ผลจากการจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าทำให้ได้ตั๋วราคาสบายกระเป๋า การไปเวียดนามครั้งนี้ “ตะลอนเที่ยว” ที่มีจุดหมายไปยังเมืองทางตอนเหนือที่ชื่อ ซาปา (Sapa) เมืองแห่งนาขั้นบันได ซึ่งยังไม่ทราบว่าช่วงเวลาที่เราไปนั้นยังจะมีความเขียวขจีของรวงข้าวให้เราเห็นอยู่หรือไม่ ก่อนจะไปต่อยังเมืองลาวไก (Lao Cai) จากนั้นก็กลับมายังเมืองฮานอย (Hanoi) เดินชมเมืองท่ามกลางแหล่งช็อปปิ้ง ตึกเก่า และวิถีชีวิตที่สวยงาม
เริ่มต้นการเดินทาง
การวางแผนสำหรับการเดินทางนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็น โดยเฉพาะต่างประเทศ แม้จะเป็นการแบคแพ็คไปก็ตาม เรื่องพื้นฐานที่ต้องควรเตรียมให้พร้อมคงหนีไม่พ้น การจองที่พัก สำหรับเรื่องอาหารการกินนั้นคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับนักเดินทางส่วนใหญ่อยู่แล้ว เราลงเครื่องที่สนามบินนอยใบ (Noi Bai) เมืองฮานอย ในรุ่งเช้า ซึ่งแม้จะเตรียมตัวขนเสื้อกันหนาวมาพร้อม แต่อากาศที่นี่ก็เย็นกว่าที่คาดการไว้ จุดหมายแรกของเราคือการนุ่งรถจากสนามบินเข้าไปยังเยตเมืองเก่า (Old quarter)
เพิ่งจะเข้าใจอารมณ์ของฝรั่งที่เดินออกจากสนามบินบ้านเราโดยไร้จุดหมายก็วันนี้ เหตุเพราะมียานพาหนะให้เลือกใช้สอยมากจนเลือกไม่ถูก แต่รู้สึกประทับใจกับศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยวที่สนามบินเพราะให้ข้อมูลได้ละเอียดมาก เสียอย่างเดียวที่ชอบแนะนำให้ขึ้นรถแท็กซี่ หรือรถโดยสารส่วนตัวแบบเหมาเข้าสู่ตัวเมืองซึ่งจะมีราคาแพงอยู่พอสมควร เราตัดสินใจเลือกรถบัสโดยสาร ซึ่งเสียเงินไปในราคาคนละ 2 ดอลล่า (ประมาณ 60 บาท) เป็นระยะทางประมาณ 45 กม. ทำให้เรามีเวลาชื่นชมกับทิวทัศน์สองข้างทางได้พอสมควร
นั่งรถมาได้ไม่เท่าไหร่ก็เริ่มได้ยินเสียงแตรรถ ที่คนเวียนนามใช้ประกอบการขับขี่ยวดยานของเขา เราคนไทยอาจเคยได้ยินเสียงแบบนี้บ้างแต่ไม่มากเท่า เชื่อได้เลยว่าครั้งแรกๆ อาจดูรำคาญเล็กน้อย แต่อยู่ไปเรื่อยๆ แทบจะชินจนลืมมันไปเลย หลังจากที่เดินสำรวจโซนเมืองเก่าอย่างคร่าวๆ ก็ได้เวลาขนสัมพาระขึ้นรถไฟเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองซาปา สำหรับการซื้อตั๋วรถไฟของที่นี่อาจต้องใช้ราคาเป็นตัวตัดสินใจสักเล็กน้อย เพราะการที่รัฐบาลเปิดให้บริษัทเอกชนเข้ามาลงขันดำเนินการธุรกิจรถไฟทำให้มีการแข่งขันสูงตามมาเช่นกัน ตู้นอนที่มีความสะดวกสบายย่อมมีราคาสูงตามไปด้วยเช่นกัน โดยครั้งนี้เราจองตั๋วนอนแบบ Soft Sleep (ราคาปานกลางคุณภาพปานกลาง) ใช้เวลาหนึ่งคืน แต่รถไฟของเวียดนามนี้ต้องชื่นชมกับความตรงต่อเวลาของเขา
รถไฟจอดที่สถานีรถไฟลาวไก (Lao Cai)
สถานีรถไฟลาวไกในช่วงเช้ามืด มีบรรยากาศคึกคักจนออกจะวุ่นวาย มีบรรยากาศคึกคักจนออกจะวุ่นวาย ซึ่งเราต้องต่อรถโดยสารไปสู่เมืองซาปาแต่เราเลือกรถตู้ขนาดไม่ใหญ่มาก เพราะทางสู่ซาปานั้นเป็นทางขึ้นเขาและคดเคี้ยว การโดยสารรถบัสขนาดใหญ่อาจเสี่ยงอันตรายได้มากกว่า ยิ่งใกล้ถึงซาปา เริ่มมีหมอกหนา อากาศเย็นลงเรื่อยๆ เมื่อมาถึงก็ได้เจอการต้อนรับจากชาวเขาเผ่าต่างๆ ซึ่งออกมาขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว อาจเป็นภาพชินตาแต่จะดูขำยิ่งกว่าถ้าเห็นกลุ่มชาวเขาเจ็ดถึงแปดคนกำลังวิ่งตามรถโดยสารของนักท่องเที่ยวที่กำลังจะจอด ซาปาเป็นเมืองที่มีอากาศดี อุณหภูมิเฉลี่ยนประมาณ 15 องศาตลอดทั้งปี โรงแรมที่เราเลือกพักนั้นเป็นแแบกันเอง ราคาย่อมเยา (ประมาณ 150 บาท) อาจไม่ได้อยู่ในย่านกลางเมืองแต่เราสามารถเดินเที่ยวได้ทั่ว เพราะเป็นเมืองขนาดเล็กๆ
กั๊ตกั๊ต (Cat Cat) หมู่บ้านแห่งนาขั้นบันได
หมู่บ้านกั๊ตกั๊ต เป็นต้นแบบสำหรับการดำเนินธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนที่ดีเยี่ยม สามารถเดินไปหรือจะใช้บริการรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างก็ได้ไม่มีปัญหา อากาศวันนี้ทั้งหนาว และมีไอน้ำกลั่นตัวจนกลายเป็นละอองฝนบางๆ แต่ที่สุดกว่านั้นคือหมอกที่หนาตลอดทั้งวัน เราเลือกที่จะเดินฝ่าสายหมอก เก็บภาพวิถีชีวิตสองข้างทางไปเรื่อยๆ จนถึงหมู่บ้าน ที่นี่อยู่กันอย่างเรียบง่าย คน รถ ควาย ใช้ถนนเส้นเดียวกัน เดินไปสักพักก็เริ่มเห็นความเขียวของนาขั้นบันได แม้จะสวยไม่เท่าช่วงเดือนพฤษภาคมก็ตาม การขายตั๋วเข้าหมู่บ้านในราคารไม่แพง และส่งเสริมให้ลูกหลานในหมู่บ้านมาเป็นไกด์นำเที่ยว (ที่มีคุณภาพ) สร้างรายได้ที่ดีแทบไม่น่าเชื่อ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่จ้างไกด์ก็คงต้องพึ่งแผนที่ที่แจกมาให้ โดยในหมู่บ้านนั้นนอกจากนาขั้นบันไดแล้วก็จะมีในส่วนที่เป็นบ้านของชาวบ้านที่มีทักษะสร้างสรรค์งานฝีมือต่างๆ ออกมาขาย และด้านล่างสุดของหมู่บ้านจะเป็นน้ำตกขนาดกลาง พร้อมกับร้านกาแฟ และร้านขายมันเผาต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งดื่มด่ำกับรรยากาศ ก่อนที่จะเดินกลับออกจากหมู่บ้าน จริงๆ แล้วเวลาปกติในการเดินรอบหมู่บ้านจะตกอยู่ราวๆ 1 ชม. แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบถ่ายภาพแล้วอาจใช้เวลากว่า 3 ชม. ยิ่งตกเย็นอากาศยิ่งหนาวมากขึ้น และที่ไม่น่าเชื่อคือหมอกที่หนากว่าในช่วงเช้ามาก จนทัศนวิสัยในการมองเห็นนั้นไม่เกิน5 เมตร สิ่งที่ช่วยบรรเทาความหนาวได้เห็นทีจะมีแต่เครื่องดื่มอุ่นๆ และหม้อไฟชุดใหญ่ อาหารมื้อเย็นของเรา
รุ่งเช้าวันใหม่แล้วแต่หมอกหนายังคงไม่จางหายไป ตลาดเช้าที่ซาปานั้นครึกครื้นไปด้วยชาวบ้านและนักท่องเที่ยว สินค้าที่ขายดีอันดับหนึ่งเห็นทีจะเป็นต้นอ้อยสดๆ จากสวน ตัดแบ่งขายกันหน้าร้าน ที่สำคัญไม่มีการปลอกเปลือกให้ อยากลิ้มรสความหวานก็ต้องอาศัยแรงฟันกัดเอาเท่านั้น เราเก็บข้าวของและมุ่งหน้าต่อไปยัง ตลาดชาวเขา
ตลาดบัคฮา (Buc Ha) ตลาดเช้าวันอาทิตย์
ตลาดบัคฮา ขึ้นชื่อในเรื่องความเป็นท้องถิ่น ชาวเขาหลายเผ่า ชาวบ้านจากหลายหมู่บ้านเดินทางมายังตลาดแห่งนี้เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ไก่ หมา ควาย ม้า สินค้าจำพวกผัก และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่นี่ดูคล้ายกับตลาดนัดจตุจักรบ้านเรา มีวัยรุ่นหนุ่มสาวเดินเที่ยวเป็นคู่ๆ มีแม่ชาวเขากระเตงลูกไว้ด้านหลัง เดินถ่ายรูปเพลินๆ กับวิถีชีวิตแปลกใหม่แต่ก็ต้องมาสะดุดตากับภาพของชายหิ้วลูกสุนัขตัวเล็กเดินกลับบ้าน ดูจากรูปการแล้วเจ้าหมาน้อยนี้คงกลายเป็นอาหารมื้ออร่อยแน่ๆ
การมาเที่ยวตลาดบัคฮานี้ เราสามารถซื้อเป็นทัวร์จากบริษัทตลอดจนที่พักในซาปาได้เลย แต่จะไม่ได้เป็นกลุ่มแบบส่วนตัว เราต้องไปแชร์ประสบการณ์ร่วมกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นที่ซื้อทัวร์มาเช่นกัน ข้อดีของการจัดทัวร์แบบนี้คือรัฐเป็นคนกำหนดราคากลาง ซึ่งทุกที่ห้ามขายเกินราคาที่กำหนด แต่ละบริษัททัวร์จึงไม่แย่งลูกค้าด้วยการลดราคาแข่งกันเหมือนบ้านเรา ทุกอย่างเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด
หลังจากกดชัตเตอร์กันจนพอใจก็ได้เวลาข้าวเที่ยง ซึ่งช่วงเวลานี้เองเราจะสามารถนั่งโต๊ะร่วมกับนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคน การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องต่างๆ นั้นช่วยเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างขึ้นได้เป็นอย่างดี และก็มีนักท่องเที่ยวต่างชาติบางคนแอบกระซิบกับเรามาว่า ไปเที่ยวประเทศไทยนั้นสบายกว่านี้เยอะ จากนั้นได้เวลาที่เราต้องกลับมาสู่การจราจรที่คับคั่งในเมืองฮานอยอีกครั้ง
แท็กซี่จอมแสบที่ฮานอย (Hanoi)
เหมือนเป็นการต้อนรับที่ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่ เมื่อเจอกับแท็กซี่จอมแสบโกงราคาค่าโดยสาร มิเตอร์พุ่งปรี้ด ทั้งๆ ที่ระยะทางไม่ไกล จึงจบด้วยการต่อรองราคาแบบคนไทยซึ่งก็เอาตัวรอดมาได้อย่างทุลักทุเลพอสมควร สิ่งนี้เองสะท้อนให้เห็นปัญหาของเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ ซึ่งรวมทั้งเมืองไทยเองด้วย และปัญหาแท็กซี่เมืองไทยที่โกงนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นมีมานานและยังคงเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน
เมืองฮานอยนั้นเป็นเมืองเก่าที่ขึ้นชื่อเรื่องสภาพการจราจรที่คับคั่งไม่แพ้เมืองโฮจิมินห์ บ้าน ร้านค้าแต่ละหลังนั้นยังคงเป็นตึกเก่าที่อนุรักษ์ไว้ วิถีชีวิตที่เรียบง่ายของคนเวียดนามถูกประยุกต์ให้เข้ากับโลกสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว มีพื้นที่สำหรับชาวบ้าน วัยรุ่น ร้านค้าชาวบ้าน ร้านค้าวัยรุ่นอยู่รวมกัน และที่ถูกใจเราที่สุดคงหนีไม่พ้นร้านขายกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า และของฝากต่างๆ มากมาย เราใช้วิธีเดินชมบรรยากาศสลับกับการฝึกข้ามถนนตามแบบฉบับคนเวียดนาม ซึ่งสร้างความหวาดเสียวได้ไม่น้อย
กลางย่านเมืองเก่ามีทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem ) เป็นที่ตั้งของสะพานเทฮุก (The Huc) สะพานสีแดงตั้งตระหง่านเชื่อมไปยังวัดง็อกเซิน (Ngoc Son) ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูปกันบริเวณนั้น ซึ่งมีตำนานเล่าถึงเต่าศักดิ์สิทธิ์ที่มอบดาบวิเศษให้กับกษัตริย์ในสมัยนั้นสู้รบจนได้ชัยชนะจากข้าศึก และครั้งใดที่เต่าในทะเลสาบปรากฏตัวให้เห็นก็จะได้รับความสนใจจากชาวบ้านในระแวกมามุงดู เพราะเชื่อว่าจะพบกับโชคดี
ใกล้ๆ กับทะเลสาบเป็นที่ตั้งของโรงละครแสดงหุ่นกระบอกน้ำ (Water Puppet Theatre - Roi Nuoc Thang Long) การแสดงที่หาดูได้ยากและเหลือแสดงเพียงไม่กี่คณะเท่านั้น เป็นการเชิดหุ่นในน้ำ ที่ทำให้ตัวหุ่นเหมือนกับมีชีวิตและกำลังเต้นระบำอยู่ท่ามกลางสายน้ำ ถ้าเปรียบกับบ้านเราก็คงคล้ายกับหุ่นละครเล็ก ไม่น่าเชื่อว่าการแสดงนี้จะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวจองตั๋วมาชมกันอย่างหนาแน่น ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวังแม้จะไม่มีบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ แต่ด้วยถ้าทางและการแสดงของหุ่นก็ทำให้เข้าใจเนื้อหาได้พอสมควร เราส่งท้ายทริปนี้ด้วยการเลือกซื้อของฝากราคาไม่แพง หาอาหารอร่อยๆ กิน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
หลายคนคิดว่าความสุขของการเดินทางคือจุดหมาย แต่ระหว่างทางนั้นก็สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ได้อยู่บ่อยครั้ง การเดินทางหนึ่งครั้งเก็บเกี่ยวเรื่องราวร้อยแปด แต่มากกว่านั้นคือการได้เห็นการพัฒนาของประเทศของเวียดนามในรูปแบบต่างๆ สิ่งดีและไม่ดีต่างๆ ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์และปรับใช้เพื่อพัฒนาประเทศไทยเราได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะได้รับความสนใจจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาครัฐบ้านเราขนาดไหน