โดย : แมวลาย
เคยได้ดูหนังเรื่อง "เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้" มาตั้งแต่เด็กๆ ติดใจกับมาดเจ้าพ่อสุดเท่ห์ของพระเอกในเรื่องมาตลอด พอได้มีโอกาสได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่ "เซี่ยงไฮ้" จึงถือเป็นโชคดีที่จะได้มาเยือนถิ่นเจ้าพ่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่จะยังเหลือเจ้าพ่ออยู่อีกบ้างหรือเปล่า
ก่อนที่จะไปตามหาเจ้าพ่อ มารู้จักกับเซี่ยงไฮ้กันก่อนดีกว่า เมืองเซี่ยงไฮ้นั้นตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำแยงซีเกียงซึ่งเป็นทางออกสู่ทะเล เมืองเซี่ยงไฮ้แต่อดีตนั้นเต็มไปด้วยหมู่บ้านชาวประมง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์สงครามฝิ่นที่ทำให้จีนต้องเปิดเมืองท่าชายทะเลเพื่อค้าขายกับอังกฤษ ทำให้เซี่ยงไฮ้ถูกแบ่งพื้นที่เพื่อเป็นเขตแบ่งเช่าสำหรับชาวต่างชาติ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส จนทำให้บางมุมในเมืองเซี่ยงไฮ้มีสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่ชาติเหล่านั้นมาสร้างไว้ขณะที่เช่าพื้นที่อยู่ โดยที่ชาวเซี่ยงไฮ้เองก็ถูกชาวต่างประเทศที่เข้ามาเช่าพื้นที่นั้นกดขี่ข่มเหงไม่น้อยเหมือนกัน สวนสาธารณะในเขตพื้นที่ของต่างชาติในสมัยนั้นถึงกับติดป้ายเอาไว้ว่า ห้ามคนจีนและหมาเข้า ...มันน่าเจ็บใจไหมล่ะ
แต่มาในปัจจุบันนี้ ใครจะมาข่มเหงไม่ได้ง่ายๆแล้ว เพราะเซี่ยงไฮ้ได้กลายเป็นเมืองที่สำคัญและเจริญรุ่งเรืองทางธุรกิจมากที่สุดของจีน เป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ การค้า การเงิน รวมไปถึงด้านแฟชั่น และการท่องเที่ยว อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีประชากรอยู่กันหนาแน่นที่สุดในจีนอีกด้วย จึงนับว่าเซี่ยงไฮ้เป็น "มหานคร" ที่ยิ่งใหญ่รองจากนิวยอร์ก ลอนดอน หรือปารีสเลยทีเดียว
เซี่ยงไฮ้นั้นแบ่งเป็นเขตเมืองเก่าและเขตเมืองใหม่ เมืองเก่านั้นเรียกว่าฝั่งผู่ซี่ (Puxi) และฝั่งเมืองใหม่เรียกว่าฝั่งผู่ตง (Pudong) มีแม่น้ำหวงผู่แบ่งเมืองเซี่ยงไฮ้ออกเป็นสองฝั่งคล้ายแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเราที่แบ่งกรุงเทพฯออกเป็นฝั่งธนบุรีกับฝั่งพระนครนั่นแหละ และบรรยากาศของสองฝั่งแม่น้ำก็แตกต่างกันอย่างมากอีกด้วย
ในฝั่งธนฯ...เอ้ย ฝั่งเมืองเก่าผู่ซี่นั้น มีพื้นที่ที่เรียกกันว่า "The Bund" หรือ "หาดไว่ทัน" ซึ่งเป็นย่านอาคารสไตล์ยุโรปงดงามที่มีความเก่าแก่กว่าร้อยปีตั้งเรียงรายอยู่บนถนนริมแม่น้ำหวงผู่ อาคารเหล่านี้เป็นอาคารที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่เซี่ยงไฮ้ยังเป็นเขตเช่าของประเทศต่างๆ ปัจจุบันก็ใช้เป็นโรงแรม เป็นที่ทำการธนาคารแห่งชาติหลายๆ แห่ง รวมไปถึงยังเป็นที่ทำการกงสุลไทย และธนาคารกรุงเทพ สาขาเซี่ยงไฮ้ของเราด้วย แหม...เวลาที่เห็นธงชาติไทยปลิวสะบัดอยู่ในต่างแดนแล้วมันก็รู้สึกภาคภูมิใจยังไงก็ไม่รู้
และที่หาดไว่ทันนี้เอง ที่ใช้เป็นสถานที่ในการถ่ายทอดเรื่องราวของเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ที่เกิดขึ้นในยุคที่เมืองเซี่ยงไฮ้เต็มไปด้วยเจ้าพ่อหลายก๊กหลายแก๊งค์แย่งชิงอำนาจกันให้วุ่นวายไปหมด หาดไว่ทันจึงมีชื่อที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยว่า "หาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้" นั่นเอง แต่พอลองมองๆดูแล้ว ไม่เห็นมีใครหน้าตาท่าทางจะเป็นเจ้าพ่อพกปืนเลยสักคน จะมีก็แต่นักท่องเที่ยวพกกล้องชี้ชวนกันดูบรรยากาศริมแม่น้ำกันอย่างมีความสุข
แต่หากเซี่ยงไฮ้จะยังมีเจ้าพ่อเหลืออยู่บ้าง แล้วเจ้าพ่อคนนั้นได้มายืนอยู่ที่หาดไว่ทันในวันนี้ ก็จะต้องตกตะลึงเมื่อมองไปยังฝั่งตรงข้ามหรือฝั่งเมืองใหม่ผู่ตง แล้วได้เห็นตึกสูงมากมายที่เบียดเสียดกันอยู่แสดงถึงความเจริญของเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
บนฝั่งผู่ตงนี้ยังมีตึกที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองเซี่ยงไฮ้อยู่ด้วย นั่นก็คือ "หอไข่มุก" ซึ่งใช้เป็นหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่สูงที่สุดในเอเชีย และสูงเป็นอันดับที่ 3 ของโลก มีความสูง 468 เมตร ด้วยกัน จากฝั่งผู่ซี่จะมีอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำข้ามไปที่บริเวณใกล้ๆหอไข่มุกได้เลย แถมในอุโมงค์ยังมีการตกแต่งแสงสีให้ดูกันเล่นๆระหว่างลอดแม่น้ำไปอีกด้วย
เมื่อมาถึงหอไข่มุกแล้วก็อย่าลืมขึ้นมาชมชมวิวมุมสูงของเมืองเซี่ยงไฮ้ได้ด้านบน หากมาชมตอนกลางวันก็จะมองเห็นเมืองเซี่ยงไฮ้ได้กว้างไกล แต่หากมาชมตอนกลางคืนก็จะได้ชมแสงไฟสว่างไสวไปทั่วเมือง นอกจากนั้นบนหอไข่มุกก็ยังมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่จำลองภาพวิถีชิวิตของคนเซี่ยงไฮ้ให้เห็นผ่านหุ่นขี้ผึ้ง และมีภัตตาคาร ร้านอาหารต่างๆให้บริการกันเต็มที่
นอกจากจะมีหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่สูงที่สุดในเอเชียแล้ว บริเวณนี้ก็สามารถมองเห็นตึกที่สูงที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่อีกด้วย (แต่หากนับทั้งประเทศแล้ว ตึก 101 ของไทเปจะสูงกว่า) นั่นก็คืออาคารเซี่ยงไฮ้ เวิลด์ ไฟแนนเชียล เซ็นเตอร์ ซึ่งมีความสูงถึง 492.3 เมตรด้วยกัน
สิ่งทันสมัยอีกอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเซี่ยงไฮ้เป็นมหานครติดอันดับโลกนั้นก็คือ "รถไฟแม่เหล็ก" หรือ Maglev ที่มีความเร็วที่สุดในโลกคือวิ่งได้ถึง 430 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (มากหรือน้อยกว่านั้นนิดหน่อยแล้วแต่ช่วงเวลา) มีเส้นทางจากสนามบินนานาชาติเซี่ยงไฮ้ผู่ตง วิ่งมายังตัวเมืองเซี่ยงไฮ้ฝั่งผู่ตง ซึ่งมีระยะทาง 30 กว่ากิโลเมตร ในเวลาแค่ 7 นาทีเท่านั้นเอง
จริงๆแล้วระยะทางแค่ 30 กิโลเมตรนั้นก็ไม่ได้ไกลเกินไปในการขับรถจากตัวเมืองไปถึงสนามบิน แต่เมืองเซี่ยงไฮ้นั้นเต็มไปด้วยนักธุรกิจที่เวลาเป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด และรถในเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นก็นับว่าติดไม่ใช่เล่น อีกทั้งในปี 2010 นี้ก็จะมีการจัดงานเอ็กซ์โปที่เซี่ยงไฮ้ด้วย รถไฟแม่เหล็กจึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทางให้เร็วและสะดวกสบายขึ้นมาอีกมากเลยทีเดียว
เที่ยวชมบรรยากาศทั้งเมืองเก่าเมืองใหม่ไปแล้ว ต้องไม่พลาดชมรากเหง้าประวัติศาสตร์ของเขากันด้วย ที่ "พิพิธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้" (Shanghai Museum) พิพิธภัณฑ์ที่แสดงร่องรอยของอารยธรรมจีนที่มีอายุยาวนานกว่า 4,000 ปี มีข้าวของเก่าๆให้ชมกันกว่า 120,000 ชิ้น เลยทีเดียว
ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงทั้งเครื่องสำริดโบราณ เครื่องกระเบื้องโบราณ รูปปั้นดินเผาเก่าแก่ทั้งพระพุทธรูปละรูปเคารพต่างๆ จัดแสดงเครื่องแต่งกายชนเผ่าต่างๆในจีน หยก เหรียญตรา ตราประทับ ภาพเขียนจีนและอักษรจีนอันเก่าแก่ รวมไปถึงเครื่องเรือนแบบจีน ถ้าใครชอบเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือของเก่าละก็ เดินชมได้เป็นวันๆ เลยล่ะ แถมที่นี่ยังอนุญาตให้ถ่ายรูปข้าวของต่างๆ กันได้ด้วย แต่ต้องไม่เปิดแฟลชซึ่งอาจเป็นการทำให้ของเก่าเหล่านี้เสื่อมสภาพ
แต่ถ้าใครที่ชอบเดินเหมือนกัน แต่เป็นการเดินช้อปปิ้ง ที่เซี่ยงไฮ้ก็ไม่ทำให้คุณผิดหวัง เพราะที่นี่มีแหล่งช้อปปิ้งอยู่หลายจุดด้วยกัน เริ่มจากที่ "ถนนหนานจิง" ถนนสายยาวเกือบๆ 6 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหาดไว่ทันนัก โดยบนถนนหนานจิงนั้น สองข้างทางนั้นจะมีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ร้านอาหารและร้านรวงให้จับจ่ายซื้อของ ทั้งของกิน ของใช้ เสื้อผ้าเครื่องประดับ มีช่วงที่เป็นถนนคนเดินยาวประมาณ 1 กิโลเมตรให้เดินช้อปกันได้สบายใจไม่ต้องกลัวรถ แต่ข้าวของที่นี่ออกจะเป็นแบรนด์เนมและต่อราคาไม่ค่อยได้ หากอยากจะต่อราคาแบบกระจายครึ่งต่อครึ่ง ต้องมาที่ตลาดขายส่งหลงหัว ซึ่งจะขายสินค้าก็อปปี้จำพวกเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ที่บางคนก็อาจจะรู้สึกต่อต้าน แต่บางคนก็ถึงกับรักเลยทีเดียว ก็แล้วแต่ความชอบของใครของมัน ถ้าใครชอบก็เดินลุยหน้าต่อราคากันได้ตามสะดวก
เป็นอันจบการท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้ ที่จะว่าไปแล้วก็ยังเที่ยวไม่ทั่วเลยนะเนี่ย แต่ก็ได้เห็นบรรยากาศของเมืองเซี่ยงไฮ้จนจุใจดี แต่มาถึงแผ่นดินจีนทั้งทีก็ต้องพาไปเที่ยวให้ครบตามสูตรทัวร์ คือเซี่ยงไฮ้-หังโจว-อู๋ซี-ซูโจว จะสวยงามน่าสนใจแค่ไหนคงต้องรออ่านกันตอนต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สอบถามรายละเอียดการท่องเที่ยวประเทศจีนได้ที่ บริษัทซีโน่ ทัวร์ โดยอาจารย์ฟาน จูน โทร.0-2713-7956 ถึง 9
เคยได้ดูหนังเรื่อง "เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้" มาตั้งแต่เด็กๆ ติดใจกับมาดเจ้าพ่อสุดเท่ห์ของพระเอกในเรื่องมาตลอด พอได้มีโอกาสได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่ "เซี่ยงไฮ้" จึงถือเป็นโชคดีที่จะได้มาเยือนถิ่นเจ้าพ่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่จะยังเหลือเจ้าพ่ออยู่อีกบ้างหรือเปล่า
ก่อนที่จะไปตามหาเจ้าพ่อ มารู้จักกับเซี่ยงไฮ้กันก่อนดีกว่า เมืองเซี่ยงไฮ้นั้นตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำแยงซีเกียงซึ่งเป็นทางออกสู่ทะเล เมืองเซี่ยงไฮ้แต่อดีตนั้นเต็มไปด้วยหมู่บ้านชาวประมง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์สงครามฝิ่นที่ทำให้จีนต้องเปิดเมืองท่าชายทะเลเพื่อค้าขายกับอังกฤษ ทำให้เซี่ยงไฮ้ถูกแบ่งพื้นที่เพื่อเป็นเขตแบ่งเช่าสำหรับชาวต่างชาติ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส จนทำให้บางมุมในเมืองเซี่ยงไฮ้มีสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่ชาติเหล่านั้นมาสร้างไว้ขณะที่เช่าพื้นที่อยู่ โดยที่ชาวเซี่ยงไฮ้เองก็ถูกชาวต่างประเทศที่เข้ามาเช่าพื้นที่นั้นกดขี่ข่มเหงไม่น้อยเหมือนกัน สวนสาธารณะในเขตพื้นที่ของต่างชาติในสมัยนั้นถึงกับติดป้ายเอาไว้ว่า ห้ามคนจีนและหมาเข้า ...มันน่าเจ็บใจไหมล่ะ
แต่มาในปัจจุบันนี้ ใครจะมาข่มเหงไม่ได้ง่ายๆแล้ว เพราะเซี่ยงไฮ้ได้กลายเป็นเมืองที่สำคัญและเจริญรุ่งเรืองทางธุรกิจมากที่สุดของจีน เป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ การค้า การเงิน รวมไปถึงด้านแฟชั่น และการท่องเที่ยว อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีประชากรอยู่กันหนาแน่นที่สุดในจีนอีกด้วย จึงนับว่าเซี่ยงไฮ้เป็น "มหานคร" ที่ยิ่งใหญ่รองจากนิวยอร์ก ลอนดอน หรือปารีสเลยทีเดียว
เซี่ยงไฮ้นั้นแบ่งเป็นเขตเมืองเก่าและเขตเมืองใหม่ เมืองเก่านั้นเรียกว่าฝั่งผู่ซี่ (Puxi) และฝั่งเมืองใหม่เรียกว่าฝั่งผู่ตง (Pudong) มีแม่น้ำหวงผู่แบ่งเมืองเซี่ยงไฮ้ออกเป็นสองฝั่งคล้ายแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเราที่แบ่งกรุงเทพฯออกเป็นฝั่งธนบุรีกับฝั่งพระนครนั่นแหละ และบรรยากาศของสองฝั่งแม่น้ำก็แตกต่างกันอย่างมากอีกด้วย
ในฝั่งธนฯ...เอ้ย ฝั่งเมืองเก่าผู่ซี่นั้น มีพื้นที่ที่เรียกกันว่า "The Bund" หรือ "หาดไว่ทัน" ซึ่งเป็นย่านอาคารสไตล์ยุโรปงดงามที่มีความเก่าแก่กว่าร้อยปีตั้งเรียงรายอยู่บนถนนริมแม่น้ำหวงผู่ อาคารเหล่านี้เป็นอาคารที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่เซี่ยงไฮ้ยังเป็นเขตเช่าของประเทศต่างๆ ปัจจุบันก็ใช้เป็นโรงแรม เป็นที่ทำการธนาคารแห่งชาติหลายๆ แห่ง รวมไปถึงยังเป็นที่ทำการกงสุลไทย และธนาคารกรุงเทพ สาขาเซี่ยงไฮ้ของเราด้วย แหม...เวลาที่เห็นธงชาติไทยปลิวสะบัดอยู่ในต่างแดนแล้วมันก็รู้สึกภาคภูมิใจยังไงก็ไม่รู้
และที่หาดไว่ทันนี้เอง ที่ใช้เป็นสถานที่ในการถ่ายทอดเรื่องราวของเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ที่เกิดขึ้นในยุคที่เมืองเซี่ยงไฮ้เต็มไปด้วยเจ้าพ่อหลายก๊กหลายแก๊งค์แย่งชิงอำนาจกันให้วุ่นวายไปหมด หาดไว่ทันจึงมีชื่อที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยว่า "หาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้" นั่นเอง แต่พอลองมองๆดูแล้ว ไม่เห็นมีใครหน้าตาท่าทางจะเป็นเจ้าพ่อพกปืนเลยสักคน จะมีก็แต่นักท่องเที่ยวพกกล้องชี้ชวนกันดูบรรยากาศริมแม่น้ำกันอย่างมีความสุข
แต่หากเซี่ยงไฮ้จะยังมีเจ้าพ่อเหลืออยู่บ้าง แล้วเจ้าพ่อคนนั้นได้มายืนอยู่ที่หาดไว่ทันในวันนี้ ก็จะต้องตกตะลึงเมื่อมองไปยังฝั่งตรงข้ามหรือฝั่งเมืองใหม่ผู่ตง แล้วได้เห็นตึกสูงมากมายที่เบียดเสียดกันอยู่แสดงถึงความเจริญของเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
บนฝั่งผู่ตงนี้ยังมีตึกที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองเซี่ยงไฮ้อยู่ด้วย นั่นก็คือ "หอไข่มุก" ซึ่งใช้เป็นหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่สูงที่สุดในเอเชีย และสูงเป็นอันดับที่ 3 ของโลก มีความสูง 468 เมตร ด้วยกัน จากฝั่งผู่ซี่จะมีอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำข้ามไปที่บริเวณใกล้ๆหอไข่มุกได้เลย แถมในอุโมงค์ยังมีการตกแต่งแสงสีให้ดูกันเล่นๆระหว่างลอดแม่น้ำไปอีกด้วย
เมื่อมาถึงหอไข่มุกแล้วก็อย่าลืมขึ้นมาชมชมวิวมุมสูงของเมืองเซี่ยงไฮ้ได้ด้านบน หากมาชมตอนกลางวันก็จะมองเห็นเมืองเซี่ยงไฮ้ได้กว้างไกล แต่หากมาชมตอนกลางคืนก็จะได้ชมแสงไฟสว่างไสวไปทั่วเมือง นอกจากนั้นบนหอไข่มุกก็ยังมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่จำลองภาพวิถีชิวิตของคนเซี่ยงไฮ้ให้เห็นผ่านหุ่นขี้ผึ้ง และมีภัตตาคาร ร้านอาหารต่างๆให้บริการกันเต็มที่
นอกจากจะมีหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่สูงที่สุดในเอเชียแล้ว บริเวณนี้ก็สามารถมองเห็นตึกที่สูงที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่อีกด้วย (แต่หากนับทั้งประเทศแล้ว ตึก 101 ของไทเปจะสูงกว่า) นั่นก็คืออาคารเซี่ยงไฮ้ เวิลด์ ไฟแนนเชียล เซ็นเตอร์ ซึ่งมีความสูงถึง 492.3 เมตรด้วยกัน
สิ่งทันสมัยอีกอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเซี่ยงไฮ้เป็นมหานครติดอันดับโลกนั้นก็คือ "รถไฟแม่เหล็ก" หรือ Maglev ที่มีความเร็วที่สุดในโลกคือวิ่งได้ถึง 430 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (มากหรือน้อยกว่านั้นนิดหน่อยแล้วแต่ช่วงเวลา) มีเส้นทางจากสนามบินนานาชาติเซี่ยงไฮ้ผู่ตง วิ่งมายังตัวเมืองเซี่ยงไฮ้ฝั่งผู่ตง ซึ่งมีระยะทาง 30 กว่ากิโลเมตร ในเวลาแค่ 7 นาทีเท่านั้นเอง
จริงๆแล้วระยะทางแค่ 30 กิโลเมตรนั้นก็ไม่ได้ไกลเกินไปในการขับรถจากตัวเมืองไปถึงสนามบิน แต่เมืองเซี่ยงไฮ้นั้นเต็มไปด้วยนักธุรกิจที่เวลาเป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด และรถในเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นก็นับว่าติดไม่ใช่เล่น อีกทั้งในปี 2010 นี้ก็จะมีการจัดงานเอ็กซ์โปที่เซี่ยงไฮ้ด้วย รถไฟแม่เหล็กจึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทางให้เร็วและสะดวกสบายขึ้นมาอีกมากเลยทีเดียว
เที่ยวชมบรรยากาศทั้งเมืองเก่าเมืองใหม่ไปแล้ว ต้องไม่พลาดชมรากเหง้าประวัติศาสตร์ของเขากันด้วย ที่ "พิพิธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้" (Shanghai Museum) พิพิธภัณฑ์ที่แสดงร่องรอยของอารยธรรมจีนที่มีอายุยาวนานกว่า 4,000 ปี มีข้าวของเก่าๆให้ชมกันกว่า 120,000 ชิ้น เลยทีเดียว
ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงทั้งเครื่องสำริดโบราณ เครื่องกระเบื้องโบราณ รูปปั้นดินเผาเก่าแก่ทั้งพระพุทธรูปละรูปเคารพต่างๆ จัดแสดงเครื่องแต่งกายชนเผ่าต่างๆในจีน หยก เหรียญตรา ตราประทับ ภาพเขียนจีนและอักษรจีนอันเก่าแก่ รวมไปถึงเครื่องเรือนแบบจีน ถ้าใครชอบเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือของเก่าละก็ เดินชมได้เป็นวันๆ เลยล่ะ แถมที่นี่ยังอนุญาตให้ถ่ายรูปข้าวของต่างๆ กันได้ด้วย แต่ต้องไม่เปิดแฟลชซึ่งอาจเป็นการทำให้ของเก่าเหล่านี้เสื่อมสภาพ
แต่ถ้าใครที่ชอบเดินเหมือนกัน แต่เป็นการเดินช้อปปิ้ง ที่เซี่ยงไฮ้ก็ไม่ทำให้คุณผิดหวัง เพราะที่นี่มีแหล่งช้อปปิ้งอยู่หลายจุดด้วยกัน เริ่มจากที่ "ถนนหนานจิง" ถนนสายยาวเกือบๆ 6 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหาดไว่ทันนัก โดยบนถนนหนานจิงนั้น สองข้างทางนั้นจะมีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ร้านอาหารและร้านรวงให้จับจ่ายซื้อของ ทั้งของกิน ของใช้ เสื้อผ้าเครื่องประดับ มีช่วงที่เป็นถนนคนเดินยาวประมาณ 1 กิโลเมตรให้เดินช้อปกันได้สบายใจไม่ต้องกลัวรถ แต่ข้าวของที่นี่ออกจะเป็นแบรนด์เนมและต่อราคาไม่ค่อยได้ หากอยากจะต่อราคาแบบกระจายครึ่งต่อครึ่ง ต้องมาที่ตลาดขายส่งหลงหัว ซึ่งจะขายสินค้าก็อปปี้จำพวกเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ที่บางคนก็อาจจะรู้สึกต่อต้าน แต่บางคนก็ถึงกับรักเลยทีเดียว ก็แล้วแต่ความชอบของใครของมัน ถ้าใครชอบก็เดินลุยหน้าต่อราคากันได้ตามสะดวก
เป็นอันจบการท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้ ที่จะว่าไปแล้วก็ยังเที่ยวไม่ทั่วเลยนะเนี่ย แต่ก็ได้เห็นบรรยากาศของเมืองเซี่ยงไฮ้จนจุใจดี แต่มาถึงแผ่นดินจีนทั้งทีก็ต้องพาไปเที่ยวให้ครบตามสูตรทัวร์ คือเซี่ยงไฮ้-หังโจว-อู๋ซี-ซูโจว จะสวยงามน่าสนใจแค่ไหนคงต้องรออ่านกันตอนต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สอบถามรายละเอียดการท่องเที่ยวประเทศจีนได้ที่ บริษัทซีโน่ ทัวร์ โดยอาจารย์ฟาน จูน โทร.0-2713-7956 ถึง 9