xs
xsm
sm
md
lg

ท่องเที่ยวสุขภาพ มิติใหม่ภูเก็ต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

การนวดผ่อนคลายที่สุโขสปา
"sea sun sand" ในอดีตคือจุดสิ่งสำคัญที่หนุนส่งให้"ภูเก็ต"โด่งดัง เป็น"ไข่มุกอันดามัน"แหล่งท่องเที่ยวชื่อก้องโลก

แต่วันนี้เมื่อสภาพการณ์ทางการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไป "sea sun sand" ดูจะไม่เพียงพอต่อภาคการท่องเที่ยวของภูเก็ตแล้ว นั่นจึงทำให้เมืองนี้พยายามหาสิ่งน่าสนใจอื่นๆมาเสริมทัพทางการท่องเที่ยว โดยหนึ่งในนั้นก็คือ"การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ"ที่เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวเมืองภูเก็ต

ซึ่งล่าสุดสำนักงานสาธารณสุขภูเก็ต กระทรวงสาธารณสุข ได้จับมือกับภูเก็ตและภาคเอกชนในจังหวัด ระดมสมองเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ให้ภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลกในภายภาคหน้า
การบำบัดร่างกายด้วยสายน้ำที่เฌอเอมสปา
ยกระดับมาตรฐานสปา

นายแพย์วิศิษฏ์ ตั้งนภากร รองอธิบดีกรมสนับสนุนสุขภาพ เปิดเผยว่า ในอดีต(ก่อนปี 47)ธุรกิจสปา ถูกผู้ไม่หวังดีดึงไปใช้ในธุรกิจขายบริการทางเพศ ทำให้ภาพลักษณ์ของสปาและนวดไทยเสื่อมเสีย กระทั่งในปี พ.ศ. 2547 กระทรวงสาธารณสุขได้เข้ามาจัดระเบียบธุรกิจสปา โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ สปาเพื่อสุขภาพ นวดเพื่อสุขภาพ และนวดเพื่อการเสริมสวย พร้อมให้ขึ้นทะเบียนเป็น"ธุรกิจบริการสุขภาพ"เพื่อแก้ปัญหาเรื่องธุรกิจขายบริการ

ทั้งนี้ในปัจจุบันผู้ประกอบการด้านสปาและนวดที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสุขภาพและเสริมสวย ต้องมีมาตรฐานของสถานบริการเพื่อสุขภาพอย่างถูกต้อง และต้องจดทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุขให้ถูกต้อง เพื่อแยกออกอย่างชัดเจนจากสถานบริการ
ชุดลูกประคบหินสมุนไพรของธาร ธารา สปา
"อย่างไรก็ตามทั้งนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขและยุทธศาสตร์ของจังหวัด(ภูเก็ต)ก็จะเดินทางไปในทางที่สอดคล้องกัน คือ ชูให้สถานประกอบการสปาของไทยเป็นสปาที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย และให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลก และกระทรวงจะเดินหน้าจัดระดับสปาเป็น ระดับเงิน ทอง และแพลทตินั่ม เพื่อยกระดับมาตรฐานของสปาให้มีคุณภาพมากขึ้น" นายแพย์วิศิษฏ์ กล่าว

สำรวจ 3 สปาดัง

ปัจจุบันจังหวัดภูเก็ตมีสถานบริการเพื่อสุขภาพ ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด แบ่งเป็น สปาเพื่อสุขภาพ 63 แห่ง นวดเพื่อสุขภาพ 98 แห่ง และสถานพยาลบาล(รวมทุกประเภท) 228 แห่ง และเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ทางสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ตได้หยิบยก 3 สปาชื่อดังของภูเก็ตมานำเสนอ ประกอบด้วย
นวดไทยที่โรงเรียนการนวดไทยภูเก็ต
"เฌอเอมสปา วิลเลจ" เป็นเดย์สปา ที่เน้นความเป็นธรรมชาติในบรรยากาศอาคารศิลปะไทยประยุกต์ มีการนวดที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งการนวดแผนไทย การนวดน้ำมัน การนวดกดจุดฝ่าเท้า การนวดบำบัดด้วยหิน การผ่อนคลายด้วยวารีบำบัด รวมถึงบริการด้านความงาม อาทิ การทรีทเม้นท์ต่างๆ การแต่งทรงผม แต่งเล็บมือ เล็บเท้า เป็นต้น

"สุโขสปา" (Sukko Cultural Spa & Wellness) เป็นสปาและรีสอร์ทที่นำเอาวัฒนธรรมไทยมาผสมกับศาสตร์ทางการแพทย์แผนไทย ในบรรยากาศที่พักสะดวกสบาย ท่ามกลางธรรมชาติแวดล้อม มีการนวดแบบสุโขที่เป็นการนวดไทยผสมการนวดน้ำมันเป็นจุดเด่น รวมถึงบริการสุขภาพด้านอื่นๆ อาทิ การทรีทเม้นต์ การฝึกโยคะ การออกกำลังกายในน้ำ การฝึกมวยไชยา ซึ่งส่งผลให้ในปี 2551 ที่ผ่านมาสุโขสปาได้รับรางวัลทั้งในระดับชาติและระดับสากลไปถึง 3 รางวัล

"ธาร ธารา สปา" เป็นเดย์สปาแห่งแรกในภูเก็ต มีแนวคิดในการทำสปาว่า "ไม่เน้นความหรูหรา 5 ดาว แต่เน้นความเป็นสปาอย่างแท้จริง" โดยการใช้ธรรมชาติบำบัด เน้นความความสงบ และการพักผ่อน มีจุดเด่นอยู่ที่การนวดประคบหินสมุนไพรซึ่งคิดค้นขึ้นเอง เป็นการนำหินสีดำใต้แม่น้ำมาทำเป็นลูกประคบร่วมกับสมุนไพรไทย อาทิ ขมิ้น ใบมะกรูด พิมเสน การบูร และการทำไวท์เทรนด์นิ่งโดยใช้ไข่มุก(ภูเก็ต)มาร่วมขัดผิวผสมการนวด รวมถึงมีการทำโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าคนไทยอย่างต่อเนื่อง

นอกเหนือจากการชูสปาชื่อดังทั้ง 3 แล้ว ทางสาธารณสุขภูเก็ต ยังจัดทำแผนที่สปาที่รวบรวมสถานบริการสปาและนวดซึ่งเข้าร่วมจดทะเบียนมาตรฐานกับกระทรวงสาธารณสุข มาเป็นคู่มือเพื่อสุขภาพพ่วงด้วยส่วนลดจากสปาหลายๆแห่งด้วย
สัญลักษณ์มาตรฐานสปาของ ก.สาธารณสุข
ตั้งเป้า 5 ปี โกย 4 แสนล้าน

สำหรับสถานการณ์สปาในภูเก็ตที่มีการแข่งขันกันสูง วิเชียร จูฑะมงคล นายกสมาคมสปาภูเก็ต กล่าวว่า 5 ปีที่ผ่านมาธุรกิจสปาในภูเก็ตเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี แต่ก็เป็นธุรกิจที่ยังผูกติดอยู่กับธุรกิจท่องเที่ยวโดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการในภูเก็ตไม่ถึง 5 %

"5 ปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงจัดระเบียบสปา ส่วน 5 ปี ข้างหน้าจะเป็นการยกระดับมาตรฐานสปาไทย รวมถึงการโปรโมทภูเก็ตเป็นเมืองสปาแห่งเอเชีย ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ที่ 4แสนล้านบาท"

นายกฯสปาภูเก็ต กล่าวเพิ่มเติมว่า ในอนาคตจะพยายามผลักดันสปาออกจากธุรกิจท่องเที่ยวให้เป็นธุรกิจสปาโดยตรง และจะมุ่งเน้นให้คนไทยหันมาใช้บริการสปาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาสุขภาพของคนไทย

ทำฟัน-แปลงเพศฮิต

ด้วยความที่ภูเก็ตเป็นเมืองที่มีศักยภาพทางด้านทันตกรรมและศัลยกรรมตกแต่ง(ผ่าตัดเสริมความงาม-แปลงเพศ)ในระดับแถวหน้า มีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลถึงต่างชาติ ที่สำคัญคือมีราคาถูกถ้าเทียบกับบริการประเภทนี้ในต่างประเทศ ทำให้บริการทั้งสองถูกชูขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

พท.สิทธิธานนท์ วังซ้าย ทันตแพทย์ศาสตร์บัณฑิต แห่งพร้อมใจทันตแพทย์(สาขาป่าตอง) หนึ่งในสถานทำฟันขึ้นชื่อของภูเก็ตเล่าว่า 4 ปีก่อนมีทันตแพทย์ในภูเก็ตประมาณ 50 คน แต่ปัจจุบันมีประมาณ 150 คน เนื่องจากธุรกิจด้านนี้เติบโตรวดเร็วมาก เพราะอัตราค่าบริการทำฟันในบ้านเรามีราคาถูกกว่าต่างชาติมาก การทำฟันในยุโรปราคาแพงกว่าบ้านเรา 3-4 เท่า ส่วนที่ออสเตรเลียแพงกว่าประมาณ 2-3 เท่า

ด้านโรงพยาบาลสิริโรจน์ โรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในภูเก็ตที่มีบริการทางการแพทย์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งมีความโดดเด่นมากในด้านการผ่าตัดแปลงเพศ ได้ส่งนายแพทย์สงวน คุณาพร ศัลยแพทย์ตกแต่งของโรงพยาบาล ผู้มีชื่อเสียงอันดับต้นๆในวงการผ่าตัดแปลงเพศของเมืองไทยมาให้ข้อมูลว่า

ชื่อเสียงด้านการผ่าตัดแปลงเพศของไทยถือว่าโด่งดังเป็นอันดับต้นๆของโลก เนื่องจากหมอไทยมีความสามารถสูง มีมาตรฐานสูงในระดับสากล มีฝีมือปราณีตเป็นที่ยอมรับ ที่สำคัญคือมีราคาถูกกว่าหลายๆประเทศ

"บริการการแปลงเพศสร้างรายดีมากในภูเก็ต การผ่าตัดแต่ละครั้งใช้เงินประมาณ 3- 4 แสนบาท ผู้มาผ่าตัดแปลงเพศของโรงพยาบาล(สิริโรจน์)ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติมีอายุเลยวัยกลางคนขึ้นไป จากสถิติที่บันทึกไว้ผู้มีอายุสูงสุดที่มาแปลงเพศในโรงพยาบาลมีอายุถึง 78 ปี ในปี 51 ที่ผ่านมามีผู้มาผ่าตัดแปลงเพศประมาณ 60 คน"
แผนที่สปาที่จัดทำโดยสาธารณสุขภูเก็ต
สำหรับชาวต่างชาติที่มาผ่าตัดแปลงเพศในภูเก็ตจะมาอยู่ในภูเก็ตเฉลี่ย 15 วัน โดยอยู่ที่โรงพยาบาลส่วนหนึ่งและที่เหลือพักผ่อนข้างนอก นั่นจึงทำให้ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้รับอานิสงส์ไปด้วย

เปลี่ยนภาพลักษณ์หมอนวดไทย

การนวดไทยถือเป็นหนึ่งในตัวจักรสำคัญของธุรกิจการท่องเที่ยวสุขภาพของภูเก็ต ซึ่งปัจจุบันผู้ให้บริการนวดและสปาในภูเก็ตกว่าครึ่งล้วนจบจาก โรงเรียนการนวดไทยภูเก็ต โดย พินิจ สร้อยสุวรรณ อาจารย์แพทย์แผนไทย ผู้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้เล่าว่า

สมัยก่อนภูเก็ตนิยมนวดกันตามชายหาด มีทั้งหมอนวดจริงและหมอนวดเถื่อน อ.พินิจ เมื่อเดินทางมาอยู่ภูเก็ตในปี 36 จึงคิดเปิดโรงเรียนการนวดไทยขึ้น เพื่อให้ผู้นวดเข้าใจหลักการนวดและวิธีการนวด โดยมุ่งเน้นไปเรื่องเส้นสำคัญของร่างกายที่ช่วยบำบัดรักษาโรค

แต่ท่ามกลางการแข่งขันอย่างสูงของธุรกิจสปาและการนวดในปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดปัญหาบางประการตามมา ซึ่ง อ.พินิจ ได้พูดถึงปัญหาหลักๆของการนวดในภูเก็ตว่า ช่วงฤดูการท่องเที่ยวผู้ประกอบการจะไปเกณฑ์คนต่างถิ่นมาฝึกเป็นหมอนวดแบบเร่งด่วน โดยไม่ผ่านการเรียนทำให้ผู้นวดได้ทักษะผิดๆไป และอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ถูกนวดได้

นอกจากนี้ผู้นวดบางคนยังนำวิชาการนวดไทยไปใช้ในทางที่ผิดคือ นำไปใช้เพื่อเป็นสะพานสู่การมีสามีฝรั่งทำให้คนเข้าใจวงการนี้ผิด ไม่เพียงเท่านั้นการที่มีผู้นำเรื่องการนวดไทยไปสมอ้างเพื่อขายบริการทางเพศ ได้สงผลเสียใหญ่หลวงต่อภาพลักษณ์ของการนวดไทย

ด้วยเหตุนี้ อ.พินิจ จึงเสนอหนึ่งในทางแก้ด้วยการให้เปลี่ยนจากสถานบริการร้านนวดทั้งหลายเป็นสถานพยาบาลการนวดเพื่อรักษาโรค รักษาสุขภาพ ทั้งนี้เพื่อให้คนเห็นว่าแยกออกจากกันชัดเจนจากบริการทางเพศที่มีบางแห่งแอบแฝงอยู่

สำหรับเรื่องปัญหาภาพลักษณ์ของการนวดไทยนั้นก็ต้องตามดูกันต่อไปว่า ภาครัฐและผู้เกี่ยวข้องจะจริงใจในการแก้ปัญหาแค่ไหน ถ้าจริงใจ และทำจริง นั่นหมายความว่า เป้าหมายภูเก็ตเมืองสปาและเม็ดเงิน 4 แสนล้านบาทภายใน 5 ปี อาจจะอยู่ไม่ไกลเกินไป
*    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    * 
 
กำลังโหลดความคิดเห็น