะปราสาท วัดราชนัดดาราม และภูเขาทองที่สวยงามอีกมุมหนึ่ง จากนั้นไปยัง “ห้องลือระบิลพระราชพิธี” ที่จัดแสดงพระราชพิธีที่ยิ่งใหญ่ของชาติ
ถัดไปที่ "ห้องสง่าศรีสถาปัตยกรรม” ที่เราจะได้เห็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมต่างๆ “ห้องเรืองรุ่งวิถีไทย” จำลองการนั่งเรือ รถราง พร้อมย้อนรำลึกความหลังวังบูรพา ที่จะให้เราได้ร่วมสนุกถ่ายรูปขึ้นปกนิตยสาร ลองชุดที่ห้องเสื้อ หรือทำผมทรงต่างๆที่ร้านทำผม และมาจบที่ “ห้องดวงใจปวงประชา” ภายในห้องนี้เราจะได้ซาบซึ้งไปกับพระราชกรณียกิจต่างๆของพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 9 รัชกาลของไทย
สถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 5 แห่งที่ฉันยกตัวอย่างมานี้ เป็นสถานที่ที่ฉันรับรองว่าถ้าน้องๆหนูๆมาแล้ว นอกจากจะได้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ยังได้รับความรู้ติดตัวกลับไปด้วยอย่างแน่นอน.....สุขสันต์วันเด็ก
เป็นประจำของทุกปีหลังจากผ่านวันขึ้นปีใหม่ไป สิ่งที่เด็กๆรอคอยก็คือ “วันเด็กแห่งชาติ” ที่ตรงกับวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปีมาตั้งแต่ พ.ศ.2508 จนปัจจุบัน และมีการให้คำขวัญวันเด็กทุกปีโดยนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น
สำหรับปีนี้คำขวัญวันเด็ก คือ “สามัคคี มีความรู้คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี” และเพื่อเป็นการสนองคำขวัญของปีนี้ ฉันขอแนะนำสถานที่เที่ยวในวันเด็กนี้ ให้น้องๆหนูๆได้เพลิดเพลินพร้อมได้ความรู้ติดตัวกันไปด้วย
สำหรับที่แรกก็คือ “เขาดิน” หรือ "สวนสัตว์ดุสิต" สถานที่เที่ยวยอดฮิตของเด็กๆมาทุกยุคทุกสมัย ที่เขาดินแห่งนี้ มีไฮไลท์ 7 มหัศจรรย์สวนสัตว์ดุสิต มาเป็นตัวชูโรง ได้แก่ แพนด้าแดง เจ้าสัตว์ขนฟูน่ารักน่าเอ็นดูนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเนปาล จีน แถบเทือกเขาหิมาลัย เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลกซึ่งได้รับการคุ้มครอง สำหรับในเมืองไทยหาชมได้ที่สวนสัตว์ดุสิตที่เดียวเท่านั้น
สัตว์ใกล้สูญพันธุ์อีกชนิดก็คือ ค่างห้าสี ค่างที่มีสีสันสวยงามที่สุดในโลก ตามตัวจะมีสีตัดกันถึง 5 สี ตัวและหัวมีสีเทา หน้าผากมีสีเทาดำออกแดง หนวดเคราสีขาว หางและก้นสีขาว ใบหน้าสีเหลือง และส่วนขามีสีน้ำตาลแดง ต่อไปเป็น เก้งเผือก ที่มีรายงานการพบที่เดียวในโลกคือที่ประเทศไทย เป็นเก้งที่มีขนสีขาวสะอาดทั่วทั้งตัว
และข้างกรงเก้งเผือกนั้นก็เป็นมหัศจรรย์ต่อมา คือ ละมั่งพันธุ์ไทย สัตว์ป่าสงวนที่สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติเรียบร้อยแล้ว หากจะชมละมั่งพันธุ์ไทยตัวเป็นๆ ต้องมาที่สวนสัตว์ดุสิตแห่งเดียวเท่านั้น มหัศจรรย์ต่อมาคือ หลุมหลบภัย ใกล้ๆ กับบ่อน้ำของแม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัส ซึ่งหลุมหลบภัยนี้สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อให้นักท่องเที่ยวรวมถึงประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามาหลบลูกระเบิดที่เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรจะเข้ามาโจมตี
มหัศจรรย์ถัดไป คือ จุดชมวิวพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยมองจากริมสระน้ำภายในเขาดินไปแล้วจะสามารถมองเห็นยอดโดมของพระที่นั่งอนันต์ฯ อยู่ท่ามกลางแมกไม้ดูสวยงาม และสิ่งชูโรงสุดท้าย คือ ต้นสัก ซึ่งปลูกในสมัย ร.5 ซึ่งนอกจากจะเป็นต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาแล้ว ก็ยังถือเป็นอนุสรณ์สถานที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรเดนมาร์กอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสัตว์อีกนานาชนิดรอพบน้องๆที่เขาดิน
สถานที่ท่องเที่ยวในวันเด็กต่อไปก็ฮอตไม่แพ้เขาดิน นั้นคือ “ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพฯ” หรือ "ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาแห่งชาติ" โดยท้องฟ้าจำลองแห่งนี้ เป็นสถาบันที่ให้บริการด้านดาราศาสตร์ อวกาศ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เรื่องราวของความสัมพันธ์และความมหัศจรรย์ของชีวิตสัตว์และพืชที่น่าพิศวงของโลกใต้น้ำ ซึ่งจะจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการที่ทันสมัยตามอาคารต่างๆและพื้นที่รอบอาคารโดม
ส่วนอาคารที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ อาคารโดม นั้น ภายในเป็นที่ตั้งของห้องฉายดาว ห้องที่ฮิตของท้องฟ้าจำลองแห่งนี้ ภายในเป็นห้องวงกลมขนาดใหญ่ หลังคาเป็นรูปโดม เพื่อที่จะฉายดวงดาวในท้องฟ้าที่จำลองขึ้นคล้ายกับดวงดาวในท้องฟ้าจริงให้เราได้เรียนรู้กันอย่างสนุกสนาน ซึ่งนอกจากท้องฟ้าจำลองที่กรุงเทพฯแล้ว ยังมีท้องฟ้าจำลองแห่งใหม่ ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษารังสิต ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ด้วย
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็คือ “องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ” หรือ “อพวช.” ที่ตั้งอยู่ที่ต.คลองหก จ.ปทุมธานี เช่นกัน ใครมาถึงที่แห่งนี้แล้วก็ต้องสะดุดตากับอาคารรูปทรงลูกบาศก์จำนวน 3 รูปยึดติดกัน สะท้อนถึงความทันสมัยความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง
ภายในแบ่งเป็น 6 ชั้น ชั้นแรกได้แก่ ส่วนของการต้อนรับและแนะนำการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ชั้นที่ 2 เป็นประวัติการค้นพบและการประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นที่ 3 คือวิทยาศาสตร์พื้นฐาน อุโมงค์พลังงาน และโรงภาพยนตร์ ชั้นที่ 4 ได้แก่ วิทยาสาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับประเทศไทย ชั้นที่ 5 เป็นวิทยาสาสตร์และเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน และชั้นสุดท้ายคือชั้นที่ 6 ได้แก่เทคโนโลยีภูมิปัญญาไทย
สถานที่ต่อไปเป็นแนวอนุรักษ์ความเป็นไทย ได้แก่ “มิวเซียมสยาม” หรือ “พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้” ตั้งอยู่ที่ถนนสนามไชย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นแหล่งการเรียนรู้หนึ่งที่เน้นจุดมุ่งหมายในการแสดงตัวตนของชนในชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เข้าชมที่อยู่ในวัยเด็กและเยาวชน จะได้เรียนรู้รากเหง้าของชาวไทย ซึ่งการนำเสนอแบ่งเป็น 3 ช่วงใหญ่
ช่วงที่ 1 “สุวรรณภูมิ” นำเสนอเรื่องราวของดินแดนสุวรรณภูมิและประเทศไทยในปัจจุบัน ย้อนกลับไปราว 3,000 ปีก่อนการรับพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูเข้ามา จนกระทั่งกลายเป็นศาสนาประจำชาติจนถึงปัจจุบัน ส่วนช่วงที่ 2 “สยามประเทศไทย” นำเสนอเรื่องราวการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ซึ่งถือเป็นอาณาจักรใหญ่ที่ครอบคลุมดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันเกือบทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญในการกำเนิดขึ้นของ สยามประเทศไทย
และช่วงที่ 3 “ประเทศไทย” นำเสนอพัฒนาการของดินแดน ผู้คน และสังคมจากแบบจารีตมาสู่สังคมสมัยใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งทั้ง 3 ช่วงนี้ จะนำเสนอโดยอธิบายลึกลงไปถึงรายละเอียด ผ่านห้องนิทรรศการจำนวน 16 ห้อง และอีก 1 ห้องพิเศษ ที่จะเล่าถึงที่มาของมิวเซียมสยาม ให้เด็กๆได้รับประสบการณ์สดใหม่จับต้องได้อย่างเพลิดเพลิน
สถานที่อีกหนึ่งแห่งที่น่าสนใจก็คือ “นิทรรศน์รัตนโกสินทร์” ถนนราชดำเนินกลาง สถานที่รวบรวมความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม และวิถีความเป็นอยู่ ตั้งแต่เริ่มกรุงรัตนโกสินทร์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ผ่านห้องจัดแสดงมากมายได้แก่ “ดื่มด่ำย่านชุมชน” เพื่อชมวิถีทำกินและความเป็นอยู่ที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นอยู่แบบไทย
“ห้องรัตนโกสินทร์เรืองโรจน์” กับการวางผังเมืองในรัชกาลที่1 ต่อไปเป็นห้อง “เกียรติยศแผ่นดินสยาม” ที่จำลองพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้วที่สมบูรณ์ที่สุด ส่วน“ห้องเรืองนามมหรสพศิลป์” ภายในห้องจัดฉายภาพมหรสพรอบผนังห้องทั้ง 360 องศา น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
ต่อกันที่ “ห้องเยี่ยมยลถิ่นกรุง” โดยที่ห้องนี้แล้วเราจะได้ถ่ายรูปแบบโบราณ แล้วนำไปเป็นตัวละครในแอนิเมชั่นท่องเที่ยวทั่วกรุง ถัดไปเป็น “ห้องรัตนโกสินทร์สกายวิว” ที่เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของโลหะปราสาท วัดราชนัดดาราม และภูเขาทองที่สวยงามอีกมุมหนึ่ง จากนั้นไปยัง “ห้องลือระบิลพระราชพิธี” ที่จัดแสดงพระราชพิธีที่ยิ่งใหญ่ของชาติ
ถัดไปที่ "ห้องสง่าศรีสถาปัตยกรรม” ที่เราจะได้เห็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมต่างๆ “ห้องเรืองรุ่งวิถีไทย” จำลองการนั่งเรือ รถราง พร้อมย้อนรำลึกความหลังวังบูรพา ที่จะให้เราได้ร่วมสนุกถ่ายรูปขึ้นปกนิตยสาร ลองชุดที่ห้องเสื้อ หรือทำผมทรงต่างๆที่ร้านทำผม และมาจบที่ “ห้องดวงใจปวงประชา” ภายในห้องนี้เราจะได้ซาบซึ้งไปกับพระราชกรณียกิจต่างๆของพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 9 รัชกาลของไทย
สถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 5 แห่งที่ฉันยกตัวอย่างมานี้ เป็นสถานที่ที่ฉันรับรองว่าถ้าน้องๆหนูๆมาแล้ว นอกจากจะได้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ยังได้รับความรู้ติดตัวกลับไปด้วยอย่างแน่นอน.....สุขสันต์วันเด็ก