โดย : ปิ่น บุตรี
เพชรบุรีจังหวัดนี้มีดีหลากหลาย เอาแค่ชื่อเมืองนี่ก็ทั้งรวยทั้งดีสุดยอดแล้ว เพราะเป็นเมือง(บุรี)เพชร ส่วนด้านสถานที่ท่องเที่ยวเพชรบุรีไม่เพียงมีดีในลำดับต้นๆของเมืองไทย แถมยังมีครบเครื่องอีกต่างหาก ทั้ง ทะเล ธรรมชาติป่าเขา วัด วัง ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิต อาหารการกิน ดังคำขวัญจังหวัดที่ว่า “เขาวังคู่บ้าน ขนมหวาน เมืองพระ เลิศล้ำศิลปะ แดนธรรมะ ทะเลงาม เพชรบุรี”
นั่นจึงเป็นเหตุให้การเดินทางไปเยือนเมืองเพชรหนนี้ ผมเลือกพุ่งเป้าหมาย(แรก)ไปยัง“เขาวัง” หรือ”พระนครคีรี” ขุนเขาคู่บ้านคู่เมืองเพชรตลอดกาล สถานที่ท่องเที่ยวสุดคลาสสิคที่มากไปด้วยสิ่งชวนชมสารพัดสารพัน
แม้วันเวลาในแต่ละปีจะกลืนกินวัยเยา ทำให้ตั้งแต่เกิดมาปีนี้เป็นปีที่ผมแก่ที่สุด แต่สิ่งที่ผมพึงปฏิบัติทุกครั้งในการขึ้น-ลงเขาวังนั่นก็คือ การเดินขึ้น-ลงเขา เพราะเมื่อยังมีเรี่ยวแรงเราไม่ควรยอมจำนนต่อสภาพ อีกทั้งในเส้นทางเดินขึ้นเขาวังนี่ก็มีความสนใจให้สัมผัสกันทั่วไป
เริ่มตั้งแต่ปร๊าดแรกที่ย่างเท้าก้าวขึ้นเขา ก็มีเหล่า เจ้าเจี๊ยก-จ๋อ-หงอคง-เห้งเจีย-หนุมาน ออกมาต้อนรับขับไล่ เอ้ย!!! ไม่ใช่สิ พวกมันมาต้อนรับขับสู้ โดยส่วนใหญ่จะมารอ(ขอ)หม่ำอาหารจากผู้ใจบุญ บางตัววิ่งมาหา บางคนวิ่งตาม บางตัวหยิ่งทำเมินไม่สนใจ บางตัวอิ่ม อ้วนฉุ ค่อยเดินต้วมเตี้ยมมาอย่างช้างๆ ส่วนบางตัวก็น่าหมั่นไส้ วิ่งมากระโดดแยกเขี้ยวใส่ ในอาการประมาณว่า ...ข้าหิว นายต้องซื้อกล้วย ข้าวโพด ที่แม่ค้าวางขายริมทางให้ข้านะ เรียกว่า(ลิง)กร่างน่าดู...
แต่ประทานโทษ เท่าที่เห็นมา ไอ้พวกลิงตัวกร่างนี่มักจะอด ส่วนพวกลิงนอบน้อม ลิงน่ารัก นี่มักจะได้ของกินกันอยู่เรื่อยๆ
ก็แหม...นิสัยคนไทยไม่ว่า คนหรือลิง หากทำตัวกร่าง สังคมย่อมไม่ชอบเป็นธรรมดา ยิ่งทำตัวกร่างประเภท มึงรู้มั้ย!!! กูลูกใครนี่ ยิ่งถูกสังคมแอนตี้ดีนักแล ส่วนพวกที่ชอบทำตัวยโส-โอหัง แบบประมาณว่า ข้าจบนอก พูดภาษาปะกิตเก่งเป็นไฟจนเกิดอีโก้ไหลล้น อีกทั้งยังชอบแสดงความขี้เท่อต่อสาธารณะอยู่บ่อยครั้ง ไอ้พวกนี้สังคมก็ไม่“ปลื้ม”เช่นกัน
สำหรับช่วงต้นทางขึ้นเขาวังนี่ ผมว่ามันดูไม่ต่างจาก“ถนนสายลิง”เท่าไหร่ แต่เป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น เพราะพอถึงยัง“วัดมหาสมณาราม” ก็ถือเป็นจุดสิ้นสุดเขตให้อาหารลิง แต่งานนี้ใช่ว่าไปจะเป็นเขตปลอดเจ้าจ๋อนะ เพราะพวกมันยังคงปีนป่าย-ส่ายสอด-กระโดด-โลดเต้น-ทะเล้น-ทะลึ่ง-ตึงตัง ให้เห็นอยู่บ้างประปรายในเส้นทางขึ้นเขาวัง
พ้นจากถนนสายลิงมาก็เป็นถนนสายลั่นทม เพราะ 2 ข้างทางเรียงรายหนาแน่นไปด้วยต้นลั่นทมหรือลีลาวดี ที่ช่วงนี้ผลัดใบเหลือแต่กิ่งก้านชูสยาย มองเห็นรูปฟอร์มอันสวยงามของเหล่าต้นลั่นทมได้อย่างชัดเจน ดูเข้ากันดีกับเส้นทางเดินที่ออกแบบอย่างสวยงาม เก๋า เก๋ เท่ห์ มีสไตล์ แต่เสียอย่างเดียว ดูโทรมไปหน่อย
หลังผ่านลิง ผ่านลั่นทม ทีนี้ก็มาถึงด่านสำคัญ นั่นก็คือด่านเก็บเงินที่พอตีตั๋วแล้ว ก็ถือว่าผมได้เข้าสู่เขตขาม พระนครคีรี อย่างเป็นทางการแล้ว
บนนี้มีที่เที่ยวหลายจุด เรียกว่าใครใคร่เดินไปชมจุดไหนก่อนก็เชิญตามสะดวก เขาไม่ได้เป็นเส้นทางบังคับเดิน แต่ว่าก่อนจะไปชมสิ่งน่าสนใจต่างๆ ผมขอเล่าคร่าวๆเกี่ยวกับเขาวังแห่งนี้สักหน่อย
เดิมนั้นเขาลูกนี้มีชื่อว่าเขาคีรี ต่อมาในสมัยอยุธยามีผู้มาสร้างวัดมหาสมณะที่เชิงเขา ชาวบ้านจึงเรียกภูเขาลูกนี้ว่า “เขามหาสมณะ” หรือ “เขาสมน” (สะ-หมน) กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 4 ปี พ.ศ. 2404 พระองค์ได้เสด็จประพาสเมืองเพชรบุรี และทรงพอพระราชหฤทัยบรรยากาศและธรรมชาติบนเขาแห่งนี้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังขึ้น และพระราชทานนามให้เขาลูกนี้ใหม่ว่า เขามหาสวรรค์ และเรียกพระราชวังแห่งนี้"พระนครคีรี" ที่นับเป็นพระราชวังแห่งแรกของเมืองไทยที่สร้างขึ้นบนยอดเขา
แต่สำหรับชาวบ้าน พวกเขาต่างพากันเรียกเขาลูกนี้สั้นว่า“เขาวัง” ซึ่งเขาวังแห่งนี้ มียอดเขาอยู่ 3 ยอดด้วยกัน คือยอดเขาฝั่งทิศตะวันออก ยอดเขาตรงกลาง และยอดเขาฝั่งทิศตะวันตก
งานนี้ผมเลือกไปทางยอดเขาทางทิศตะวันตกก่อน จุดแรกไปยืนรับลมชมวิวเมืองเพชรที่ป้อมประจำทิศ แล้วจึงออกเดินต่อไปยังยอดเขาตะวันตก โดยตรงโรงรถ-โรงม้า ที่มีแม่ค้าตะโกนแข่งกันขายน้ำตาลสดรสหวานๆของเมืองเพชร ผมเห็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งไปก้มๆเงยๆนั่งๆยืนๆ ถ่ายรูปกับป้ายสัญลักษณ์ห้องน้ำที่ทำเป็นแท่นปูนรูป 3 เหลี่ยมโผล่ขึ้นมาจากพื้นเล็กน้อย มองแล้วดูดีมีสไตล์จนป้าแม่ค้าน้ำตาลสด ถึงกับตะโกนให้ได้ยินว่า
“เฮ้อ...มีแต่คนมาถ่ายรูปกับป้ายห้องน้ำ แต่ไม่ค่อยยอมแวะซื้อน้ำตาลสดกันเล้ย”
ผมฟังป้าแม่ค้าบ่นแล้วก็อดเห็นใจแกไม่ได้ จึงเดินไปยืนถ่ายรูปป้ายห้องน้ำตามกลุ่มเด็กๆพวกนั้นด้วย ก่อนที่จะถูกมนต์เสน่ห์ของป้ายเชิญชวนให้ไปฉิ้งฉ่องในห้องน้ำที่ออกแบบอย่างสวยงาม มีเสน่ห์ ที่หากว่าถ้ามองภายนอกแบบไม่สูดกลิ่นก็จะไม่รู้ว่าเป็นห้องน้ำ แต่ถ้าหากลองสูดกลิ่นเข้าไปสักปื๊ดก็จะรู้ได้ทันทีว่านี่คือห้องน้ำ แถมเป็นห้องน้ำที่คนใช้ไม่ค่อยจะราดน้ำกันเสียด้วยสิ อนิจจา...
เอาล่ะ เมื่อยิงกระต่ายสบายตัว ขากลับออกมาผมแวะดูหนุ่มๆสาวๆที่มาวาดรูปสถาปัตยกรรมบนเขาวังเพื่อรำลึกถึงอดีตสมัยเรียนศิลปะ แต่จู่ๆก็มีเสียงร้องวี๊ดว้ายขึ้น พร้อมกับการแตกฮือของกลุ่มวัยรุ่น เมื่อมีเจ้าจ๋อตัวหนึ่งกระโดดไปหยิบสีและคุ้ยข้าวของในกระเป๋าของวัยรุ่นกลุ่มนั้น
“พี่เคอะ ช่วยไล่ลิงให้หนูหน่อย”
เฮ้อ..นี่เห็นผมเป็นพวกเดียวกับมันอย่างไร ถึงได้มาขอร้องให้ช่วยไล่ไปให้พ้นๆ แต่เมื่อมองหน้าของสาวน้อยคนหนึ่งที่ตาละห้อยเหมือนจะร้องไห้ ผมจึง(พยายามโชว์แมน)ลองไปตะโกนชิ่วๆไล่ลิง ซึ่งก็ปรากฏว่าได้ผลแฮะ คือมันแยกเขี้ยววิ่งเข้าใส่ แบบทำวงแตกกระเจิงอีกครั้ง
เลยสรุปว่างานนี้ผมขอบาย ปล่อยให้น้องๆเขาหาวิธีไล่เจ้าจ๋อเอาเอง ส่วนผมขอจรลีไปต่อยังศาลาเย็นใจ เพื่อพักเหนื่อย พักใจ รักษาอาการหน้าแตกแหกริ้ว เรียกฟอร์มที่เสียไปกลับมา ก่อนจะติดเครื่องเดินลุยถั่วขึ้นยอดเขาตะวันตกกันอย่างจริงๆจังๆ
ในเส้นทางนี้ผมผ่านอาคารหลักๆอย่าง ศาลาด่านหน้า-ด่านกลาง พระที่นั่งสันถาคารสถาน จากนั้นจึงถึงยังยอดเขาตะวันตก อันเป็นที่ตั้งของหมู่พระมหามณเฑียรสถานและพระที่นั่งสำคัญ 4 หลัง คือ
พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ อันเป็นพระที่นั่งประธาน งดงามด้วยสถาปัตยกรรมผสมยุโรป-ไทย-จีน โดยบางส่วนจัดทำเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี
พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์ เป็นอาคาร 2 ชั้นคล้ายเก๋งจีน สร้างเชื่อมต่อกับพระที่นั่งเพชรภูมิฯ เป็นที่จัดแสดงเครื่องราชูปโภค เช่น พระแท่นบรรทม พระฉาย (กระจกเงา) บานใหญ่ เครื่องมุก เครื่องถ้วยชามต่างๆ
พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท เป็นปราสาทยอดปรางค์แบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 4 มีลักษณะเป็นปราสาทจตุรมุข มียอดปรางค์ 5 ยอด ภายในประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 4
และพระที่นั่งราชธรรมสภา เป็นอาคารผสมยุโรป-จีน-ไทย โดยข้างๆเป็นที่ตั้งของหอชัชวาลเวียงชัย หรือหอดูดาว ลักษณะทรงกลมรูปโดมคล้ายกระโจมแก้ว ที่ด้านระเบียงฝั่งหอดูดาว เมื่อมองออกไปจะเห็นวัดพระแก้วน้อยบนยอดเขาตะวันออก ตั้งตระหง่านโดดเด่น ส่วนอีกฟากหนึ่งก็จะเห็นเจดีย์พระธาตุจอมเพชรสีขาวเด่นตั้งตระหง่านบนยอดเขาลูกกลาง
สำหรับในหน้าแล้งร้อนเช่นนี้ มีความพิเศษตรงที่ดอกลั่นทมบนเขาวังต่างพร้อมใจกันออกดอกสีขาวอมเหลืองบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมเย็นไปทั่วขุนเขา ดูประหนึ่งกับทุ่งลั่นทม ที่ 1 ปี จะมีเพียงฤดูกาลเดียวนั่นก็คือในช่วงประมาณเดือน ก.พ.ถึงต้น เดือน พ.ค.
หลังถูกยั่วอารมณ์ด้วยทิวทัศน์ของยอดเขาลูกกลางและยอดตะวันตก เมื่อชมสิ่งน่าสนใจบนยอดเขาตะวันตกจนจุใจแล้ว ผมจึงออกเดินต่อไปยังยอดเขาลูกกลาง เพื่อสักการะพระธาตุจอมเพชร สีขาวเด่น ที่รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายในองค์พระธาตุเจดีย์
ต่อจากนั้นก็ไปยังยอดเขาตะวันออก สำหรับยอดเขาสุดท้ายนี้มีไฮไลท์อยู่ที่ วัดพระแก้วน้อย ซึ่งรัชกาลที่ 4 โปรดฯให้สร้างเพื่อเป็นวัดในวัง เหมือนที่กรุงเทพฯ ที่มีวัดพระแก้วอยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง
วัดพระแก้วน้อย จำลองแบบมาจากวัดพระแก้วภายในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ มีสิ่งน่าสนใจ คือ พระอุโบสถที่แม้จะมีขนาดเล็กแต่ว่าสวยงามไปด้วยศิลปะเมืองเพชร พระปรางค์แดง ที่ดูโดดเด่นเห็นแต่ไกลด้วยสีแดงแจ่ม เป็นพระปรางค์ที่ต่างจากปรางค์ทั่วไป คือเป็นปรางโปร่งทั้งองค์ พระสุทธเสลเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่สลักหินทำที่เกาะสีชัง และถอดเป็นชิ้นใส่เรือมาประกอบที่วัดพระแก้วน้อยแห่งนี้
เมื่อเดินครบ 3 ยอดเขา ผมก็ล่ำลาเขาวัง กลับอีกทางลงมาเข้าวัดมหาสมณาราม เพื่อชมภาพเขียนฝีมือขรัวอินโข่ง ก่อนออกจากวัดมาบรรจบกับทางเก่าบนถนนสายลิง ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในวัด มีแอ่งน้ำเล็กๆอยู่ แล้วบังเอิญว่ามีเจ้าจ๋อตัวน้อย ยืนเล่นน้ำอยู่ดูเป็นที่น่ารักน่ามอง
ระหว่างดูลิงน้อยเล่นน้ำอยู่เพลินๆ จู่ๆ ผมรู้สึกว่าปากกาลูกลื่นที่เหน็บในกระเป๋ากางเกง ได้ถูกมือดีดึงออกไปอย่างรวดเร็ว
โอ้..ใครหนอช่างมีวิชาตัวเบาเป็นเลิศปานประหนึ่งจอมโจรจอมใจ ชอลิ่วเฮียง แอบย่องเบาเข้ามาชนิดผมไม่รู้สึกตัว
หะแรกที่ปากกาโดนฉกนั้น ผมนึกว่าวัยรุ่นแถวนั้นจะแกล้งแหย่ผมเล่น แต่ปรากฏว่าพอหันหน้าไป ไม่เห็นใครสักคน เห็นแต่เจ้าจ๋อหางยาว ยืนเล่นปากกาผมอย่างไม่เกรงใจเจ้าของ เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าจ๋อเมื่อเห็นผมมองปากกาด้านนั้น มันกลับแสดงความเป็นเจ้าของหน้าตาเฉยด้วยการ แยกเขี้ยวใส่ แบบจะเอาเรื่อง
เฮ้อ..นี่ถ้าเป็นคนด้วยกันคงได้มีการฉะกันบ้างแล้ว แต่นี่เป็นลิง แล้วผมจะทำยังไงล่ะ เลยทำได้เพียงแค่กล่าวคำว่า
“อามิตตาพุทธ...”
แล้วปล่อยไปเลยตามเลย โดยไม่วายที่จะยืนตาละห้อยมองดูมันเอาปากกาด้ามโปรดของผมไปกัดแทะเล่นอย่างเมามันและสะใจเจ้าจ๋อมัน ดูแล้วชวนให้เกิดเกิดอารมณ์แค้นฝังลิงไม่น้อยเลย
สำหรับเรื่องนี้ถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจคนขึ้น-ลงเขาวังว่า ให้ระมัดระวังเจ้าพ่อตัวจริง-เสียงจริง อย่างเจ้าลิงพวกนี้ไว้ให้ดีๆ มิฉะนั้น ข้าวของ กระเป๋า มือถือ ของกิน และฯลฯ อาจจะถูกพวกมันแอบฉกเอาไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวชนิดหมดสิทธิ์เอาคืน อย่างที่ผมโดนมาแล้ว ซึ่งสิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงยอมรับสภาพ
ส่วนถ้าใครที่โดนลิงเขาวังฉกของแบบผม หากจะคิดแก้แค้นลิงด้วยการเลิกใส่กางเกงลิง ผมก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในแนวคิดนี้ด้วยประการทั้งปวง
*****************************************
เขาวังหรือพระนครคีรี ตั้งอยู่ที่ อ. เมือง จ.เพชรบุรี เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9.00 – 16.00 น. ค่าเข้าชม คนไทย 20 บาท ต่างชาติ 40 บาท ยกเว้น พระภิกษุ สามเณร นักเรียน นักศึกษา ในเครื่องแบบ และแขกของทางราชการ เขาวังสามารถขึ้นได้ 2 วิธี คือเดินเท้าขึ้นกับนั่งรถรางไฟฟ้าขึ้น ทั้งนี้ผู้สนใจเที่ยวเขาวังสอบถามเพิ่มเติมที่ โทร.0-3240-1006,0-3242-5600
เพชรบุรีจังหวัดนี้มีดีหลากหลาย เอาแค่ชื่อเมืองนี่ก็ทั้งรวยทั้งดีสุดยอดแล้ว เพราะเป็นเมือง(บุรี)เพชร ส่วนด้านสถานที่ท่องเที่ยวเพชรบุรีไม่เพียงมีดีในลำดับต้นๆของเมืองไทย แถมยังมีครบเครื่องอีกต่างหาก ทั้ง ทะเล ธรรมชาติป่าเขา วัด วัง ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิต อาหารการกิน ดังคำขวัญจังหวัดที่ว่า “เขาวังคู่บ้าน ขนมหวาน เมืองพระ เลิศล้ำศิลปะ แดนธรรมะ ทะเลงาม เพชรบุรี”
นั่นจึงเป็นเหตุให้การเดินทางไปเยือนเมืองเพชรหนนี้ ผมเลือกพุ่งเป้าหมาย(แรก)ไปยัง“เขาวัง” หรือ”พระนครคีรี” ขุนเขาคู่บ้านคู่เมืองเพชรตลอดกาล สถานที่ท่องเที่ยวสุดคลาสสิคที่มากไปด้วยสิ่งชวนชมสารพัดสารพัน
แม้วันเวลาในแต่ละปีจะกลืนกินวัยเยา ทำให้ตั้งแต่เกิดมาปีนี้เป็นปีที่ผมแก่ที่สุด แต่สิ่งที่ผมพึงปฏิบัติทุกครั้งในการขึ้น-ลงเขาวังนั่นก็คือ การเดินขึ้น-ลงเขา เพราะเมื่อยังมีเรี่ยวแรงเราไม่ควรยอมจำนนต่อสภาพ อีกทั้งในเส้นทางเดินขึ้นเขาวังนี่ก็มีความสนใจให้สัมผัสกันทั่วไป
เริ่มตั้งแต่ปร๊าดแรกที่ย่างเท้าก้าวขึ้นเขา ก็มีเหล่า เจ้าเจี๊ยก-จ๋อ-หงอคง-เห้งเจีย-หนุมาน ออกมาต้อนรับขับไล่ เอ้ย!!! ไม่ใช่สิ พวกมันมาต้อนรับขับสู้ โดยส่วนใหญ่จะมารอ(ขอ)หม่ำอาหารจากผู้ใจบุญ บางตัววิ่งมาหา บางคนวิ่งตาม บางตัวหยิ่งทำเมินไม่สนใจ บางตัวอิ่ม อ้วนฉุ ค่อยเดินต้วมเตี้ยมมาอย่างช้างๆ ส่วนบางตัวก็น่าหมั่นไส้ วิ่งมากระโดดแยกเขี้ยวใส่ ในอาการประมาณว่า ...ข้าหิว นายต้องซื้อกล้วย ข้าวโพด ที่แม่ค้าวางขายริมทางให้ข้านะ เรียกว่า(ลิง)กร่างน่าดู...
แต่ประทานโทษ เท่าที่เห็นมา ไอ้พวกลิงตัวกร่างนี่มักจะอด ส่วนพวกลิงนอบน้อม ลิงน่ารัก นี่มักจะได้ของกินกันอยู่เรื่อยๆ
ก็แหม...นิสัยคนไทยไม่ว่า คนหรือลิง หากทำตัวกร่าง สังคมย่อมไม่ชอบเป็นธรรมดา ยิ่งทำตัวกร่างประเภท มึงรู้มั้ย!!! กูลูกใครนี่ ยิ่งถูกสังคมแอนตี้ดีนักแล ส่วนพวกที่ชอบทำตัวยโส-โอหัง แบบประมาณว่า ข้าจบนอก พูดภาษาปะกิตเก่งเป็นไฟจนเกิดอีโก้ไหลล้น อีกทั้งยังชอบแสดงความขี้เท่อต่อสาธารณะอยู่บ่อยครั้ง ไอ้พวกนี้สังคมก็ไม่“ปลื้ม”เช่นกัน
สำหรับช่วงต้นทางขึ้นเขาวังนี่ ผมว่ามันดูไม่ต่างจาก“ถนนสายลิง”เท่าไหร่ แต่เป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น เพราะพอถึงยัง“วัดมหาสมณาราม” ก็ถือเป็นจุดสิ้นสุดเขตให้อาหารลิง แต่งานนี้ใช่ว่าไปจะเป็นเขตปลอดเจ้าจ๋อนะ เพราะพวกมันยังคงปีนป่าย-ส่ายสอด-กระโดด-โลดเต้น-ทะเล้น-ทะลึ่ง-ตึงตัง ให้เห็นอยู่บ้างประปรายในเส้นทางขึ้นเขาวัง
พ้นจากถนนสายลิงมาก็เป็นถนนสายลั่นทม เพราะ 2 ข้างทางเรียงรายหนาแน่นไปด้วยต้นลั่นทมหรือลีลาวดี ที่ช่วงนี้ผลัดใบเหลือแต่กิ่งก้านชูสยาย มองเห็นรูปฟอร์มอันสวยงามของเหล่าต้นลั่นทมได้อย่างชัดเจน ดูเข้ากันดีกับเส้นทางเดินที่ออกแบบอย่างสวยงาม เก๋า เก๋ เท่ห์ มีสไตล์ แต่เสียอย่างเดียว ดูโทรมไปหน่อย
หลังผ่านลิง ผ่านลั่นทม ทีนี้ก็มาถึงด่านสำคัญ นั่นก็คือด่านเก็บเงินที่พอตีตั๋วแล้ว ก็ถือว่าผมได้เข้าสู่เขตขาม พระนครคีรี อย่างเป็นทางการแล้ว
บนนี้มีที่เที่ยวหลายจุด เรียกว่าใครใคร่เดินไปชมจุดไหนก่อนก็เชิญตามสะดวก เขาไม่ได้เป็นเส้นทางบังคับเดิน แต่ว่าก่อนจะไปชมสิ่งน่าสนใจต่างๆ ผมขอเล่าคร่าวๆเกี่ยวกับเขาวังแห่งนี้สักหน่อย
เดิมนั้นเขาลูกนี้มีชื่อว่าเขาคีรี ต่อมาในสมัยอยุธยามีผู้มาสร้างวัดมหาสมณะที่เชิงเขา ชาวบ้านจึงเรียกภูเขาลูกนี้ว่า “เขามหาสมณะ” หรือ “เขาสมน” (สะ-หมน) กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 4 ปี พ.ศ. 2404 พระองค์ได้เสด็จประพาสเมืองเพชรบุรี และทรงพอพระราชหฤทัยบรรยากาศและธรรมชาติบนเขาแห่งนี้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังขึ้น และพระราชทานนามให้เขาลูกนี้ใหม่ว่า เขามหาสวรรค์ และเรียกพระราชวังแห่งนี้"พระนครคีรี" ที่นับเป็นพระราชวังแห่งแรกของเมืองไทยที่สร้างขึ้นบนยอดเขา
แต่สำหรับชาวบ้าน พวกเขาต่างพากันเรียกเขาลูกนี้สั้นว่า“เขาวัง” ซึ่งเขาวังแห่งนี้ มียอดเขาอยู่ 3 ยอดด้วยกัน คือยอดเขาฝั่งทิศตะวันออก ยอดเขาตรงกลาง และยอดเขาฝั่งทิศตะวันตก
งานนี้ผมเลือกไปทางยอดเขาทางทิศตะวันตกก่อน จุดแรกไปยืนรับลมชมวิวเมืองเพชรที่ป้อมประจำทิศ แล้วจึงออกเดินต่อไปยังยอดเขาตะวันตก โดยตรงโรงรถ-โรงม้า ที่มีแม่ค้าตะโกนแข่งกันขายน้ำตาลสดรสหวานๆของเมืองเพชร ผมเห็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งไปก้มๆเงยๆนั่งๆยืนๆ ถ่ายรูปกับป้ายสัญลักษณ์ห้องน้ำที่ทำเป็นแท่นปูนรูป 3 เหลี่ยมโผล่ขึ้นมาจากพื้นเล็กน้อย มองแล้วดูดีมีสไตล์จนป้าแม่ค้าน้ำตาลสด ถึงกับตะโกนให้ได้ยินว่า
“เฮ้อ...มีแต่คนมาถ่ายรูปกับป้ายห้องน้ำ แต่ไม่ค่อยยอมแวะซื้อน้ำตาลสดกันเล้ย”
ผมฟังป้าแม่ค้าบ่นแล้วก็อดเห็นใจแกไม่ได้ จึงเดินไปยืนถ่ายรูปป้ายห้องน้ำตามกลุ่มเด็กๆพวกนั้นด้วย ก่อนที่จะถูกมนต์เสน่ห์ของป้ายเชิญชวนให้ไปฉิ้งฉ่องในห้องน้ำที่ออกแบบอย่างสวยงาม มีเสน่ห์ ที่หากว่าถ้ามองภายนอกแบบไม่สูดกลิ่นก็จะไม่รู้ว่าเป็นห้องน้ำ แต่ถ้าหากลองสูดกลิ่นเข้าไปสักปื๊ดก็จะรู้ได้ทันทีว่านี่คือห้องน้ำ แถมเป็นห้องน้ำที่คนใช้ไม่ค่อยจะราดน้ำกันเสียด้วยสิ อนิจจา...
เอาล่ะ เมื่อยิงกระต่ายสบายตัว ขากลับออกมาผมแวะดูหนุ่มๆสาวๆที่มาวาดรูปสถาปัตยกรรมบนเขาวังเพื่อรำลึกถึงอดีตสมัยเรียนศิลปะ แต่จู่ๆก็มีเสียงร้องวี๊ดว้ายขึ้น พร้อมกับการแตกฮือของกลุ่มวัยรุ่น เมื่อมีเจ้าจ๋อตัวหนึ่งกระโดดไปหยิบสีและคุ้ยข้าวของในกระเป๋าของวัยรุ่นกลุ่มนั้น
“พี่เคอะ ช่วยไล่ลิงให้หนูหน่อย”
เฮ้อ..นี่เห็นผมเป็นพวกเดียวกับมันอย่างไร ถึงได้มาขอร้องให้ช่วยไล่ไปให้พ้นๆ แต่เมื่อมองหน้าของสาวน้อยคนหนึ่งที่ตาละห้อยเหมือนจะร้องไห้ ผมจึง(พยายามโชว์แมน)ลองไปตะโกนชิ่วๆไล่ลิง ซึ่งก็ปรากฏว่าได้ผลแฮะ คือมันแยกเขี้ยววิ่งเข้าใส่ แบบทำวงแตกกระเจิงอีกครั้ง
เลยสรุปว่างานนี้ผมขอบาย ปล่อยให้น้องๆเขาหาวิธีไล่เจ้าจ๋อเอาเอง ส่วนผมขอจรลีไปต่อยังศาลาเย็นใจ เพื่อพักเหนื่อย พักใจ รักษาอาการหน้าแตกแหกริ้ว เรียกฟอร์มที่เสียไปกลับมา ก่อนจะติดเครื่องเดินลุยถั่วขึ้นยอดเขาตะวันตกกันอย่างจริงๆจังๆ
ในเส้นทางนี้ผมผ่านอาคารหลักๆอย่าง ศาลาด่านหน้า-ด่านกลาง พระที่นั่งสันถาคารสถาน จากนั้นจึงถึงยังยอดเขาตะวันตก อันเป็นที่ตั้งของหมู่พระมหามณเฑียรสถานและพระที่นั่งสำคัญ 4 หลัง คือ
พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ อันเป็นพระที่นั่งประธาน งดงามด้วยสถาปัตยกรรมผสมยุโรป-ไทย-จีน โดยบางส่วนจัดทำเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี
พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์ เป็นอาคาร 2 ชั้นคล้ายเก๋งจีน สร้างเชื่อมต่อกับพระที่นั่งเพชรภูมิฯ เป็นที่จัดแสดงเครื่องราชูปโภค เช่น พระแท่นบรรทม พระฉาย (กระจกเงา) บานใหญ่ เครื่องมุก เครื่องถ้วยชามต่างๆ
พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท เป็นปราสาทยอดปรางค์แบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 4 มีลักษณะเป็นปราสาทจตุรมุข มียอดปรางค์ 5 ยอด ภายในประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 4
และพระที่นั่งราชธรรมสภา เป็นอาคารผสมยุโรป-จีน-ไทย โดยข้างๆเป็นที่ตั้งของหอชัชวาลเวียงชัย หรือหอดูดาว ลักษณะทรงกลมรูปโดมคล้ายกระโจมแก้ว ที่ด้านระเบียงฝั่งหอดูดาว เมื่อมองออกไปจะเห็นวัดพระแก้วน้อยบนยอดเขาตะวันออก ตั้งตระหง่านโดดเด่น ส่วนอีกฟากหนึ่งก็จะเห็นเจดีย์พระธาตุจอมเพชรสีขาวเด่นตั้งตระหง่านบนยอดเขาลูกกลาง
สำหรับในหน้าแล้งร้อนเช่นนี้ มีความพิเศษตรงที่ดอกลั่นทมบนเขาวังต่างพร้อมใจกันออกดอกสีขาวอมเหลืองบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมเย็นไปทั่วขุนเขา ดูประหนึ่งกับทุ่งลั่นทม ที่ 1 ปี จะมีเพียงฤดูกาลเดียวนั่นก็คือในช่วงประมาณเดือน ก.พ.ถึงต้น เดือน พ.ค.
หลังถูกยั่วอารมณ์ด้วยทิวทัศน์ของยอดเขาลูกกลางและยอดตะวันตก เมื่อชมสิ่งน่าสนใจบนยอดเขาตะวันตกจนจุใจแล้ว ผมจึงออกเดินต่อไปยังยอดเขาลูกกลาง เพื่อสักการะพระธาตุจอมเพชร สีขาวเด่น ที่รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายในองค์พระธาตุเจดีย์
ต่อจากนั้นก็ไปยังยอดเขาตะวันออก สำหรับยอดเขาสุดท้ายนี้มีไฮไลท์อยู่ที่ วัดพระแก้วน้อย ซึ่งรัชกาลที่ 4 โปรดฯให้สร้างเพื่อเป็นวัดในวัง เหมือนที่กรุงเทพฯ ที่มีวัดพระแก้วอยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง
วัดพระแก้วน้อย จำลองแบบมาจากวัดพระแก้วภายในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ มีสิ่งน่าสนใจ คือ พระอุโบสถที่แม้จะมีขนาดเล็กแต่ว่าสวยงามไปด้วยศิลปะเมืองเพชร พระปรางค์แดง ที่ดูโดดเด่นเห็นแต่ไกลด้วยสีแดงแจ่ม เป็นพระปรางค์ที่ต่างจากปรางค์ทั่วไป คือเป็นปรางโปร่งทั้งองค์ พระสุทธเสลเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่สลักหินทำที่เกาะสีชัง และถอดเป็นชิ้นใส่เรือมาประกอบที่วัดพระแก้วน้อยแห่งนี้
เมื่อเดินครบ 3 ยอดเขา ผมก็ล่ำลาเขาวัง กลับอีกทางลงมาเข้าวัดมหาสมณาราม เพื่อชมภาพเขียนฝีมือขรัวอินโข่ง ก่อนออกจากวัดมาบรรจบกับทางเก่าบนถนนสายลิง ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในวัด มีแอ่งน้ำเล็กๆอยู่ แล้วบังเอิญว่ามีเจ้าจ๋อตัวน้อย ยืนเล่นน้ำอยู่ดูเป็นที่น่ารักน่ามอง
ระหว่างดูลิงน้อยเล่นน้ำอยู่เพลินๆ จู่ๆ ผมรู้สึกว่าปากกาลูกลื่นที่เหน็บในกระเป๋ากางเกง ได้ถูกมือดีดึงออกไปอย่างรวดเร็ว
โอ้..ใครหนอช่างมีวิชาตัวเบาเป็นเลิศปานประหนึ่งจอมโจรจอมใจ ชอลิ่วเฮียง แอบย่องเบาเข้ามาชนิดผมไม่รู้สึกตัว
หะแรกที่ปากกาโดนฉกนั้น ผมนึกว่าวัยรุ่นแถวนั้นจะแกล้งแหย่ผมเล่น แต่ปรากฏว่าพอหันหน้าไป ไม่เห็นใครสักคน เห็นแต่เจ้าจ๋อหางยาว ยืนเล่นปากกาผมอย่างไม่เกรงใจเจ้าของ เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าจ๋อเมื่อเห็นผมมองปากกาด้านนั้น มันกลับแสดงความเป็นเจ้าของหน้าตาเฉยด้วยการ แยกเขี้ยวใส่ แบบจะเอาเรื่อง
เฮ้อ..นี่ถ้าเป็นคนด้วยกันคงได้มีการฉะกันบ้างแล้ว แต่นี่เป็นลิง แล้วผมจะทำยังไงล่ะ เลยทำได้เพียงแค่กล่าวคำว่า
“อามิตตาพุทธ...”
แล้วปล่อยไปเลยตามเลย โดยไม่วายที่จะยืนตาละห้อยมองดูมันเอาปากกาด้ามโปรดของผมไปกัดแทะเล่นอย่างเมามันและสะใจเจ้าจ๋อมัน ดูแล้วชวนให้เกิดเกิดอารมณ์แค้นฝังลิงไม่น้อยเลย
สำหรับเรื่องนี้ถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจคนขึ้น-ลงเขาวังว่า ให้ระมัดระวังเจ้าพ่อตัวจริง-เสียงจริง อย่างเจ้าลิงพวกนี้ไว้ให้ดีๆ มิฉะนั้น ข้าวของ กระเป๋า มือถือ ของกิน และฯลฯ อาจจะถูกพวกมันแอบฉกเอาไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวชนิดหมดสิทธิ์เอาคืน อย่างที่ผมโดนมาแล้ว ซึ่งสิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงยอมรับสภาพ
ส่วนถ้าใครที่โดนลิงเขาวังฉกของแบบผม หากจะคิดแก้แค้นลิงด้วยการเลิกใส่กางเกงลิง ผมก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในแนวคิดนี้ด้วยประการทั้งปวง
*****************************************
เขาวังหรือพระนครคีรี ตั้งอยู่ที่ อ. เมือง จ.เพชรบุรี เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9.00 – 16.00 น. ค่าเข้าชม คนไทย 20 บาท ต่างชาติ 40 บาท ยกเว้น พระภิกษุ สามเณร นักเรียน นักศึกษา ในเครื่องแบบ และแขกของทางราชการ เขาวังสามารถขึ้นได้ 2 วิธี คือเดินเท้าขึ้นกับนั่งรถรางไฟฟ้าขึ้น ทั้งนี้ผู้สนใจเที่ยวเขาวังสอบถามเพิ่มเติมที่ โทร.0-3240-1006,0-3242-5600