xs
xsm
sm
md
lg

หัวแดง ที่“เต่าดำ” /ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย :ปิ่น บุตรี

...ระยะทาง 30 กิโลเมตร หากขับรถบนถนนปกติก็แค่ 10 -20 กว่านาที...

...ระยะทาง 300 เมตร หากเดินบนทางปกติก็แค่ 10 กว่านาที...

แต่ประทานโทษ หากใครได้มีโอกาสไปเที่ยว“น้ำตกเต่าดำ”แล้วจะรู้ว่า ทฤษฎีเปรียบเทียบทั้ง 2 ข้อมันใช้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

30 กิโลเมตร นรก!!! : เครื่องในไขว้สลับตำแหน่ง

ชนวนเหตุของการทำลายทฤษฎี ทั้ง 2 ข้อเบื้องต้นเริ่มขึ้นเมื่อผมตอบตกลงกลุ่มเพื่อนๆขาลุยว่าจะไปลุย “น้ำตกเต่าดำ” ในอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า จ.กำแพงเพชร

แรกที่ฟังพวกมันชวนก็รู้สึกแปร่งๆหูอยู่ เพราะมันไม่ชวนเราไป “เที่ยวน้ำตก”แต่มันดันชวนเราไป“ลุยน้ำตก”เสียนี่

ทว่ามันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะหลังออกเดินทางจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอช.คลองวังเจ้าไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ไอ้เจ้าถนนลาดยางที่เห็น จู่ๆมันหายไปต่อหน้าต่อตากลายเป็นถนนลูกรังที่แคบ คดเคี้ยว เลี้ยวลดทอดยาวหายไปในผืนป่า ปานประหนึ่งงู(ยักษ์)เลื้อยยังไงยังงั้น

นี่ถือเป็นปฐมบทของการ“ลุย”ในครั้งนี้ ที่หากใครขับรถเก๋งมา ผมบอกคำเดียวว่า“กลับไปเหอะ” อย่าเอารถมาทิ้งไว้ที่นี่เลย เพราะขนาดรถโฟร์วีลยังต้องลุ้นกับเส้นทางกันจนเหนื่อย

เหนื่อยทั้งคนขับและคนนั่ง ยิ่งไอ้คนนั่ง+ยืน บนกระบะหลังอย่างผมเพื่อเก็บภาพการเดินทางนี่ยิ่งเหนื่อยใหญ่

ไอ้การประคองกล้องถ่ายรูปบนหลังกระบะน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้การนั่งกระเด้งกระดอน กระโดด กระเด็น ไปตามถนนขึ้นๆลงๆ เดี๋ยวขึ้นโค้ง เดี๋ยวลงโค้ง เดี๋ยวเทโค้ง เดี๋ยวทิ้งดิ่ง บนหลังกระบะที่ แล่นผ่านป่าไพร หุบเขา ทุ่งนา ไร่ข้าวโพด บ้านคน สลับกันไป โดยบางช่วงเป็นลำธารมีไม้ซุงพาดผ่านให้รถวิ่งข้ามไปแบบลุ้นๆ นี่สิ ระทึกใจไม่หยอกเลย

โอ๊ย!!!งานนี้ใครที่ฝึกพลังลมปราณมาไม่กล้าแข็งพอ อาจจะอ้วกแตกอ้วกแตนเอาได้ง่ายๆ

ส่วนผมงานนี้วิชาตัวเบาใช้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ต้องใช้วิชาตัวหนักไม่ให้กระเด็นตกกระบะ พร้อมเกร็งแขนขายืนเกาะเหล็กหลังกระบะอย่างทุลักทุเล

ห้วงเวลานี้ ผมรู้สึกว่าเครื่องใน(อวัยวะภายใน)ของผมมันถูกแรงเหวี่ยงสลับสับเปลี่ยนกันมั่วไปหมด ส่วนเครื่องนอกแม้จะดีอยู่ ไม่มีอะไรบอบช้ำ หลุดหาย แต่ว่าทั่วทั้งตัวของผมมันเปรอะเลอะเขรอะไปด้วยขี้ดินขี้ฝุ่น โดยเฉพาะช่วงหัว+ผม นี่แดงเถือกกลายเป็นหัวฝรั่งไปเลย

ไฮไลท์ผมสีนี้ ต่อให้ช่างทำผมฝีมือเยี่ยมแค่ไหนก็คงไม่สามารถทำได้ ซึ่งนี่ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการเดินทางที่หาซื้อหาสัมผัสไม่ได้ในป่าคอนกรีต

เราไปแวะพักรถพักคน เพื่อรวบรวมพลัง ลมปราณกันใหม่ที่บ้านโละโคะ(ห่างจากศูนย์บริการฯประมาณ 17 กม.) หลังใช้เวลาเดินทางไปประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง(เริ่มจับเวลาจากศูนย์บริการฯ) บ้านโละโคะ ถือเป็นจุดพักกึ่งกลางระหว่างศูนย์บริการฯกับน้ำตกเต่าตำ เพราะจากที่นี่ไปอีกประมาณ 17 กม.ก็จะถึงยังน้ำตกเต่าดำ

ที่บ้านโละโคะนี่ผมใช้เวลาจัดระเบียบอวัยวะภายในให้เข้าที่เข้าทางประมาณชั่วอึดใจ ส่วนไอ้เพื่อนผมพลขับน่ะ มันบอกว่าเครื่องในของมันฟิตปั๋ง ไม่มีการเบี่ยงเบนแม้แต่น้อย แต่ว่าหัวใจของมันนี่สิ หายไปอยู่กับสาวดีไซน์เนอร์ตั้งแต่ไปแอบหลงรักเขา(ข้างเดียว)นานแล้ว

ได้ยินอย่างนี้ นี่ถ้าไม่ติดที่มันเป็นพลขับในทริปนี้ ผมจะยันมันให้กระเด็นตกรถตั้งแต่เข้าโค้งแรกแล้ว แต่ตอนนี้ยังต้องใช้บริการมันอยู่ จึงขอด่ามันด้วยสำนวนนิยายกำลังภายในเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจหน่อยว่า

“ผายลมมารดาท่าน!!!”

ก่อนใช้เวลาเล็กน้อยแวะเที่ยวชมชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวหมู่บ้านโละโคะที่มีประชากรหลักเป็นชาวกะเหรี่ยงและชาวม้งกันพอเหม็นปากเหม็นคอ เพราะๆไหนก็ดั้นด้นมาถึงที่นี่แล้ว

ต่อจากนั้น พวกเราเริ่มบทที่ 2 ของการลุยด้วยการเดินทางจากบ้านโละโคะสู่น้ำตกเต่าดำทันที

อนึ่งเส้นทางช่วงที่ 2 นี้ ผมว่ามันโหดหินกว่าทางช่วงแรกเสียอีก ทั้งชัน คดโค้ง ลดเลี้ยว แถมยังเป็นถนนเลนเดียวที่หากเจอรถสวนต้องถอยและหามุมหลบสถานเดียว

แน่นอนว่าเมื่อเจออีแบบนี้ อวัยวะภายในที่เพิ่งจัดระเบียบไป มันเริ่มสลับไขว้มั่วไปหมดอีกครั้ง แต่ในความโหดนั้นก็มีความงามแบบดิบๆแฝงไว้ให้ชมตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็น วิวทิวทัศน์ของเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามขุนเขาอันสวยงามน่ายล ภาพวิถีชีวิตชาวบ้าน การทำนา ทำไร่ข้าวโพด การนวดข้าว จูงวัวควายออกหากิน การเก็บผลผลิต ซึ่งภาพเหล่านี้หาชมไม่ได้ในป่าคอนกรีต

ยิ่งตอนช่วงท้ายๆก่อนถึงตัวน้ำตกที่บ้านป่าคา ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ เพราะตอนที่รถวิ่งช้าๆ(พยายามให้เกิดฝุ่นน้อยที่สุด)ผ่านหมู่บ้านนี่มีเด็กๆวิ่งออกมาทักทายโบกไม้โบกมือให้บรรดารถผู้ผ่านทาง ดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก

ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่ผมกับเพื่อนแวะจอดรถถ่ายรูปพวกเขาในหมู่บ้าน มีเด็กๆชาวม้ง(ผู้ชาย) 1 คน อายุประมาณ 9-10 ขวบ ขอติดรถไปเที่ยวน้ำตกด้วย

แฮะ แฮะ ในเมื่อน้องเขา“ทั้งทั้งที่รู้”ว่าการไปน้ำตกเต่าดำนั้นสมบุกสมบัน แต่เมื่อเขา“กล้าหาญชาญชัย”และแสดงความดีใจเป็น“กระดี่ได้น้ำ”อยากไปผจญวิบากกรรมด้วยกันก็“ไม่เป็นไร” พวกเรา“ยินยอม”พร้อม“ยินดีไม่มีปัญหา”ที่จะพาเด็กม้งไปเที่ยวด้วย

เพราะวัยเด็กที่ซุกซนหากจะให้นอนดู“รุ้งกินน้ำ”อยู่บ้านเป็น“บังอรเอาแต่นอน” ปล่อยชีวิต“ให้มันเป็นไป”ไปวันๆมันก็ดูจะ“เบื้อก”เกินไป

อีกอย่างเรื่องการติดเด็กไปเที่ยวด้วย มันก็ไม่ใช่เรื่องของการ“ได้อย่างเสียอย่าง” และไม่ได้สร้างความ“กุ้มใจ”(ไม่มี ล.)ให้กับพวกเราแต่อย่างใด เพราะดูเหมือนว่าโชคชะตาได้นำพาให้พวกเรา“บังเอิญ”(ติดดิน)มาพบกัน งานนี้จึง“ลงเอย”ด้วยการที่พวกเรา(+เด็กม้ง)รีบพา“หัวใจสะออน”ออกเดินทางลุยถั่วสู่น้ำตกเต่าดำเพื่อสัมผัส“ความงามที่แตกต่าง"ทันที โดยไม่มีการรีรอ“ร่ำไร”แต่อย่างใด

300 เมตร นรก!!! : จาก 2 ขา สู่ 4 ขา

จากบ้านโละโคะ ผมจับเวลาอีกครั้ง พวกเราเดินทางราวๆ 2 ชั่วโมง ก็มาถึงยังจุดจอดรถเพื่อลงไปชมตัวน้ำตกเต่าดำที่ป้ายเขียนบอกไว้ว่า มีระยะทางเดินเท้าแค่ 300 เมตรเท่านั้น แต่มันเป็น 300 เมตรนรกที่โหดหินจริงๆ ซึ่งทางลงดิ่งแบบนี้บ้านผมเรียกว่า”เหว”น่ะ

ระหว่างเดินลง ผมอดที่จะนึกถึงคำพูดขำๆของชาวบ้าน(กะเหรี่ยงคนหนึ่ง)ที่บ้านโละโคะไม่ได้ ว่า ใครมาเที่ยวน้ำตำเต่าดำครั้งแรกถือว่า“โง่” แต่ถ้าใครมาเที่ยวน้ำตกเต่าดำครั้งที่ 2 ถือว่า “โง่ชิ...หา”(โง่ชิปหาย : เขาพูดภาษาไทยปนสำเนียงกะเหรี่ยงแบบนี้จริงๆ : ใครที่จินตนาการไม่ออกให้นึกถึงการแสดงของโปงลางสะออน ที่น้องลูลู่ด่าพี่อี๊ด ว่า“โง่ชิ...หา”นั่นแหละใช่เลย)

อืม...พอเดินลงไปได้ราว 20 เมตร ผมเริ่มคล้อยตามคำพูดของชาวบ้านคนนั้นทันที เพราะทางมันชันดิ่งสุดขั้วราวๆ 80-85 องศาเห็นจะได้ ส่วนน้องหนูชาวม้งที่ขอติดรถมาเที่ยวน้ำตกนั้น แกวิ่งฉับๆหายไปลงไปในเส้นทางเบื้องล่างประหนึ่งม้าเทวดา ทิ้งเอาผมเดินเหงื่อซึม หอบแฮ่กๆอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ

ห้วงเวลานี้ ผมอดที่จะนึกถึงหลักวิทยายุทธ์ของเหล่าจอมยุทธ์ในนิยายจีนกำลังภายในไม่ได้ว่า “กระบวนท่าที่สุดยอดก็คือกระบวนท่าที่ไร้กระบวนท่านั่นเอง”ว่าแล้วเราก็เกร็งลมปราณ เกร็งกำลังขาเต็มที่ แล้วเริ่มลงเท้าเดินแบบไร้กระบวนท่าลงสู่ตัวน้ำตกเต่าดำทันที

นั่นก็คือการเดินคลานไต่หรือเดิน 4 ขานั่นเอง

สำหรับทางเดิน 300 เมตรนรก!!! นี้ผมใช้เวลาเดิน(+คลาน) ปาเข้าเกือบ ชั่วโมงแน่ะ แต่พอไปถึงตัวน้ำตกเท่านั้นแหละ ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะน้ำตำเต่าดำที่ตกซู่อยู่เบื้องหน้านั้น มันดูยิ่งใหญ่สวยงามจริงๆ

"น้ำตกเต่าดำ" ชื่อนี้จากการสอบถามชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ต่างให้ข้อมูลสอดคล้องกันว่า เดิมบริเวณน้ำตกมีเต่าตัวสีดำอาศัยอยู่ชุกชุม ชาวบ้านเลยตั้งชื่อน้ำตกแห่งนี้ว่า“น้ำตกเต่าดำ”นั่นเอง

เรียกว่าตั้งชื่อน้ำตกกันง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน ซึ่ง ณ วันนี้ บริเวณน้ำตก หาเต่าดำแทบไม่ได้แล้ว มีแต่ความงามของธารน้ำตกที่ แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นแรกสูงไม่มากนัก ส่วนชั้น 2 ชั้นไฮไลท์ สูงราว 200 เมตร มีสายน้ำไหลเป็นทางยาวขาวฟูฟ่องจากชั้นแรกไหลทิ้งดิ่งโจนทะยานจากโตรกผาเบื้องบนแผ่สยายสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง ท่ามกลางต้นไม้รอบข้างที่เขียวครึ้ม ดูยิ่งใหญ่สวยงาม คุ้มค่าความเหนื่อย-โหด ที่ดั้นด้นมาเป็นอย่างยิ่ง

ช่วงจังหวะเวลานี้ มันทำให้ผมอดที่จะนึกถึงคำพูดของกะเหรี่ยงแห่งบ้านโละโคะไม่ได้ว่า...ถ้าใครมาเที่ยวน้ำตกเต่าดำครั้งที่ 2 ถือว่า “โง่ชิ...หา” ซึ่งเมื่อได้ชมความงามของน้ำตกเต่าดำแล้ว ผมก็อยากจะเสริมว่า นี่ถ้ามาถึงทางลงน้ำตกเต่าดำแล้ว ผมเกิดถอดใจทั้งที่ยังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ ไม่ยอมเดินลงมาสู่ตัวน้ำตก ผมคงจัดอยู่ในประเภท"โง่ชิ...หา" เหมือนกัน
*****************************************

น้ำตกเต่าดำ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า ต.โกสัมพี กิ่ง อ.โกสัมพีนคร จ.กำแพงเพชร อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯไป 34 กม. เส้นทางสู่น้ำตก เป็นเส้นทางวิบากสมบุกสมบัน เดินรถทางเดียว ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือรถกระบะที่มีประสิทธิภาพสูง ส่วนคนขับก็ต้องมีประสบการณ์สูงเยี่ยมและไม่ควรไปในช่วงหน้าฝน

นอกจากน้ำตกเต่าดำแล้ว ในอุทยานฯ คลองวังเจ้า ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อาทิ น้ำตกคลองวังเจ้า น้ำตกกระแตไต่ไม้ น้ำตกนาฬิกาทราย น้ำตกคลองโป่ง แก่งร้อยเกาะ ผู้สนใจเที่ยวน้ำตกเต่าดำและอุทยานฯคลองวังเจ้า สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า โทร. 0-5576-6006-7

กำลังโหลดความคิดเห็น