แม้ต้นกำเนิดของศาสนาพุทธจะอยู่ที่ประเทศอินเดีย และตัวของพระพุทธองค์เองก็เชื่อว่าประทับอยู่ที่อินเดีย แต่ก็มีเรื่องเล่าและตำนานเล่าขานกันมาว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาเยือนประเทศไทยในแถบภาคอีสาน และเมืองต่างๆ ในแถบลุ่มน้ำโขงนี้ อีกทั้งพระองค์ยังได้ทรงพยากรณ์ว่าดินแดนในแถบนี้ต่อไปพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง
สำหรับในดินแดนลุ่มแม่น้ำโขง มีเรื่องเล่าเก่าแก่ที่เรียกกันว่า “อุรังคนิทาน” บอกเล่าเรื่องราวที่เป็นตำนานเกี่ยวกับการเสด็จมาเยือนของพระพุทธเจ้าในบ้านเมืองต่างๆ แถบลุ่มแม่น้ำโขง เรื่องของการที่พระองค์เสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาท อีกทั้งยังเล่าถึงประวัติการสร้างก่อสร้างพระธาตุพนม ซึ่งเป็นพระธาตุที่บรรจุพระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหน้าอกของพระพุทธเจ้าไว้อีกด้วย
การเดินทางมาเยือนภาคอีสาน จึงเป็นโอกาสดีสำหรับพุทธศาสนิกชนที่จะได้มาตามรอยพระพุทธเจ้า กราบสักการะพระธาตุและพระพุทธบาท และเดินทางท่องเที่ยวไปในพุทธสถานที่สำคัญของทางภาคอีสานอีกด้วย
“พระธาตุพนม” ศูนย์รวมจิตใจคนสองฝั่งน้ำโขง
“พระธาตุพนม” พระธาตุองค์สำคัญที่ตั้งอยู่ในอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในสองฝั่งลุ่มน้ำโขง ในอุรังคนิทานนั้นได้กล่าวถึงความเป็นมาของพระธาตุพนมว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จมายังหนองคันแทเสื้อน้ำ (เวียงจันทน์) และได้ทำนายว่าจะมีบ้านเมืองใหญ่เป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนาขึ้นที่นี่ จากนั้นก็ได้เสด็จไปยังที่ต่างๆ จนเดินทางมาถึงที่ดอยกปณคีรี หรือภูกำพร้า และพระพุทธองค์ก็ได้กล่าวว่า เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าในอดีตทั้ง 3 พระองค์ในภัทรกัลป์ที่นิพพานไปแล้ว ย่อมนำเอาพระบรมธาตุมาบรรจุไว้ ณ ภูกำพร้า เมื่อเรานิพพานไปแล้ว กัสสปะเถระผู้เป็นสาวกก็จะนำเอาพระธาตุมาบรรจุเช่นเดียวกันดังนี้
และเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน พระกัสสปะเถระได้มาเคารพพระบรมศพ เมื่อนั้นพระอุรังคธาตุก็เสด็จออกมาอยู่ในฝ่ามือของพระกัสสปะ และเปลวไฟก็ได้ลุกโชติเผาพระบรมสรีระของพระพุทธเจ้าเองอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากนั้นในราว พ.ศ.8 พระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์จึงได้นำเอาพระอุรังคธาตุมาบรรจุไว้ที่ภูกำพร้า และมีบรรดากษัตริย์ในเมืองใกล้เคียงมาช่วยสร้างพระธาตุเจดีย์ให้สมพระเกียรติ
หลังจากการสร้างครั้งแรก พระธาตุพนมก็ได้มีการบูรณะอีกหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็ได้มีการต่อเติมเสริมรูปแบบกันไปบ้าง แต่ครั้งที่พระธาตุพนมเปลี่ยนรูปแบบไปมากที่สุดก็คงเป็นเมื่อ พ.ศ.2518 องค์พระธาตุพนมได้พังทลายลงทั้งองค์เนื่องจากความเก่าแก่ สร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้ที่เคารพศรัทธาเป็นจำนวนมาก
ในการพังทลายของพระธาตุพนมนั้น ทำให้ได้พบวัตถุสิ่งของมีค่ามากมายกว่า 14,700 ชิ้น โดยบางส่วนก็นำไปบรรจุไว้ในพระธาตุตามเดิม บางส่วนก็นำมาไว้ในพิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุพนม นอกจากนั้นก็ยังได้พบพระอุรังคธาตุอยู่บนกองอิฐปูนที่พังลงมา โดยพระอุรังคธาตุนี้ได้บรรจุไว้อย่างซับซ้อนถึง 7 ชั้นด้วยกัน
และอีก 4 ปีต่อมา ใน พ.ศ.2522 การบูรณะก่อสร้างพระธาตุพนมองค์ปัจจุบันก็ได้สำเร็จลง และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุขึ้นประดิษฐานไว้ในองค์พระธาตุ เพื่อให้เป็นที่บูชาของประชาชนเหมือนเช่นเดิม
กราบรอย “พระพุทธบาทบัวบก” จ.อุดรฯ
ตามตำนานอุรังคนิทาน ได้กล่าวถึงการเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าไว้ในสถานที่แต่ละแห่งในแถบสองฝั่งแม่น้ำโขง โดยที่ “พระพุทธบาทบัวบก” ที่วัดพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ก็เป็นแห่งหนึ่งที่พระพุทธองค์ได้เสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้
ตามตำนานของรอยพระพุทธบาทนี้เล่าแทรกไว้ในอุรังคนิทานว่า เทือกเขาแห่งนี้เดิมเป็นที่อยู่ของพญานาคชื่อว่า มิลินทนาค และกุทโธปาปนาค ซึ่งมีความดุร้ายต่อมนุษย์และสัตว์อื่นๆ อยู่เสมอ ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จมายังบริเวณแคว้นศรีโคตรบูรณ์ หรือบริเวณลุ่มน้ำโขงในปัจจุบัน พระองค์จึงเสด็จมาที่ภูพระบาทและทรงปราบนาคเหล่านี้ และทำให้นาคมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และก่อนที่พระองค์จะเสด็จจากไปก็ทรงประทับรอยพระบาทไว้เพื่อให้บรรดานาคได้บูชาอีกด้วย
สำหรับรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธบาทบัวบกนี้ แต่เดิมได้มีสถูปเก่าแก่สร้างครอบไว้ เชื่อว่าสร้างในประมาณ พ.ศ.2300 ต่อมาพระอาจารย์ศรีทัต สุวรรณมาโจ ได้มาจำพรรษาที่นี่และได้พบสถูปร้าง จึงได้ชักชวนชาวบ้านมาบูรณะสถูปขึ้นใหม่เมื่อประมาณ พ.ศ.2460 เมื่อรื้อสถูปเก่าออกจึงพบว่าภายในมีรอยพระพุทธบาทอยู่ จึงสร้างเจดีย์ครอบใหม่โดยสร้างตามรูปของแบบพระธาตุพนมองค์เดิม แต่เจดีย์องค์ปัจจุบันนี้ก็ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่อีกหลายครั้งจนเป็นรูปทรงอย่างที่เห็น และปัจจุบันพระพุทธบาทบัวบกแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่มีพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวลาวมากราบไหว้อยู่เสมอ
อีกทั้งในบริเวณใกล้เคียงก็ยังมี “ถ้ำพญานาค” ที่เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของพญานาคมิลินทนาค ซึ่งมีลักษณะเป็นโพรงขนาดใหญ่อยู่ใต้ชะง่อนหิน และเชื่อกันว่าในถ้ำพญานาคนี้สามารถทะลุไปออกยังแม่น้ำโขงได้ อีกทั้งผู้ที่มาเยือนอุทยานภูพระบาทแห่งนี้ และได้มากราบรอยพระพุทธบาทแล้ว ก็อย่าลืมไปชมประติมากรรมหินซึ่งเป็นฝีมือของธรรมชาติ เช่น หอนางอุสา และถ้ำต่างๆ มากมาย
“พระธาตุเชิงชุม” ชุมนุมรอยพระพุทธบาท
ในจังหวัดสกลนครนั้นมีพระธาตุสำคัญแห่งหนึ่งที่มีความน่าสนใจ นั่นก็คือ “พระธาตุเชิงชุม” วัดแห่งนี้เดิมเป็นวัดราษฎร์ แต่ต่อมาได้รับการยกเป็นพระอารามหลวง และถือเป็นวัดสำคัญในจังหวัดสกลนคร สำหรับพระธาตุเชิงชุมนั้น คำว่าเชิงหมายความถึงตีน หรือเท้า (เช่นคำว่าเชิงเขา) ส่วนคำว่าชุมนั้นก็หมายถึงการมาชุมนุม ดังนั้นคำว่าเชิงชุมในที่นี้จึงหมายความถึงการที่มีรอยพระพุทธบาทมาชุมนุมกันถึง 4 รอย
ประวัติของพระธาตุเชิงชุมในตำนานอุรังคธาตุนั้นได้กล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จมายังแคว้นศรีโคตรบูรณ์ ก็ได้เสด็จมายังภูกำพร้า หรือที่ตั้งของพระธาตุพนม และได้เสด็จผ่านมายังเมืองหนองหารหลวง หรือสกลนครในปัจจุบัน เพื่อเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่นี่ เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ประทับรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าในอดีตมาแล้ว 3 พระองค์ และในอนาคตก็จะเป็นที่ประทับรอยพระพุทธบาทของพระศรีอริยเมตไตร ที่เชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายในภัททกัลป์ด้วยเช่นกัน
เชื่อกันว่าแผ่นหินที่พระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ได้มาประทับรอยพระพุทธบาทไว้นั้นมีพญาสุวรรณนาคซึ่งเป็น พญานาคเป็นผู้เก็บรักษาไว้ใต้น้ำ เพื่อรอพระศรีอริยเมตไตรมาประทับรอยพระพุทธบาทเป็นองค์สุดท้าย และสำหรับพระธาตุเชิงชุมนี้ พระเจ้าสุวรรณภิงคาร กษัตริย์ที่ครองเมืองหนองหารหลวงในขณะนั้นเป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่สักการะแก่ประชาชนทั่วไปอีกด้วย
การจะเข้าไปสักการะด้านในพระธาตุเชิงชุมนั้นสามารถเข้าไปได้ทางเดียวคือทางด้านหลังวิหารหลวงพ่อองค์แสนซึ่งอยู่ติดกับองค์พระธาตุ ซึ่งภายในพระธาตุนั้นจะมีลักษณะคล้ายถ้ำซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไว้หลายองค์ด้วยกัน เชื่อว่าภายในพระธาตุนี้เป็นส่วนหนึ่งของซากเทวสถานขอม โดยยังคงจะเห็นจารึกภาษาขอมอยู่ที่กรอบประตูทางเข้าองค์พระธาตุ
หลวงพ่อองค์แสนก็เป็นพระพุทธรูปสำคัญแห่งวัดพระธาตุเชิงชุมเช่นกัน โดยเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะสวยงามมาก โดยเป็นการผสมผสานของหลายสกุลศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะเชียงแสน ศิลปะล้านช้าง และศิลปะสุโขทัย นอกจากนั้นภายในวัดก็ยังมีสิ่งสำคัญอย่าง “ภูน้ำลอด” ซึ่งเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีมาพร้อมกับพระธาตุเชิงชุม น้ำในบ่อแห่งนี้ไหลมาจากเทือกเขาภูพาน ถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่นำไปใช้ในพิธีกรรมต่างๆ
สักการะสังเวชนียสถาน 4 ตำบลในอีสาน
นอกจากพระธาตุและรอยพระพุทธบาทแล้ว ในภาคอีสานก็ยังมีพุทธสถานที่สำคัญอย่าง “สังเวชนียสถานจำลอง” ให้ได้สักการะกันด้วย
สังเวชนียสถาน 4 ตำบลซึ่งอยู่ในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ถือเป็นสถานที่สำคัญที่พุทธศาสนิกชนต่างก็ต้องการจะไปกราบสักการะให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต เนื่องจากในปรินิพพานสูตรได้มีการกล่าวไว้ว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพาน พระอานนท์ได้กราบทูลถามว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่กาลก่อนมา หลังจากออกพรรษาแล้ว มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มากราบไหว้พระพุทธองค์อย่างเนืองแน่น บัดนี้พระพุทธองค์จะปรินิพพานแล้ว จะให้พวกข้าพระองค์กราบไว้บูชาสิ่งใดพระเจ้าข้า” พระพุทธองค์ตอบพระอานนท์ว่า “ดูก่อนอานนท์ หลังจากเราตถาคตปรินิพพานแล้ว พวกเธอมีความรำลึกถึงเรา เดินตามรอยแห่งเรา จงพากันกราบไหว้สถานที่ทั้ง 4 ของเรา คือ ลุมพินีวัน สถานที่ประสูติหนึ่ง โพธิมณฑล สถานที่เราตรัสรู้หนึ่ง ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สถานที่เราแสดงปฐมเทศนาหนึ่ง และกุสินารานครที่เราจะปรินิพพานนี่แหละอานนท์ เป็นสถานที่สักการบูชา เป็นเนื้อนาบุญของพวกเธอทั้งหลายสืบต่อไป”
แต่พุทธศาสนิกชนไทยที่มีความศรัทธาก็อาจไม่มีโอกาสเดินทางไกลไปแสวงบุญถึงอินเดีย แต่ก็สามารถมาสักการะสังเวชนียสถาน 4 ตำบลได้ในประเทศไทย ที่วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม หรือวัดถ้ำพวง ที่อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนครแทนได้ โดยสังเวชนียสถานจำลองนี้ เกิดขึ้นจากแรงศรัทธาของพระอาจารย์วัน อุตตโม พระวิปัสสนากรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นผู้ริเริ่ม โดยใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 6 ปีเต็ม มีค่าใช้จ่ายกว่า 16 ล้านบาท
สังเวชนียสถานแห่งนี้ ได้จำลองเอาสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ลุมพินีวัน โดยมี “เจดีย์สิริมหามายา” ที่ภายในมีรูปจำลองเหตุการณ์ที่พระนางสิริมหามายาทรงยืนเหนี่ยวกิ่งต้นสาละ และเจ้าชายสิทธัตถะที่เพิ่งประสูติจากครรภ์มารดาทรงยืนอยู่ที่พื้นและมีดอกบัวรองรับพระบาท พร้อมทั้งทรงเปล่งพระสุรเสียงว่า “เรานี้ประเสริฐยิ่งในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแห่งเรา” อีกทั้งด้านหน้าของเจดีย์ก็มีเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชจำลองเท่าของจริง
ถัดจากสถานที่ประสูติ ก็คือสถานที่ตรัสรู้ ซึ่งก็คือใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ที่เมืองอุรุเวลาเสนานิคมโดยที่วัดถ้ำพวงนี้ได้จำลองเอา “พระเจดีย์ศรีมหาโพธิ์” หรือเจดีย์พุทธคยา ที่สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แต่ย่อส่วนลงมาจากองค์จริง ผู้ที่เข้ามาชมสามารถเดินขึ้นไปบนองค์เจดีย์และกราบสักการะพระพุทธรูปที่อยู่ด้านในได้
สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ก็ถือเป็นหนึ่งในสังเวชนียสถาน 4 ตำบล สำหรับสังเวชนียสถานของจริงที่ประเทศอินเดียนั้น จะเป็นเจดีย์ปิดไม่มีประตูหน้าต่าง แต่สำหรับเจดีย์ที่จำลองมานี้ได้ย่อส่วนให้เล็กลง และจัดทำให้มีช่องประตูหน้าต่างและมีพระพุทธรูปอยู่ด้านใน ผู้ที่มาสักการะสามารถเข้าไปกราบพระพุทธรูปภายในได้
ส่วนสังเวชนียสถานแห่งสุดท้ายคือ สถานที่ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา สังเวชนียสถานแห่งนี้ก่อสร้างจำลองจากประเทศอินเดียมาทุกประการ แต่ย่อส่วนให้เล็กลง ภายในเป็นห้องโถงใหญ่ มีพระพุทธรูปปางปรินิพพานประดิษฐานอยู่ พร้อมทั้งพระสาวกอีกสามองค์คือพระอานนท์ พระอนิรุทธ และพระสุภัททะนั่งอยู่เบื้องหน้า
พุทธสถานทั้ง 4 แห่งที่กล่าวมา ก็ล้วนแล้วแต่มีความเป็นมาที่น่าสนใจ และเป็นเส้นทางตามรอยพระพุทธเจ้าที่พุทธศาสนิกชนสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวไปสักการะได้ตามศรัทธา
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางตามรอยพระพุทธเจ้าได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือเขต 4 โทร.0-4251-3490