โดย:เหล็งฮู้ชง

มังกร ถือเป็นสัตว์กึ่งเทพที่คนจีนให้ความเคารพนับถือมานับแต่บรรพกาล มังกรเกี่ยวพันกับวิถีคนจีนมากหลาย ด้วยเหตุนี้ชาวจีนสมัยก่อนจึงนิยมตั้งชื่อหรือสร้างสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวพันกับมังกรขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
หนึ่งในนั้นก็คือการสร้าง“ถ้ำหินสลักประตูมังกร” (หลงเหมินสือคู)หรือที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดีในนามของ “ถ้ำหินหลงเหมิน”อันลือลั่น
ถ้ำหินหลงเหมิน ตั้งอยู่ในเมืองลั่วหยาง(ห่างจากตัวเมืองไปทางตอนใต้ประมาณ 13 กม.) แห่งมณฑลเหอหนาน มณฑลที่มีประชากรมากที่สุดในจีน และมีเมืองเก่าเป็นอดีตราชธานีของจีนถึง 3 เมือง อันหยาง ลั่วหยาง ไคเฟิง จาก 7 เมืองราชธานีประเทศ(4 เมืองราชธานีที่เหลือคือ ซีอาน(ฉางอาน) หางโจว หนานจิง และ ปักกิ่ง)

รู้จักถ้ำหินหลงเหมิน
น้องฟ้อน(ชื่อจีนคือฟ่ง)ไกด์สาวชาวจีนหน้าตาน่ารัก เล่าให้ผมฟังระหว่างที่เดินทางจากเมืองซีอานมณฑลส่านซี(เราเริ่มเดินทางที่นี่เนื่องจากเป็นเมืองใกล้เคียงที่มีสายการบินจากเมืองไทยบินตรงมาลงที่ซีอาน)สู่เมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน ว่า ถ้ำหินหลงเหมิน เป็น 1 ใน 3 ถ้ำหินสลักอันสุดงดงามวิจิตรของจีน (ถ้ำหินสลักอีก 2 แห่งคือ ถ้ำหินโม่เกา เมืองตุนหวง มณฑลกานซู่ และถ้ำหินหยุนกัง เมือง ต้าถง มณฑลซานซี) ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ. 2000
“ถ้ำหินหลงเหมินได้ชื่อว่าเป็นถ้ำที่สลักรูปพระพุทธรูปได้งดงามที่สุด และมีใบหน้าเหมือนชาวจีนมากที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นถ้ำหินที่มีฮวงจุ้ยดีมาก ติดภูเขา แม่น้ำ คนจีนสมัยก่อนจึงถือว่าที่นี่เป็นดังประตูมังกร”

น้องฟ้อนเล่าให้ฟังด้วยภาษาไทยสำเนียงจีน ก่อนพูดถึงต้นกำเนิดของถ้ำหินหลงเหมินว่า สร้างขึ้นในรัชสมัยของ“ฮ่องเต้เสี้ยวเหวินตี้” (ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 471-499) แห่งราชวงศ์วุ่ย โดยสั่งให้ให้ช่างแกะสลักพระพุทธรูปขึ้นที่หน้าผาแห่งนี้ เพื่อเป็นการทำนุบำรุงพุทธศาสนา(นอกจากนี้ฮ่องเต้เสี้ยวเหวินตี้ยังเป็นผู้สร้างวัดเส้าหลินอันลือลั่นอีกด้วย) โดยมีวัดถ้ำกู่หยาง สร้างขึ้นเป็นวัดแรกสุด ที่มีการสลักพระพุทธรูปในถ้ำเป็นรูปพระพุทธเจ้า รูปพระศรีอาริย์ฯ ในอิริยาบถต่างๆ
หลังจากนั้นถ้ำหินหลงเหมินได้มีการแกะสลักเพิ่มเติมในยุคต่อๆมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ก่อนจะไปสิ้นสุดในราชวงศ์ถัง รวมระยะเวลาได้ 400 กว่าปี มีระยะทางรวมประมาณ 1.5 กิโลเมตร มีผาแกะสลักประมาณ 1,300 คูหา มีโพรงแท่นบูชา 2,345 ช่อง มีศิลาจารึกสลักอักษรจีนแลบันทึกต่างๆกว่า 3,600 หลัก มีเจดีย์พุทธแกะสลักกว่า 50 องค์ มีพระพุทธรูปองค์น้อยใหญ่แกะสลักกว่า 100,000 องค์

ปัจจุบันถ้ำหินหลงเหมินถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยวของมณฑลเหอหนานและเมืองลั่วหยาง ที่แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมถ้ำหินแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก โดยหนึ่งในนั้นก็คือผมนั่นเอง
ยลโฉมพระบางบูเช็กเทียน
หลังน้องฟ้อนเล่าเรื่องราวของถ้ำหินหลงเหมินให้ฟังเป็นการอุ่นเครื่อง เมื่อเรามาถึงยังถ้ำหินสถานที่จริง พอลงจากรถผมก็รีบเดินตามน้องฟ้อนเข้าสู่ประตูมังกรทันที ซึ่งเห็นได้ชัดว่าฮวงจุ้ยที่นี่ดีเยี่ยมเหมาะแก่การท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีแม่น้ำอีเหออันไหลผ่ากลาง แบ่งถ้ำหินออกเป็นฝั่งตะวันออกและตะวันตก มีสะพานเชื่อม 2 ฟากฝั่ง สร้างอยู่บริเวณหัว-ท้าย
จากสะพานด้านทางเข้าเมื่อเดินไปก็จะได้ตื่นตาตื่นใจกับศิลปะการแกะสลักหินหลายยุคหลายสมัยเป็นพระพุทธรูปน้อย-ใหญ่ เจดีย์ และเทพเจ้าต่างๆ โดยที่น่าสนใจก็มี

วัดถ้ำปิงหยัง ที่ดูโดดเด่นไปด้วยพระพุทธรูปใบหน้าวงรีเป็นรูปไข่ และรูปร่างที่สูงเพรียว โดยที่ถ้ำแห่งนี้ได้แกะสลักรูปฮ่องเต้เสี้ยวเหวินตี้และไทเฮากำลังประกอบพิธีทางศาสนาอยู่
วัดถ้ำพระพุทธรูปหมื่นองค์ ถ้ำแห่งนี้มีพระประทานประทับอยู่บนดอกบัว ล้อมรอบด้วยสาวกมากมายทั้งบนผนังและเพดานถ้ำกว่า 15,000 องค์ พระพุทธรูปบางองค์ที่นี่ถูกนักท่องเที่ยวสัมผัสลูบคลำด้วยความศรัทธาจนดำเลื่อม ส่วนที่น่าอัศจรรย์ก็คือพระพุทธรูปองค์เล็กขนาดประมาณนิ้วมือที่มีจำนวนมากที่สุดในวัดถ้ำแห่งนี้
วัดถ้ำดอกบัว วัดนี้มีความพิเศษคือ บนเพดานถ้ำมีการแกะสลักดอกบัวขนาดใหญ่หนึ่งในสัญลักษณ์แห่งศาสนาพุทธไว้เหนือองค์พระประธาน ที่ดูแล้วงดงามแปลกตาเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนวัดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์และมีความงามที่สุด และเป็นวัดที่คุ้นหน้าคุ้นตาของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีก็คือ วัดเฟิ่งเซียน ที่นี่มี“พระพุทธรูปโรจนะ” พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดของถ้ำหินหลงเหมิน แกะสลักโดดเด่นเป็นพระประธาน มีความสูงถึง 17.4 เมตร มีพระเศียรสูงถึง 4 เมตร โดยที่ข้างองค์พระประธานยังมีรูปสลักของพระพุทธรูปและเทพเจ้าขนาดรองลงมายืนอยู่ที่ผนังถ้ำทั้ง 2 ด้าน
สำหรับองค์พระพุทธรูปโรจนะถือเป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามสมบูรณ์ที่สุด มีพระวรกายที่อวบอัด มีพระพักตร์กลมดูอิ่มเอิบสมบูรณ์ ถือเป็นงานศิลปะที่สะท้อนถึงรสนิยมความงามของราชวงศ์ถังได้เป็นอย่างดี
คนจีนส่วนใหญ่เชื่อว่าพระพักตร์ของพระพุทธรูปโรจนะองค์นี้ คือใบหน้าของ“พระนางบูเช็กเทียน” ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวแห่งแดนมังกร เพราะว่านางเป็นคนสั่งให้ช่างสร้างขึ้นมาด้วยความเชื่อที่ว่าตนเองคือพระอาริยเมตรไตรกลับชาติมาเกิด
เรื่องนี้จริง-เท็จอย่างไรคงต้องให้นักประวัติศาสตร์ชาวจีนไปศึกษาค้นคว้าต่อเอาเอง ส่วนเรื่องจริงที่ผมเห็นที่ถ้ำหินหลงเหมินในปัจจุบันก็คือ พระพุทธรูปที่นี่ถูกลักลอบตัดไปขายเป็นจำนวนมาก ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากนี่คือหนึ่งในแหล่งรวบรวมงานพุทธศิลป์ประเภทแกะสลักหินชั้นเยี่ยมแห่งหนึ่งของโลก ไม่น่าที่จะต้องมาถูกคนเห็นแก่ตัวทำลายจนมีสภาพย่ำแย่ไปเลย
ไหว้กวนอู เทพเจ้าผู้ซื่อสัตย์แห่งแดนมังกร
ในขณะที่ถ้ำหินหลงเหมินถูกคนขโมยพระพุทธรูปไปเป็นจำนวนมาก แต่กับที่“ศาลเทพเจ้ากวนอู" สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกแห่งหนึ่งในเมืองลั่วหยาง ที่เราเดินทางไปเยือนต่อจากถ้ำหินหลงเหมินนั้น น้องฟ้อนบอกว่า

“ที่นี่ไม่มีโจรกล้ามาขโมยของเลย เพราะโจรนอกจากจะกลัวกวนอูแล้ว ยังนับถือกวนอูมากอีกด้วย เพราะท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ ศาลเทพเจ้ากวนอูที่นี่ คือ 1 ใน 3 ศาลเจ้ากวนอู อันโด่งดังที่คนจีนเคารพศรัทธาและนิยมเดินทางมากราบไหว้ที่สุดใจเมืองจีน เนื่องจากเป็นที่ฝังศีรษะของกวนอู ส่วนอีก 2 แห่งอยู่ที่มณฑลซานซี บ้านเกิดของกวนอู และที่มณฑลเสฉวน เมืองที่กวนอูร่วมรบกับเล่าปี่”
น้องฟ้อนอธิบาย ก่อนพาผมเดินเข้าไปจุดธูปไหว้รูปเคารพเจ้าพ่อกวนอูที่ประดิษฐานอย่างขรึมขลังเปี่ยมศรัทธาในศาลเจ้า
หลังไหว้เทพเจ้ากวนอูแล้ว ผมอดนึกย้อนดูตนนึกถึงเมืองไทยไม่ได้ว่า นี่ถ้านักการเมืองและคณะรัฐมนตรีบ้านเราในแต่ละยุคแต่ละสมัยไม่ได้ มีพฤติกรรมซื่อสัตย์ กล้าหาญ เปี่ยมคุณธรรม กตัญญูรู้คุณต่อแผ่นดิน แม้เพียงเศษเสี้ยวของเทพเจ้ากวนอู ชาติบ้านเมืองไทยคงจะน่าอยู่และเจริญรุ่งเรืองกว่านี้(เยอะเลย)
*****************************************
การเดินทางสู่เมืองลั่วหยาง จากเมืองไทยมีสายการบิน“บางกอกแอร์เวย์ส” บินตรงจากกรุงเทพฯสู่เมืองซีอาน มณฑลส่านซี ซึ่งเป็นเมืองใกล้เคียงที่เดินทางจากเมืองไทยสะดวกที่สุด จากนั้นนั่งรถสู่เมืองลั่วหยาง มณฑลส่านซี อีกประมาณ 3-4 ชั่วโมง สำหรับผู้สนใจเที่ยวถ้ำหินหลงเหมินและศาลเจ้ากวนอูแห่งเมืองลั่วหยาง สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1771
มังกร ถือเป็นสัตว์กึ่งเทพที่คนจีนให้ความเคารพนับถือมานับแต่บรรพกาล มังกรเกี่ยวพันกับวิถีคนจีนมากหลาย ด้วยเหตุนี้ชาวจีนสมัยก่อนจึงนิยมตั้งชื่อหรือสร้างสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวพันกับมังกรขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
หนึ่งในนั้นก็คือการสร้าง“ถ้ำหินสลักประตูมังกร” (หลงเหมินสือคู)หรือที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดีในนามของ “ถ้ำหินหลงเหมิน”อันลือลั่น
ถ้ำหินหลงเหมิน ตั้งอยู่ในเมืองลั่วหยาง(ห่างจากตัวเมืองไปทางตอนใต้ประมาณ 13 กม.) แห่งมณฑลเหอหนาน มณฑลที่มีประชากรมากที่สุดในจีน และมีเมืองเก่าเป็นอดีตราชธานีของจีนถึง 3 เมือง อันหยาง ลั่วหยาง ไคเฟิง จาก 7 เมืองราชธานีประเทศ(4 เมืองราชธานีที่เหลือคือ ซีอาน(ฉางอาน) หางโจว หนานจิง และ ปักกิ่ง)
รู้จักถ้ำหินหลงเหมิน
น้องฟ้อน(ชื่อจีนคือฟ่ง)ไกด์สาวชาวจีนหน้าตาน่ารัก เล่าให้ผมฟังระหว่างที่เดินทางจากเมืองซีอานมณฑลส่านซี(เราเริ่มเดินทางที่นี่เนื่องจากเป็นเมืองใกล้เคียงที่มีสายการบินจากเมืองไทยบินตรงมาลงที่ซีอาน)สู่เมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน ว่า ถ้ำหินหลงเหมิน เป็น 1 ใน 3 ถ้ำหินสลักอันสุดงดงามวิจิตรของจีน (ถ้ำหินสลักอีก 2 แห่งคือ ถ้ำหินโม่เกา เมืองตุนหวง มณฑลกานซู่ และถ้ำหินหยุนกัง เมือง ต้าถง มณฑลซานซี) ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ. 2000
“ถ้ำหินหลงเหมินได้ชื่อว่าเป็นถ้ำที่สลักรูปพระพุทธรูปได้งดงามที่สุด และมีใบหน้าเหมือนชาวจีนมากที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นถ้ำหินที่มีฮวงจุ้ยดีมาก ติดภูเขา แม่น้ำ คนจีนสมัยก่อนจึงถือว่าที่นี่เป็นดังประตูมังกร”
น้องฟ้อนเล่าให้ฟังด้วยภาษาไทยสำเนียงจีน ก่อนพูดถึงต้นกำเนิดของถ้ำหินหลงเหมินว่า สร้างขึ้นในรัชสมัยของ“ฮ่องเต้เสี้ยวเหวินตี้” (ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 471-499) แห่งราชวงศ์วุ่ย โดยสั่งให้ให้ช่างแกะสลักพระพุทธรูปขึ้นที่หน้าผาแห่งนี้ เพื่อเป็นการทำนุบำรุงพุทธศาสนา(นอกจากนี้ฮ่องเต้เสี้ยวเหวินตี้ยังเป็นผู้สร้างวัดเส้าหลินอันลือลั่นอีกด้วย) โดยมีวัดถ้ำกู่หยาง สร้างขึ้นเป็นวัดแรกสุด ที่มีการสลักพระพุทธรูปในถ้ำเป็นรูปพระพุทธเจ้า รูปพระศรีอาริย์ฯ ในอิริยาบถต่างๆ
หลังจากนั้นถ้ำหินหลงเหมินได้มีการแกะสลักเพิ่มเติมในยุคต่อๆมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ก่อนจะไปสิ้นสุดในราชวงศ์ถัง รวมระยะเวลาได้ 400 กว่าปี มีระยะทางรวมประมาณ 1.5 กิโลเมตร มีผาแกะสลักประมาณ 1,300 คูหา มีโพรงแท่นบูชา 2,345 ช่อง มีศิลาจารึกสลักอักษรจีนแลบันทึกต่างๆกว่า 3,600 หลัก มีเจดีย์พุทธแกะสลักกว่า 50 องค์ มีพระพุทธรูปองค์น้อยใหญ่แกะสลักกว่า 100,000 องค์
ปัจจุบันถ้ำหินหลงเหมินถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยวของมณฑลเหอหนานและเมืองลั่วหยาง ที่แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมถ้ำหินแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก โดยหนึ่งในนั้นก็คือผมนั่นเอง
ยลโฉมพระบางบูเช็กเทียน
หลังน้องฟ้อนเล่าเรื่องราวของถ้ำหินหลงเหมินให้ฟังเป็นการอุ่นเครื่อง เมื่อเรามาถึงยังถ้ำหินสถานที่จริง พอลงจากรถผมก็รีบเดินตามน้องฟ้อนเข้าสู่ประตูมังกรทันที ซึ่งเห็นได้ชัดว่าฮวงจุ้ยที่นี่ดีเยี่ยมเหมาะแก่การท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีแม่น้ำอีเหออันไหลผ่ากลาง แบ่งถ้ำหินออกเป็นฝั่งตะวันออกและตะวันตก มีสะพานเชื่อม 2 ฟากฝั่ง สร้างอยู่บริเวณหัว-ท้าย
จากสะพานด้านทางเข้าเมื่อเดินไปก็จะได้ตื่นตาตื่นใจกับศิลปะการแกะสลักหินหลายยุคหลายสมัยเป็นพระพุทธรูปน้อย-ใหญ่ เจดีย์ และเทพเจ้าต่างๆ โดยที่น่าสนใจก็มี
วัดถ้ำปิงหยัง ที่ดูโดดเด่นไปด้วยพระพุทธรูปใบหน้าวงรีเป็นรูปไข่ และรูปร่างที่สูงเพรียว โดยที่ถ้ำแห่งนี้ได้แกะสลักรูปฮ่องเต้เสี้ยวเหวินตี้และไทเฮากำลังประกอบพิธีทางศาสนาอยู่
วัดถ้ำพระพุทธรูปหมื่นองค์ ถ้ำแห่งนี้มีพระประทานประทับอยู่บนดอกบัว ล้อมรอบด้วยสาวกมากมายทั้งบนผนังและเพดานถ้ำกว่า 15,000 องค์ พระพุทธรูปบางองค์ที่นี่ถูกนักท่องเที่ยวสัมผัสลูบคลำด้วยความศรัทธาจนดำเลื่อม ส่วนที่น่าอัศจรรย์ก็คือพระพุทธรูปองค์เล็กขนาดประมาณนิ้วมือที่มีจำนวนมากที่สุดในวัดถ้ำแห่งนี้
วัดถ้ำดอกบัว วัดนี้มีความพิเศษคือ บนเพดานถ้ำมีการแกะสลักดอกบัวขนาดใหญ่หนึ่งในสัญลักษณ์แห่งศาสนาพุทธไว้เหนือองค์พระประธาน ที่ดูแล้วงดงามแปลกตาเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนวัดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์และมีความงามที่สุด และเป็นวัดที่คุ้นหน้าคุ้นตาของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีก็คือ วัดเฟิ่งเซียน ที่นี่มี“พระพุทธรูปโรจนะ” พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดของถ้ำหินหลงเหมิน แกะสลักโดดเด่นเป็นพระประธาน มีความสูงถึง 17.4 เมตร มีพระเศียรสูงถึง 4 เมตร โดยที่ข้างองค์พระประธานยังมีรูปสลักของพระพุทธรูปและเทพเจ้าขนาดรองลงมายืนอยู่ที่ผนังถ้ำทั้ง 2 ด้าน
สำหรับองค์พระพุทธรูปโรจนะถือเป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามสมบูรณ์ที่สุด มีพระวรกายที่อวบอัด มีพระพักตร์กลมดูอิ่มเอิบสมบูรณ์ ถือเป็นงานศิลปะที่สะท้อนถึงรสนิยมความงามของราชวงศ์ถังได้เป็นอย่างดี
คนจีนส่วนใหญ่เชื่อว่าพระพักตร์ของพระพุทธรูปโรจนะองค์นี้ คือใบหน้าของ“พระนางบูเช็กเทียน” ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวแห่งแดนมังกร เพราะว่านางเป็นคนสั่งให้ช่างสร้างขึ้นมาด้วยความเชื่อที่ว่าตนเองคือพระอาริยเมตรไตรกลับชาติมาเกิด
เรื่องนี้จริง-เท็จอย่างไรคงต้องให้นักประวัติศาสตร์ชาวจีนไปศึกษาค้นคว้าต่อเอาเอง ส่วนเรื่องจริงที่ผมเห็นที่ถ้ำหินหลงเหมินในปัจจุบันก็คือ พระพุทธรูปที่นี่ถูกลักลอบตัดไปขายเป็นจำนวนมาก ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากนี่คือหนึ่งในแหล่งรวบรวมงานพุทธศิลป์ประเภทแกะสลักหินชั้นเยี่ยมแห่งหนึ่งของโลก ไม่น่าที่จะต้องมาถูกคนเห็นแก่ตัวทำลายจนมีสภาพย่ำแย่ไปเลย
ไหว้กวนอู เทพเจ้าผู้ซื่อสัตย์แห่งแดนมังกร
ในขณะที่ถ้ำหินหลงเหมินถูกคนขโมยพระพุทธรูปไปเป็นจำนวนมาก แต่กับที่“ศาลเทพเจ้ากวนอู" สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกแห่งหนึ่งในเมืองลั่วหยาง ที่เราเดินทางไปเยือนต่อจากถ้ำหินหลงเหมินนั้น น้องฟ้อนบอกว่า
“ที่นี่ไม่มีโจรกล้ามาขโมยของเลย เพราะโจรนอกจากจะกลัวกวนอูแล้ว ยังนับถือกวนอูมากอีกด้วย เพราะท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ ศาลเทพเจ้ากวนอูที่นี่ คือ 1 ใน 3 ศาลเจ้ากวนอู อันโด่งดังที่คนจีนเคารพศรัทธาและนิยมเดินทางมากราบไหว้ที่สุดใจเมืองจีน เนื่องจากเป็นที่ฝังศีรษะของกวนอู ส่วนอีก 2 แห่งอยู่ที่มณฑลซานซี บ้านเกิดของกวนอู และที่มณฑลเสฉวน เมืองที่กวนอูร่วมรบกับเล่าปี่”
น้องฟ้อนอธิบาย ก่อนพาผมเดินเข้าไปจุดธูปไหว้รูปเคารพเจ้าพ่อกวนอูที่ประดิษฐานอย่างขรึมขลังเปี่ยมศรัทธาในศาลเจ้า
หลังไหว้เทพเจ้ากวนอูแล้ว ผมอดนึกย้อนดูตนนึกถึงเมืองไทยไม่ได้ว่า นี่ถ้านักการเมืองและคณะรัฐมนตรีบ้านเราในแต่ละยุคแต่ละสมัยไม่ได้ มีพฤติกรรมซื่อสัตย์ กล้าหาญ เปี่ยมคุณธรรม กตัญญูรู้คุณต่อแผ่นดิน แม้เพียงเศษเสี้ยวของเทพเจ้ากวนอู ชาติบ้านเมืองไทยคงจะน่าอยู่และเจริญรุ่งเรืองกว่านี้(เยอะเลย)
*****************************************
การเดินทางสู่เมืองลั่วหยาง จากเมืองไทยมีสายการบิน“บางกอกแอร์เวย์ส” บินตรงจากกรุงเทพฯสู่เมืองซีอาน มณฑลส่านซี ซึ่งเป็นเมืองใกล้เคียงที่เดินทางจากเมืองไทยสะดวกที่สุด จากนั้นนั่งรถสู่เมืองลั่วหยาง มณฑลส่านซี อีกประมาณ 3-4 ชั่วโมง สำหรับผู้สนใจเที่ยวถ้ำหินหลงเหมินและศาลเจ้ากวนอูแห่งเมืองลั่วหยาง สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1771