xs
xsm
sm
md
lg

เก่าๆใหม่ๆใน“จาการ์ต้า”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : เหล็งฮู้ชง
บรรยากาศจาการ์ต้ายามราตรี
สมัยเด็กๆช่วงเรียนเรื่องเกี่ยวกับประเทศอาเซียนในวิชา สปช.(สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต) ผมตอบคุณครูผิดว่า ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีเกาะเยอะที่สุดในโลก แต่จริงๆแล้วประเทศที่มีเกาะเยอะที่สุดในโลก คือ“อินโดนีเซีย”หนึ่งในมิตรอาเซียนที่มีความสัมพันธ์กับไทยมายาวนานต่างหาก (หลังครูเฉลยเลยจำขึ้นใจ)

อินโดนีเซียหรือชื่ออย่างเป็นทางการคือสาธารณรัฐอินโดนีเซีย มีหมู่เกาะน้อยใหญ่อยู่เป็นจำนวนมากมายถึง 17,508 เกาะ(ข้อมูลจากสถานทูตอินโดฯประจำประเทศไทย) โดยมีเกาะสำคัญที่มีขนาดใหญ่(มาก) อยู่ 4 เกาะ คือเกาะสุมาตรา ชวา ซุลาเวซี(เซลีเบส) และเกาะติมอร์ ประเทศนี้ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพสูง ในด้านทรัพยากรธรรมชาติ ด้านความหลากหลายทางวัฒนธรรม และในด้านการท่องเที่ยว

ยิ่งในปีนี้ที่รัฐบาลอินโดฯ ประกาศให้เป็นปีท่องเที่ยวอินโดนีเซีย 2008 ผนวกกับกระแสนิยมเกี่ยวกับประเทศในโลกอิสลามกำลังมาแรง ก็ยิ่งทำให้ประเทศที่มีชาวมุสลิมมากที่สุดในโลกอย่างอินโดนีเซียดูน่าสนใจและน่าค้นหามากขึ้น
หุ่นมังกรโคโมโดที่สายพานรับกระเป๋า
ด้วยเหตุนี้ผมจึงวาดหวังว่าถ้าโอกาสมาถึงก็น่าที่จะเดินทางไปเยือนอินโดฯสักครั้ง จนกระทั่งเมื่อสายการบินราคาประหยัดอย่าง“ไทยแอร์ เอเชีย”ได้เปิดเส้นทางการบินใหม่ กรุงเทพฯ-จาการ์ต้า โอกาสที่ผมเคยวาดหวังไว้ก็เป็นจริงขึ้นมาทันที

จากสนามบินสุวรรณภูมิ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ผมก็เหินฟ้าข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงยังกรุงจาการ์ต้า เมืองหลวงของอินโดนีเซีย

ขณะที่กำลังรอรับกระเป๋าอยู่นั้น ผมสังเกตว่าบนแกนกลางของสายพานรับกระเป๋าจะมีหุ่น(ไม้)ของสัตว์ดาวเด่นคู่อินโดนีเซียอย่างเจ้า“มังกรโคโมโด” มายืนชูคอคอยต้อนรับและให้กำลังใจแก่นักเดินทาง เล่นเอาเพื่อนร่วมทริปหลายคนถึงกับอึ้งเมื่อเจอกับเจ้าตัวนี้เข้า เพราะเจ้าตัวโคโมโดนี่หากดูจากหน้าตารูปพรรณสัณฐานแล้วมันแทบไม่ต่างอะไรกับ“ตัวเงินตัวทอง” หรือที่ใครและใครหลายคนเรียกขานในภาษาบ้านๆ (รวมถึงคำที่ใครและใครบางคนใช้เรียกขานนักโกงเมืองชั้นเลวในบ้านเรา) ว่า “เหี้ย”

รถตุ๊ก ตุ๊ก สไตล์อินโดฯพบได้ทั่วไปในจาการ์ต้า
แต่ประทานโทษเจ้าตัวโคโมโดนี่มันไม่ใช่สัตว์ธรรมดาๆเลยนะ หากแต่เป็นสัตว์หายากที่ปัจจุบันมีอาศัยอยู่ตามธรรมชาติไม่ถึง 4,000 ตัว แถมพบเฉพาะในอินโดฯเท่านั้น คือที่ เกาะโคโมโด เกาะฟลอเรส และเกาะรินกา ในอุทยานแห่งชาติโคโมโด (Komodo National Park) ซึ่งด้วยความพิเศษและหายากของตัวโคโมโดทำให้ อุทยานแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1991

ครับ กับเจ้าโคโดโมที่ยืนชูคอหัวโด่คอยให้กำลังใจคนรับกระเป๋านี่ใครจะว่ายังไงก็ว่ากันไป แต่สำหรับผมในทริปนี้ก่อนที่จะเดินทางไปเที่ยวต่อใน 2 เมืองหลักของอินโดฯ ผมขอเปิดประเดิมด้วยการไปรู้จักกับประวัติคร่าวๆของเมืองหลวงจาการ์ต้ากันเสียหน่อยแบบพอหอมปากหอมคอ

จาการ์ต้าในอดีตเมื่อพันกว่าปีที่ผ่านมาเป็นหมู่บ้านเล็กๆริมทะเล แล้วจึงค่อยๆพัฒนาเติบโตขึ้นมา ก่อนจะได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงเมื่อต้นศ.ศ.ที่ 5 ในสมัยพระเจ้าปุรนะวนมัน

จากนั้นเมืองนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น จายาการ์ต้า(Jayakata : ที่แปลว่ามีชัยชนะและรุ่งเรือง) ในปี ค.ศ. 1527 สมัยฟาดาฮิลลาห์(สุนัน กุนุง จาตี) ก่อนที่ชาวดัตช์จะเดินทางเข้ามาและนำกำลังพลทางน้ำมายึดครองในปี ค.ศ.1619 แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองนี้เป็น บาตาเวีย(Batavia)หรือปัตตาเวีย ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของชาวดัตช์มายาวนาน กระทั่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้เข้ามายึดครองปัตตาเวียต่อ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเมืองนี้เป็น จาการ์ต้า(Jakarta)
อนุสาวรีย์แห่งชาติโมนัส
ครั้นเมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 จาการ์ต้า เปลี่ยนกลับไปอยู่ใต้การปกครองของดัตช์อีกครั้ง จนกระทั่งชาวอินโดนีเซียได้ต่อสู้เรียกร้องเอกราชจนได้ชัยชนะ และประกาศเอกราชในวันที่ 17 ส.ค. 1945

ปัจจุบันจาการ์ต้าถือเป็นมหานครเมืองหนึ่งที่ยังคงพัฒนาทางวัตถุอย่างต่อเนื่อง(แต่ยังคงเป็นรองกรุงเทพฯบ้านเรา) ดังจะเห็นได้จากตึกสูงระฟ้าที่ผุดขึ้นมาอย่างมากมาย ในขณะที่บนท้องถนนรถราก็ติดระยับไม่น้อย โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน(แต่ก็ยังเป็นรองกรุงเทพฯบ้านเราอีกนั่นแหละ)

อนึ่งช่วงที่ผมเที่ยวในตัวเมืองจาการ์ต้านั้น ตามถนนหนทางนอกจากรถราที่ขวักไขว่แล้ว บางช่วงยังมีภาพวิถีแบบดั้งเดิมของชาวจาการ์ต้าให้เห็นสลับอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น รถม้า รถตุ๊ก-ตุ๊ก สไตล์อินโด, ร้านอาหารริมทาง, วิถีแบบมุสลิมที่น่าสนใจยิ่ง และรอยอดีตในยุคสมัยดัตช์เข้าปกครองที่ยังปรากฏอยู่
มหามัสยิดอีสดิกลัล
ในขณะที่ตามแยกต่างๆหลายๆแยกก็จะมีอนุสาวรีย์ตั้งตระหง่านเป็นจุดสังเกตชวนชมกันอยู่ทั่วไป แต่หากพูดถึงอนุสาวรีย์ที่เป็นดังไฮไลท์ เป็นสัญลักษณ์และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองก็คงหนีไม่พ้น อนุสาวรีย์แห่งชาติโมนัส (Monas)ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงจาการ์ต้า

อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นบริเวณสถานที่ที่(อดีต)ประธานาธิบดีซูการ์โนประกาศเอกราช เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เรียกร้องเอกราชของชาวอินโดฯ มีลักษณะเป็นแท่งหินสี่เหลี่ยมสูงพุ่งแทงฟ้าสูงประมาณ 137 เมตร ด้านบนยอดเสามีงานประติมากรรมสำริดหุ้มทองคำ(หนัก 33 กก.) รูปเปลวไฟที่สื่อถึงสัญลักษณ์ของอิสรภาพและการต่อสู้เรียกร้องเอกราชประดับอยู่ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นลิฟท์ไปบนหอสังเกตการณ์ด้านบนเพื่อชมทิวทัศน์ของกรุงจาการ์ต้าได้อย่างรอบทิศ
โบสถ์คาทีดราล
สำหรับใครที่มาเที่ยวที่นี่แล้วก็อย่าเพิ่งไปไหนไกล เพราะใกล้ๆกันนั้นยังมีสิ่งน่าสนใจอย่าง มหามัสยิดอีสดิกลัล(Istiqlal) และโบสถ์คาทีดราล(Katedtal) เป็นอีก 2 สิ่งชวนชม

มหามัสยิดอีสดิกลัล ถือเป็นมัสยิดแห่งชาติหรือมัสยิดแห่งเอกราชที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างขึ้นใน ปี ค.ศ.1975 เป็นมัสยิดทรงสี่เหลี่ยมมีโดมอยู่ตรงกลาง มัสยิดแห่งนี้นอกจากเป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนาแล้ว ยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่สำคัญในกรุงจาการ์ต้าอีกด้วย

ถัดจากมหามัสยิดอีสดิกลัลไปก็เป็น โบสถ์คาทีดราล โบสถ์คริสต์ที่สำคัญที่สุดในกรุงจาการ์ต้า สร้างขึ้นในปี 1991 ในสไตล์นีโอโกธิคที่มีความสวยงามไม่น้อยเลย
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจาการ์ต้า
ด้านใครที่อยากชมรอยอารยธรรมสำคัญของอินโดฯนั้น ผมแนะนำว่าให้ไปชมที่ Gedung Gajah หรือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจาการ์ต้า หรือ“ตึกช้าง” ที่นี่ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่และดีที่สุดในอินโดนีเซีย เป็นอาคารเก่าแก่แบบตะวันตก มีคอร์ดโล่งตรงกลาง ด้านหน้ามีประติมากรรมรูปช้างสำริด ที่ ร.5 ทรงพระราชทานให้แก่อินโดนีเซีย

ภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งพื้นที่เป็นหลายส่วน จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ อาทิ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ห้องเครื่องปั้นดินเผา ห้องสถาปัตยกรรมจำลองในแต่ละยุคสมัย ห้องผ้าโบราณ ห้องไม้แกะสลัก ห้องเครื่องทอง และห้องเครื่องดนตรีโบราณ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีโบราณวัตถุและศิลปะล้ำค่าหายากที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ ศิลาจารึกที่เก่าแก่ที่สุด ประติมากรรมเก่าแก่สวยงามแห่งชวาตอนกลาง ซึ่งนี่ถือเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

จากการชมของเก่าในพิพิธภัณฑ์ ผมขอสลับอารมณ์ไปชมของใหม่สดๆร้อนๆในห้างแฟซิฟิกเพลสกันบ้าง นั่นก็คือ“คิดซาเนีย” (Kid Zania) เมืองมหัศจรรย์เพื่อจินตนาการอันกว้างไกลของคุณน้องๆหนูๆ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 3 แห่งในโลก คือที่ เม็กซิโก ญี่ปุ่น และที่อินโดนีเซีย(ที่เพิ่งเปิดมาได้ประมาณ 6 เดือนเศษ)
เด็กๆฝึกทดลองเป็นหมอฟันในเมืองจำลองคิดซาเนีย
ภายในคิดซาเนียได้สร้างเป็นเมืองจำลองของอาชีพต่างๆมากกว่า 70 อาชีพไว้ให้เด็กๆตั้งแต่อายุ 4-16 ปี ได้เข้าไปสวมบทบาท ทดลอง และเรียนรู้ เกี่ยวกับอาชีพนั้นๆ ท่ามกลางการดูแลของพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น “นักข่าว” ที่มีการจำลองสำนักพิมพ์ชื่อดังในอินโดฯมาให้เด็กๆได้ลองทำข่าวกัน “นักดับเพลิง” ที่มีชุดและคนขนาดเล็กให้เด็กได้ทดลองฝึกผจญเพลิงจำลองกันแบบสนุกสนาน “หมอฟัน” ที่สอนให้เด็กๆได้ทดลองสำรวจช่องปากของหุ่นคนไข้จำลอง “ผู้พิพากษา” ที่เปิดให้เด็กๆออกนั่งบัลลังก์พร้อมกับทนาย อัยการ และโจทย์ จำเลย รวมถึง “ตำรวจ”ที่มีทั้งตำรวจและโจรให้เด็กเล่นไล่จับกัน

นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายอาชีพที่น่าสนใจให้เด็กๆหมุนเวียนเปลี่ยนรอบทดลองฝึกฝนกันอย่างจุใจ( 1 รอบ ประมาณ 1 ชม.) อาทิ ดีเจ นักมายากล หมอ นักแข่งรถ นักเคมี พ่อครัว ฯลฯ โดยมีอาชีพ“นักบิน” ที่จำลองห้องเครื่องของสายการบินแอร์ เอเชีย มาให้เด็กๆได้ทดลองฝึกบินเป็นอาชีพยอดนิยมอันดับหนึ่ง

สำหรับผมเมื่อได้เข้าไปเที่ยวชมในคิดซาเนียแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองได้กลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ชั่วขณะเท่านั้น เพราะหลังออกจากเมืองแห่งจินตนาการคิดซาเนีย เราก็กลับสู่โลกแห่งความจริงของกรุงจาการ์ต้า อันเป็นเมืองที่ผสมวิถีและสีสันของความใหม่-เก่าเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน ซึ่งหากมองให้ลึกลงไปในรายละเอียดโดยไม่ยึดติดกับมายาคติทางการข่าวและทางการเมืองแล้ว จาการ์ต้านับเป็นอีกหนึ่งเมืองในกลุ่มประเทศอาเซียนที่น่าสนใจไม่น้อยเลย...(อ่านเรื่องเที่ยว“มหาเจดีย์บุโรพุทโธ”ต่อตอนหน้า)

*****************************************

จาการ์ต้า เป็นเมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะชวา เทียบเวลาตรงกับประเทศไทย โดยล่าสุดสายการบินราคาประหยัด ไทยแอร์ เอเชีย ได้เปิดเที่ยวบิน ตรง จากกรุงเทพฯสู่จาการ์ต้าทุกวัน ซึ่งผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 0-2515-9999

สำหรับประเทศอินโดฯใช้เงินสกุลรูเปีย มีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 บาท ประมาณ 250-300 รูปเปีย(ตามการขึ้นลงของค่าเงิน) ทั้งนี้ผู้สนใจข้อมูลท่องเที่ยวเกี่ยวกับอินโดนีเซียสามารถสอบถามได้ที่ สถานทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย โทร. 0-2252-3135-9

กำลังโหลดความคิดเห็น