โดย หนุ่มลูกทุ่ง
หลังจากที่เดินรอบเกาะ(รัตนโกสินทร์)เสียทั่วเพื่อชมอาคารอนุรักษ์ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน มาวันนี้ฉันก็ยังคงไม่หยุดเดินซอกแซกชมอาคารสวยๆงามๆต่อ แต่คราวนี้จะพาเดินให้ทั่วกรุงเทพฯ และชมอาคารอนุรักษ์แบบรวมมิตรทั้งอาคารแบบไทยและแบบเทศ ซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงามกินกันไม่ลงจริงๆ
เริ่มกันที่อาคารทรงไทยอย่างที่ "วัดทองนพคุณ" ในย่านคลองสานกันก่อน วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย และต่อมาพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ทองจีน) ได้เป็นผู้บูรณะซ่อมแซม และถวายให้เป็นพระอารามหลวงในสมัยรัชกาลที่ 3 และหลังจากนั้นก็ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ใหญ่อีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 4
ตัวอุโบสถนั้นเป็นสถาปัตยกรรมไทยสมัยอยุธยา ตัวอาคารก่ออิฐถือปูน แต่สิ่งที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใครของวัดทองนพคุณก็คงเป็นหน้าต่างของพระอุโบสถ ที่หากมองดูจากภายนอกแล้วจะเห็นว่าบานหน้าต่างเหล่านั้นไม่ธรรมดาตรงที่มีกรอบหน้าต่างเป็นรูปพัดยศของพระภิกษุสงฆ์ นอกจากนั้นแล้วภายในอุโบสถก็ยังงดงามด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง โดยเฉพาะภาพด้านหลังพระประธานที่เป็นรูปพระวิสูตร หรือผ้าม่าน ที่มีเหล่าทวยเทพคลี่พระวิสูตรออกมาทั้งด้านซ้ายและขวา ซึ่งวาดได้เหมือนจริงมากขนาดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ถึงกับรับสั่งเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จมาที่วัดว่า "ทำไมถึงได้มาแขวนม่านไว้หลังองค์พระประธาน"
จากวัดแบบไทยๆ มาชมบ้านเรือนไทยกันบ้าง ที่ "บ้านจิม ทอมป์สัน" ที่แม้จะเป็นเรือนไทยแต่เจ้าของบ้านกลับเป็นฝรั่งชาวอเมริกันแท้ๆ แต่มีความชื่นชอบในวัฒนธรรมไทย จนมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทย แถมยังสร้างบ้านเรือนไทยอยู่อีกต่างหาก เขาคนนี้มีชื่อว่า "จิม ทอมป์สัน" และรู้จักกันในชื่อ "ราชาไหมไทย"
บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ริมคลองแสนแสบ เป็นกลุ่มเรือนไทย 6 หลัง ที่ถูกซื้อและรื้อมาจากที่ต่างๆ มาปลูกรวมกัน แม้ภายนอกจะเป็นบ้านเรือนไทย แต่ภายในตกแต่งเป็นแนวร่วมสมัย มีห้องรับแขก ห้องนอน ห้องน้ำที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกแบบทันสมัย แต่ตกแต่งด้วยของเก่าที่เป็นของสะสมของจิม ทอมป์สัน ทั้งพระพุทธรูปเก่าอายุหลายร้อยปี ถ้วยชามเบญจรงค์ ภาพเขียนเก่าแก่ และศิลปวัตถุต่างๆ ที่ไม่ใช่เฉพาะของไทยเท่านั้น แต่มาจากหลายๆ เชื้อชาติ ทั้งจีน พม่า ฯลฯ หากใครอยากไปชมบ้านเรือนไทยที่มีการตกแต่งแบบร่วมสมัยก็เชิญมาชมกันได้ที่นี่
มาชมอาคารอนุรักษ์กันที่ย่านหลานหลวง ที่ "วังวรดิศ" ซึ่งเป็นวังของสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยสถาปนิกผู้ออกแบบวังนั้นก็คือนาย คาร์ล ดอห์ริง เป็นคนเดียวกับที่ออกแบบพระราชวังบ้านปืนที่จังหวัดเพชรบุรี และวังบางขุนพรหม
ตัวตำหนักหลังนี้ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระพันปีหลวง และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นค่าก่อสร้างทั้งหมดรวม 50,000 บาท เป็นอาคารสองชั้นสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างเอเชียกับยุโรป หลังคาเป็นทรงจั่วหักมุมตอนปลาย และยังมีห้องใต้หลังคาอีกด้วย ส่วนหน้าต่างบนชั้นสองก็โค้งเป็นครึ่งวงกลม ทำให้บ้านดูไม่ดูเคร่งขรึมจนเกินไป และยังมีลวดลายปูนปั้นบนผนังตอนบนใกล้ๆหลังคา ทำให้ดูน่ารักน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
ที่ "พิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์" ในสวนรมณีนาถ ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ได้รางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นโดยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ซื้อที่ดินและจัดสร้างเป็นเรือนจำ โดยแบบของเรือนจำนั้นก็สร้างมาจากนำมาจากเรือนจำ Brixton อันเป็นเรือนจำระดับความมั่นคงสูงสุดของอังกฤษมาสร้างขึ้น
แต่ภายหลังได้มีการย้ายผู้ต้องขังไปที่ทัณฑสถานวัยหนุ่ม บางเขน จึงได้มีการปรับปรุงพื้นที่บริเวณเรือนจำให้เป็นสวนสาธารณะชื่อว่า "สวนรมณีนาถ" โดยยังคงอาคารเรือนขังไว้ และจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับคุก เช่น การประหารชีวิตนักโทษ และการลงโทษในสมัยก่อน ดูแล้วก็น่ากลัวไม่ใช่น้อย นอกจากนั้นก็ยังมีการอนุรักษ์กำแพงส่วนหน้าซุ้มประตู และป้อมยามรักษาการณ์เอาไว้ สามารถเข้าไปพักผ่อนหย่อนใจในสวนรมณีนาถ และเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ได้ตามสะดวก
มาชม "ธนาคารไทยพานิชย์ สาขาตลาดน้อย" ย่านเยาวราชกันบ้าง หากใครเคยนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาผ่านไปผ่านมาก็คงจะเคยเห็นอาคารแบบยุโรปสง่างามอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่เคียงกันกับโบสถ์กาลหว่าร์ นั่นก็คือที่ทำการของธนาคารไทยพาณิชย์นั่นเอง โดยตัวอาคารของธนาคารนั้นเป็นสถาปัตยกรรมแบบบาร็อค อิตาเลียน ก่ออิฐฉาบปูนและทาด้วยสีเหลืองครีม ตกแต่งอย่างงดงามด้วยลวดลายปูนปั้นตามแบบสไตล์ยุโรป หากใครได้เห็นก็ต้องออกปากว่าสวยเหมือนกันหมด อีกทั้งด้านหน้าอาคารที่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็ยังมีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ของธนาคารไทยพาณิชย์อีกด้วย
คราวนี้มาชมศาสนสถานของชาวคริสต์ที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์ดีเด่นกันบ้าง ที่ "โบสถ์อัสสัมชัญ" โบสถ์เก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ในย่านบางรัก สร้างโดยบาทหลวงปาสกัล ซึ่งเป็นชาวไทย-โปรตุเกส โบสถ์หลังปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2452 เพื่อรองรับการขยายตัวของคริสต์ศาสนิกชนที่มีเพิ่มมากขึ้น โดยมีสถาปนิกชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง วัสดุที่ใช้สร้างเช่นหินอ่อนและกระจกสีนั้นก็สั่งมาจากประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี
ด้วยศิลปะแบบเรอเนซองส์ของอิตาลี ทำให้โบสถ์แห่งนี้มีความงดงามอย่างมาก โดยมีความสูงตั้งแต่ยอดหอคอยจดพื้น 32 เมตรด้วยกัน ส่วนด้านในผนังและเพดานก็งดงามด้วยจิตรกรรมแบบเฟรสโกและประติมากรรมปูนปั้นที่แสดงถึงเรื่องราวความเชื่อของทางศาสนาคริสต์อยู่ภายใน
มาดูโบสถ์คริสต์เก่าแก่อีกแห่งหนึ่งในฝั่งธน ที่ "โบสถ์ซางตาครูส" ซึ่งถือเป็นวัดแห่งคริสต์ศาสนา นิกายโรมันคาทอลิกแห่งแรกในย่านฝั่งธนบุรี โดยบาทหลวงยาโกเบ กอรร์ ซึ่งเป็นเหมือนผู้นำกลุ่มชาวโปรตุเกสขณะนั้น ได้สร้างโบสถ์หลังแรกขึ้นในที่ดินพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าตากสิน และให้ชื่อว่าโบสถ์ซางตาครูส
แต่โบสถ์ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนั้นถือเป็นโบสถ์หลังที่ 3 ที่สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ พ.ศ.2456 เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิคผสมกับเรเนอซองส์ ตัวอาคารเป็นแบบก่ออิฐฉาบปูนตกแต่งด้วยปูนปั้นเป็นลวดลายใบไม้สวยงามอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายในมีกระจกสีเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูงดงามมากเช่นกัน
มาที่ตึกอนุรักษ์สุดท้ายที่พามาชมกันวันนี้ ที่ "ห้องสมุดเนียลสัน เฮย์ส" บนถนนสุรวงศ์ ห้องสมุดเล็กๆ แต่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ห้องสมุดแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่พ.ศ.2411 โดยภรรยาของหมอบรัดเลย์และหมอสมิธ ได้ก่อตั้ง "The Bangkok Ladies Library Association" สำหรับแลกเปลี่ยนหนังสือกันอ่านในหมู่ชาวต่างชาติ นางเจนนี่ เนียลสัน เฮย์ส ภรรยาของหมอ ที เฮวาร์ด เฮย์ แพทย์ใหญ่ประจำการในกรมการแพทย์ทหารเรือไทย ก็ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นกรรมการดำเนินงานเกี่ยวกับห้องสมุดอยู่ถึง 25 ปี นางเจนนี่เป็นคนรักการอ่านและดูแลหนังสือต่างๆ เป็นอย่างดี ภายหลังการเสียชีวิตของเธอในพ.ศ.2464 หมอที เฮวาร์ด จึงได้สร้างห้องสมุดขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ภรรยา
ห้องสมุดแห่งนี้ได้รับการออกแบบจากสถาปนิกชาวอิตาเลียนชื่อมาริโอ ตามานโย ผู้ออกแบบพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นอาคารชั้นเดียวในรูปแบบนีโอ คลาสิค หลังคาเป็นทรงโดม ที่หัวเสาทุกต้นสลักลวดลายสวยงาม ใต้ตัวตึกเป็นบ่อน้ำเพื่อให้ความเย็นภายในอาคาร
ไม่เพียงแต่ที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายอาคารด้วยกันที่ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ไม่ว่าจะเป็นพระตำหนักเมขลารูจี ในพระราชวังพญาไท วังสวนผักกาด ตึกคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตึกสุนันทาลัย โรงเรียนราชินี ตึกยาว โรงเรียนสวนกุหลาบ ศาลาเฉลิมกรุง และอีกมากมายหลายอาคาร ที่ต่างก็มีที่มาและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป แต่ก็งดงามไม่แพ้กันเลยทีเดียว
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
เที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์ ยลอาคารอนุรักษ์ มรดกเก่าไม่มีวันตาย
หลังจากที่เดินรอบเกาะ(รัตนโกสินทร์)เสียทั่วเพื่อชมอาคารอนุรักษ์ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน มาวันนี้ฉันก็ยังคงไม่หยุดเดินซอกแซกชมอาคารสวยๆงามๆต่อ แต่คราวนี้จะพาเดินให้ทั่วกรุงเทพฯ และชมอาคารอนุรักษ์แบบรวมมิตรทั้งอาคารแบบไทยและแบบเทศ ซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงามกินกันไม่ลงจริงๆ
เริ่มกันที่อาคารทรงไทยอย่างที่ "วัดทองนพคุณ" ในย่านคลองสานกันก่อน วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย และต่อมาพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ทองจีน) ได้เป็นผู้บูรณะซ่อมแซม และถวายให้เป็นพระอารามหลวงในสมัยรัชกาลที่ 3 และหลังจากนั้นก็ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ใหญ่อีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 4
ตัวอุโบสถนั้นเป็นสถาปัตยกรรมไทยสมัยอยุธยา ตัวอาคารก่ออิฐถือปูน แต่สิ่งที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใครของวัดทองนพคุณก็คงเป็นหน้าต่างของพระอุโบสถ ที่หากมองดูจากภายนอกแล้วจะเห็นว่าบานหน้าต่างเหล่านั้นไม่ธรรมดาตรงที่มีกรอบหน้าต่างเป็นรูปพัดยศของพระภิกษุสงฆ์ นอกจากนั้นแล้วภายในอุโบสถก็ยังงดงามด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง โดยเฉพาะภาพด้านหลังพระประธานที่เป็นรูปพระวิสูตร หรือผ้าม่าน ที่มีเหล่าทวยเทพคลี่พระวิสูตรออกมาทั้งด้านซ้ายและขวา ซึ่งวาดได้เหมือนจริงมากขนาดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ถึงกับรับสั่งเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จมาที่วัดว่า "ทำไมถึงได้มาแขวนม่านไว้หลังองค์พระประธาน"
จากวัดแบบไทยๆ มาชมบ้านเรือนไทยกันบ้าง ที่ "บ้านจิม ทอมป์สัน" ที่แม้จะเป็นเรือนไทยแต่เจ้าของบ้านกลับเป็นฝรั่งชาวอเมริกันแท้ๆ แต่มีความชื่นชอบในวัฒนธรรมไทย จนมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทย แถมยังสร้างบ้านเรือนไทยอยู่อีกต่างหาก เขาคนนี้มีชื่อว่า "จิม ทอมป์สัน" และรู้จักกันในชื่อ "ราชาไหมไทย"
บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ริมคลองแสนแสบ เป็นกลุ่มเรือนไทย 6 หลัง ที่ถูกซื้อและรื้อมาจากที่ต่างๆ มาปลูกรวมกัน แม้ภายนอกจะเป็นบ้านเรือนไทย แต่ภายในตกแต่งเป็นแนวร่วมสมัย มีห้องรับแขก ห้องนอน ห้องน้ำที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกแบบทันสมัย แต่ตกแต่งด้วยของเก่าที่เป็นของสะสมของจิม ทอมป์สัน ทั้งพระพุทธรูปเก่าอายุหลายร้อยปี ถ้วยชามเบญจรงค์ ภาพเขียนเก่าแก่ และศิลปวัตถุต่างๆ ที่ไม่ใช่เฉพาะของไทยเท่านั้น แต่มาจากหลายๆ เชื้อชาติ ทั้งจีน พม่า ฯลฯ หากใครอยากไปชมบ้านเรือนไทยที่มีการตกแต่งแบบร่วมสมัยก็เชิญมาชมกันได้ที่นี่
มาชมอาคารอนุรักษ์กันที่ย่านหลานหลวง ที่ "วังวรดิศ" ซึ่งเป็นวังของสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยสถาปนิกผู้ออกแบบวังนั้นก็คือนาย คาร์ล ดอห์ริง เป็นคนเดียวกับที่ออกแบบพระราชวังบ้านปืนที่จังหวัดเพชรบุรี และวังบางขุนพรหม
ตัวตำหนักหลังนี้ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระพันปีหลวง และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นค่าก่อสร้างทั้งหมดรวม 50,000 บาท เป็นอาคารสองชั้นสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างเอเชียกับยุโรป หลังคาเป็นทรงจั่วหักมุมตอนปลาย และยังมีห้องใต้หลังคาอีกด้วย ส่วนหน้าต่างบนชั้นสองก็โค้งเป็นครึ่งวงกลม ทำให้บ้านดูไม่ดูเคร่งขรึมจนเกินไป และยังมีลวดลายปูนปั้นบนผนังตอนบนใกล้ๆหลังคา ทำให้ดูน่ารักน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
ที่ "พิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์" ในสวนรมณีนาถ ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ได้รางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นโดยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ซื้อที่ดินและจัดสร้างเป็นเรือนจำ โดยแบบของเรือนจำนั้นก็สร้างมาจากนำมาจากเรือนจำ Brixton อันเป็นเรือนจำระดับความมั่นคงสูงสุดของอังกฤษมาสร้างขึ้น
แต่ภายหลังได้มีการย้ายผู้ต้องขังไปที่ทัณฑสถานวัยหนุ่ม บางเขน จึงได้มีการปรับปรุงพื้นที่บริเวณเรือนจำให้เป็นสวนสาธารณะชื่อว่า "สวนรมณีนาถ" โดยยังคงอาคารเรือนขังไว้ และจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับคุก เช่น การประหารชีวิตนักโทษ และการลงโทษในสมัยก่อน ดูแล้วก็น่ากลัวไม่ใช่น้อย นอกจากนั้นก็ยังมีการอนุรักษ์กำแพงส่วนหน้าซุ้มประตู และป้อมยามรักษาการณ์เอาไว้ สามารถเข้าไปพักผ่อนหย่อนใจในสวนรมณีนาถ และเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ได้ตามสะดวก
มาชม "ธนาคารไทยพานิชย์ สาขาตลาดน้อย" ย่านเยาวราชกันบ้าง หากใครเคยนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาผ่านไปผ่านมาก็คงจะเคยเห็นอาคารแบบยุโรปสง่างามอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่เคียงกันกับโบสถ์กาลหว่าร์ นั่นก็คือที่ทำการของธนาคารไทยพาณิชย์นั่นเอง โดยตัวอาคารของธนาคารนั้นเป็นสถาปัตยกรรมแบบบาร็อค อิตาเลียน ก่ออิฐฉาบปูนและทาด้วยสีเหลืองครีม ตกแต่งอย่างงดงามด้วยลวดลายปูนปั้นตามแบบสไตล์ยุโรป หากใครได้เห็นก็ต้องออกปากว่าสวยเหมือนกันหมด อีกทั้งด้านหน้าอาคารที่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็ยังมีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ของธนาคารไทยพาณิชย์อีกด้วย
คราวนี้มาชมศาสนสถานของชาวคริสต์ที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์ดีเด่นกันบ้าง ที่ "โบสถ์อัสสัมชัญ" โบสถ์เก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ในย่านบางรัก สร้างโดยบาทหลวงปาสกัล ซึ่งเป็นชาวไทย-โปรตุเกส โบสถ์หลังปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2452 เพื่อรองรับการขยายตัวของคริสต์ศาสนิกชนที่มีเพิ่มมากขึ้น โดยมีสถาปนิกชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง วัสดุที่ใช้สร้างเช่นหินอ่อนและกระจกสีนั้นก็สั่งมาจากประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี
ด้วยศิลปะแบบเรอเนซองส์ของอิตาลี ทำให้โบสถ์แห่งนี้มีความงดงามอย่างมาก โดยมีความสูงตั้งแต่ยอดหอคอยจดพื้น 32 เมตรด้วยกัน ส่วนด้านในผนังและเพดานก็งดงามด้วยจิตรกรรมแบบเฟรสโกและประติมากรรมปูนปั้นที่แสดงถึงเรื่องราวความเชื่อของทางศาสนาคริสต์อยู่ภายใน
มาดูโบสถ์คริสต์เก่าแก่อีกแห่งหนึ่งในฝั่งธน ที่ "โบสถ์ซางตาครูส" ซึ่งถือเป็นวัดแห่งคริสต์ศาสนา นิกายโรมันคาทอลิกแห่งแรกในย่านฝั่งธนบุรี โดยบาทหลวงยาโกเบ กอรร์ ซึ่งเป็นเหมือนผู้นำกลุ่มชาวโปรตุเกสขณะนั้น ได้สร้างโบสถ์หลังแรกขึ้นในที่ดินพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าตากสิน และให้ชื่อว่าโบสถ์ซางตาครูส
แต่โบสถ์ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนั้นถือเป็นโบสถ์หลังที่ 3 ที่สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ พ.ศ.2456 เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิคผสมกับเรเนอซองส์ ตัวอาคารเป็นแบบก่ออิฐฉาบปูนตกแต่งด้วยปูนปั้นเป็นลวดลายใบไม้สวยงามอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายในมีกระจกสีเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูงดงามมากเช่นกัน
มาที่ตึกอนุรักษ์สุดท้ายที่พามาชมกันวันนี้ ที่ "ห้องสมุดเนียลสัน เฮย์ส" บนถนนสุรวงศ์ ห้องสมุดเล็กๆ แต่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ห้องสมุดแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่พ.ศ.2411 โดยภรรยาของหมอบรัดเลย์และหมอสมิธ ได้ก่อตั้ง "The Bangkok Ladies Library Association" สำหรับแลกเปลี่ยนหนังสือกันอ่านในหมู่ชาวต่างชาติ นางเจนนี่ เนียลสัน เฮย์ส ภรรยาของหมอ ที เฮวาร์ด เฮย์ แพทย์ใหญ่ประจำการในกรมการแพทย์ทหารเรือไทย ก็ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นกรรมการดำเนินงานเกี่ยวกับห้องสมุดอยู่ถึง 25 ปี นางเจนนี่เป็นคนรักการอ่านและดูแลหนังสือต่างๆ เป็นอย่างดี ภายหลังการเสียชีวิตของเธอในพ.ศ.2464 หมอที เฮวาร์ด จึงได้สร้างห้องสมุดขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ภรรยา
ห้องสมุดแห่งนี้ได้รับการออกแบบจากสถาปนิกชาวอิตาเลียนชื่อมาริโอ ตามานโย ผู้ออกแบบพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นอาคารชั้นเดียวในรูปแบบนีโอ คลาสิค หลังคาเป็นทรงโดม ที่หัวเสาทุกต้นสลักลวดลายสวยงาม ใต้ตัวตึกเป็นบ่อน้ำเพื่อให้ความเย็นภายในอาคาร
ไม่เพียงแต่ที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายอาคารด้วยกันที่ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ไม่ว่าจะเป็นพระตำหนักเมขลารูจี ในพระราชวังพญาไท วังสวนผักกาด ตึกคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตึกสุนันทาลัย โรงเรียนราชินี ตึกยาว โรงเรียนสวนกุหลาบ ศาลาเฉลิมกรุง และอีกมากมายหลายอาคาร ที่ต่างก็มีที่มาและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป แต่ก็งดงามไม่แพ้กันเลยทีเดียว
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
เที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์ ยลอาคารอนุรักษ์ มรดกเก่าไม่มีวันตาย