xs
xsm
sm
md
lg

ตามรอยพ่อ อย่างพอเพียงใน "โครงการพระราชดำริ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานที่มั่นพร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจขึ้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป..."

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517

...นับเป็นระยะเวลาหลายสิบปีแล้ว ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวคิด"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งก็มีกลุ่มคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่นำแนวคิดนี้ไปปฏิบัติตาม

สำหรับเมืองไทยนั้นหนึ่งในรูปธรรมที่เห็นเด่นชัดตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงก็คือ พื้นที่อันเนื่องมาจากโครงการพระราชดำริต่างๆ ที่สร้างคุณประโยชน์มากมายต่อพี่น้องเกษตรกรไทย

ปัจจุบันนอกจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริคือหนึ่งในพื้นที่ที่อุดมประโยชน์อันสำคัญของเมืองไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งศึกษาดูงานและแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งนี่คือโครงการพระราชดำริเด่นๆ 5 แห่งจาก 5 ภาคทั่วประเทศที่แต่ละโครงการต่างก็มีความโดดเด่นน่าสนใจแตกต่างกันออกไป

ภาคกลาง : เขาหินซ้อน แม้..."ป่าหาย น้ำแห้ง ดินเลว ก็พัฒนาได้"

ณ เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ในอดีตพื้นที่แถบนี้เป็นป่าดงดิบ มีลักษณะเป็นภูเขาหินตามธรรมชาติก้อนใหญ่ก้อนเล็กระเกะระกะทับซ้อนกันอยู่ทั่วไป ชาวบ้านจึงเรียกขานกันว่า"เขาหินซ้อน"

ทว่าหลังจากที่มีการสร้างทางหลวงแผ่นดินสาย 304 พนมสารคาม-กบินทร์บุรีตัดผ่าน ผลพวงจากการระเบิดหินทำถนน รวมถึงการเปิดทางให้ผู้คนเดินทางเข้าสู่พื้นที่โดยสะดวก ทำให้ชั่วระยะเวลาเพียง 30 กว่าปี ป่าดงดิบเขาหินซ้อนได้ถูกทำลายกลายสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรม

แต่ด้วยแนวพระราชดำริ "ป่าหาย น้ำแห้ง ดินเลว ก็พัฒนาได้" หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ เขาหินซ้อน และได้เสด็จไปทอดพระเนตรที่ดินที่มีผู้น้อยเกล้าฯถวาย

พระองค์ท่านได้พระราชทานพระราชดำริให้ก่อตั้ง "ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ"เมื่อวันที่ 8 มี.ค. พ.ศ.2522 ภายในพื้นที่ 1,895 ไร่ นับเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริแห่งแรกของเมืองไทย

ปัจจุบันศูนย์การพัฒนาเขาหินซ้อนแห่งนี้ถือว่าเป็นตัวอย่างของการพัฒนาตามแนวเกษตรยั่งยืน แบ่งพื้นที่ภายในศูนย์เพื่อทำการสาธิตและทดลองงานต่างๆ อาทิ งานเกษตรแผนใหม่ งานเลี้ยงสัตว์น้ำ งานศิลปาชีพ โครงการสวนป่าสมุนไพร การทำประมงเลี้ยงปลาสวยงาม และปลาน้ำจืดที่ใกล้สูญพันธ์

นอกจากนี้ในศูนย์ฯยังมีสวนพฤกษศาสตร์รวบรวมเอาพรรณไม้ป่า พรรณไม้หายาก พรรณไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ และสวนสมุนไพรที่มีประโยชน์จัดแสดงไว้อย่างสวยงามมากมายให้ชม ซึ่งนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวศึกษาดูงานอันน่าสนใจอีกจุดหนึ่งในเมืองแปดริ้ว

ภาคเหนือ : "ห้วยฮ่องไคร้" พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติมีชีวิต

สำหรับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริแห่งภาคเหนือที่โดดเด่นน่าสนใจก็คงจะหนีไม่พ้นที่ "ห้วยฮ่องไคร้" สถานที่ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติมีชีวิตในผืนป่ากว้าง ห้วยฮ่องไคร้ ตั้งอยู่บนดอยสูงบริเวณพื้นที่ป่าขุนแม่กวง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ภายใต้อาณาเขตกว้างใหญ่กว่า 8,500ไร่

ที่นี่เมื่อประมาณ 25 ปีก่อนหน้า ป่าแห่งนี้เคยเป็นป่าเสื่อมโทรม มีสภาพแห้งแล้งอย่างหนัก จนแทบไม่มีราษฎรอาศัยอยู่ในพื้นที่

จนกระทั่งเมื่อวันที่11 ธ.ค. พ.ศ. 2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนิน ผ่านพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยฮ่องไคร้ ได้ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้ง "ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ"ขึ้น ที่บริเวณพื้นที่ป่าขุนแม่กวงแห่งนี้ เพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษา ทดลอง และการพัฒนาต่างๆในบริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธารของภาคเหนือ และเผยแพร่ให้ความรู้แก่ประชาชน

ส่งผลให้ศูนย์ฯแห่งนี้ กลายเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการที่ดี จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงพัฒนาเหมาะแก่การท่องเที่ยว เพื่อผ่อนคลายอารมณ์และเสริมสร้างความรู้ในห้องเรียนธรรมชาติขนาดใหญ่ ภายในศูนย์แห่งนี้ประกอบด้วย งานศึกษาและพัฒนาแหล่งน้ำ ปศุสัตว์และโคนม ประมง งานปลูกหญ้าแฝก

ภายในมีโครงการแบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนแรกจะเป็นพื้นที่กว่า 6,000 ไร่พัฒนาป่าไม้ด้วยน้ำฝน มีการปลูกเสริมป่าเพื่อพัฒนาต้นน้ำ และเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าไปด้วย

ส่วนที่สอง เป็นพื้นที่พัฒนาป่าไม้ด้วยระบบน้ำชลประทาน ในร่องห้วยมีการสร้างฝายต้นน้ำลำธารเป็นระยะเพื่อกักเก็บน้ำเป็นช่อง มีการขุดคลองไส้ไก่ขนาดเล็กส่งออกไปสองข้างของฝายต้นน้ำลำธาร มีการจัดพื้นที่เป็นทุ่งหญ้าเพื่อเป็นอาหารสัตว์ป่า

ส่วนที่สามคือ พื้นที่พัฒนาการเกษตร โดยทดสอบการทำเกษตรแบบอุตสาหกรรม ผสมผสานกับการปลูกป่าในรูปวนเกษตรการปลูกข้าวและพืชไร่อื่นๆ ไม้ผล สมุนไพร พืชผักพื้นบ้านไม้ดอกไม้ประดับ

ส่วนที่สี่ เป็นพื้นที่พัฒนาการปศุสัตว์ ซึ่งเป็นพื้นที่ใช้ในกิจกรรมการเลี้ยงสัตว์ เป็นการเลี้ยงสัตว์ในสภาพป่าโปร่งเพื่อเพิ่มคุณค่าของป่าสัตว์ที่เลี้ยงส่วนใหญ่คือ โคนม นอกจากนั้นยังมีไก่ เป็ด ห่าน และสุกร

สุดท้ายเป็นพื้นที่ของอ่างเก็บน้ำและพัฒนาการประมง อ่างเก็บน้ำในศูนย์มีทั้งหมด 7 อ่างประกอบด้วยอ่างใหญ่ 3 อ่าง ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในพื้นที่ต่างๆ นอกจากนั้นใช้ในกิจกรรมทดลองการเลี้ยงปลาในอ่างเก็บน้ำตลอดจนศึกษาการจัดรูปแบบบริหารแหล่งน้ำ และยังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนที่เข้ามาตกปลาอีกด้วย

นอกจากนี้เนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองการครองสิริราชย์สมบัติครบ 60 ปี ทางโครงการห้วยฮ่องไคร้ได้จำลองศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริตามสถานที่ต่างๆมาจัดแสดงไว้ที่นี่ อาทิ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน, โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มแม่น้ำปากพนัง โดยได้จัดทำสะพานไม้อย่างสวยงามเพื่อเดินชมศูนย์จำลองและชมทิวทัศน์ของโครงการ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความสนใจที่น่ายลเป็นอย่างยิ่ง

ภาคตะวันออก : อ่าวคุ้งกระเบน ป่าชายเลนทรงคุณค่า

จากอดีตป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบนที่เสื่อมโทรม แทบร้างไร้ประโยชน์ แต่วันนี้ ฟ้าก็มาโปรดยังป่าผืนนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานพระราชดำรัสแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2524 เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่จังหวัดจันทบุรี ว่า

"ให้พิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสม จัดทำโครงการพัฒนาด้านอาชีพการประมงและการเกษตร ในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเล และจังหวัดจันทบุรี"

โดยพระองค์ได้พระราชทานเงินที่ราษฎรจังหวัดจันทบุรีทูลเกล้าฯถวายในโอกาสนั้น ให้เป็นทุนเริ่มดำเนินการ

หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2525 จ.จันทบุรีได้จัดตั้ง"ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ"ขึ้น ที่ ต.คลองขุด อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ภายใต้แนวทาง “การฟื้นฟูและจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเล จากยอดเขาสู่ท้องทะเล” โดยมีพื้นที่ครอบคลุมชายฝั่งทะเลกว่า 2,000 ไร่

นับแต่นั้นมาป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบนนับพันไร่ได้พลิกฟื้นจากป่าเสื่อมโทรม กลายเป็นป่าชายเลนอันทรงคุณค่าที่มากไปด้วยระบบนิเวศอันหลากหลาย อีกทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวประเภทพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติอันทรงคุณค่าแห่งหนึ่งของเมืองไทย

ศูนย์ศึกษาฯอ่าวคุ้งกระเบนฯ มีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศวิทยาให้ศึกษาอย่างหลากหลาย อาทิ "สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา" ซึ่งในนั้นได้แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 4 กลุ่ม คือ ปลาเศรษฐกิจ ปลาสวยงาม ปลาในแนวปะการัง และปลาที่มีรูปร่างแปลก ที่ถือว่าได้ว่าเป็นพันธุ์ปลาที่หายากในแถบทะเลตะวันออก เช่น ปลาการ์ตูน ( นีโม) ปลาผีเสื้อลายไขว้ หอยมือเสือ ปลาสิงโต ฯลฯ

มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่เป็นสะพานไม้ยาวประมาณ 1,600 เมตร ผ่านผืนป่าชายเลนอันร่มครึ้ม มากไปด้วยพันธุ์ไม้มากมาย อาทิ โกงกางใบเล็ก-ใหญ่ ต้นฝาด ต้นฝาดแดง แสมขาว แสมดำ ลำพู ลำแพน ตะบูน ประสัก มีปูก้ามดาบ ปลาตีน และนกหลากหลายชนิด โดยระหว่างทางจะมีศาลาให้ความรู้ในเรื่องราวต่างๆของป่าชายเลน รวมถึงป้ายสื่อความหมายพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ไปเป็นระยะๆตลอดเส้นทาง
 ชีวิตใหม่ที่งอกงามแห่งป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน
สำหรับจุดที่ถือเป็นไฮไลท์ประจำเส้นทางเดินป่าแห่งนี้ก็เห็นจะเป็นสะพานแขวนที่เป็นทั้งจุดชมวิวและมุมถ่ายรูปอันยอดเยี่ยม และจุด "อนุสรณ์หมูดุด" หรือ"พะยูน"หรือที่บางคนเรียกว่า "วัวทะเล" ซึ่งเจ้าสัตว์ชนิดนี้ในอดีตถือเป็นเจ้าแห่งอ่าวคุ้งกระเบน ที่วันนี้สูญพันธุ์กลายเป็นตำนานเหลือแค่รูปปั้นเอาไว้ให้ดูต่างหน้า

ภาคอีสาน : "ภูพาน"...สร้างน้ำ เพิ่มป่า พัฒนาชีวิตแบบพอเพียง

จากอ่าวคุ้งกระเบนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไปดูพระบารมีที่แผ่ปกคลุมไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานกันบ้างที่ “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าภูล้อมข้าว-ภูเพ็ก เป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าใหญ่บนเทือกเขาภูพาน

ที่แห่งนี้ถือกำเนิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2525โดยเริ่มก่อสร้างที่ทำการศูนย์ฯ เมื่อปี พ.ศ. 2527 บริเวณบ้านนานกเค้า ต.ห้วยยาง อ.เมือง จ.สกลนคร ด้วยแนวพระราชดำริ "สร้างน้ำ เพิ่มป่า พัฒนาชีวิตแบบพอเพียง"
ฝายชะลอน้ำที่ภูพาน(ภาพ : ศูนย์ฯศึกษาภูพาน)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้งศูนย์ฯขึ้น เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอาชีพความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตของปวงชนชาวไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทรงมีพระราชดำริถึงศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานความตอนหนึ่งว่า

"...ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เดิมเป็นป่าโปร่ง คนไปตัดไม้สำหรับเป็นฟืนและใช้พื้นที่สำหรับทำการการเกษตรกรรม ป่าไม้ที่อยู่เหนือพื้นที่ถูกทำลายไปมาก จึงไม่มีน้ำในหน้าแล้ง น้ำไหลแรงในหน้าฝน ทำให้มีการชะล้าง (Erosion) หน้าดิน (Top Soil) บางลง และเกลือที่อยู่ข้างใต้จะขึ้นเป็นหย่อมๆ..."

ที่นี่มุ่งเน้นให้เป็นสถานศึกษาทดลองการเกษตรที่เหมาะสมกับท้องถิ่น และนำออกเผยแพร่เป็นตัวอย่างให้ราษฎรนำไปปฏิบัติ เพื่อพัฒนาอาชีพ ฟื้นฟู และพัฒนาป่าไม้ การปลูกพืชเศรษฐกิจที่ให้ผลเพิ่มรายได้แก่เกษตรกร

พระราชประสงค์อีกข้อหนึ่ง ก็คือการให้ที่นี่เป็น “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต”เป็นห้องทดลองทางการเกษตรที่จะคอยสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการให้เกษตรกรนำไปใช้ได้จริง เกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเป็นอาชีพเสริม มีการสร้างอ่างเก็บน้ำตาดไฮใหญ่ เพื่อไว้รองรับในฤดูน้ำขาดแคลน

ปัจจุบันศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ ยังทำการสาธิตกิจกรรมตามแนวพระราชดำริอื่น ๆ อีกถึง 11 กิจกรรม ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปศึกษาได้ ประกอบด้วยกิจกรรมด้านชลประทาน ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง การพัฒนาดิน อุตสาหกรรมในครอบครัว สาธารณสุข การพัฒนาหมู่บ้านตัวอย่าง ส่งเสริมการเกษตร

ภาคใต้ : "ปากพนัง" พัฒนาอย่างผสมผสาน

ลงมาทางภาคใต้กันบ้างที่ จ.นครศรีธรรมราช กับ "โครงการพัฒนาลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ" ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างผสมผสาน บริหารจัดการ ทรัพยากร ทั้งลุ่มน้ำ ครอบคลุมพื้นที่ 1,900,000 ล้านไร่ ครอบคลุม พื้นที่รวม 7 อำเภอ คือ พื้นที่ทั้งหมดของอำเภอชะอวด อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอหัวไทร และอำเภอปากพนัง กับพื้นที่บางส่วนของอำเภอลานสะกา และอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช

โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำจืด ปัญหาน้ำเค็ม น้ำเน่าเสีย น้ำเปรี้ยว และน้ำท่วมของ "ลุ่มน้ำปากพนัง" ตามแนวพระราชดำริ ด้วยการก่อสร้างประตูระบายน้ำ ขุดคลองเพื่อระบายน้ำและระบบชลประทาน

ที่นี่มีสถานที่น่ายลหลายแห่งอย่าง "ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ์" อันเป็นนามพระราชทานจากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หมายถึง ประตูที่ให้ประสบความสำเร็จในการแยกน้ำ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหา ซึ่งนำไปสู่ความผาสุกของปวงพสกนิกรและความมั่งคงทางเศรษฐกิจ

ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ์ ตั้งอยู่ที่บ้านบางปี้ ต.หูล่อง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก มีช่องระบายน้ำรวม 10 ช่อง สามารถระบายน้ำได้ 1,426 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดย 2 ข้างของอาคารประตูระบายน้ำมีบันไดปลาและทางปลาลอดตั้งอยู่ สำหรับให้วงจรชีวิตของสัตว์น้ำเป็นไปอย่างธรรมชาติ ซึ่งผู้ที่ไปเที่ยวชมประตูระบายน้ำฯยังสามารถร่วมปลูกต้นไม้ถวายแด่ในหลวงได้ที่ลานปลูกต้นไม้ใกล้ๆกับประตูระบายน้ำฯ โดยจะมีชื่อคนปลูกจารึกเอาไว้ด้วย

ในโครงการฯปากพนัง ยังมีสถานที่ชวนเที่ยวชมอย่าง "พิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติเพื่อพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง" ที่เป็นอาคารรูปทรงสวยงาม ภายในประกอบด้วยห้องทรงงานส่วนพระองค์ ห้องประชุม และห้องนิทรรศการ ที่จัดแสดงเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับลุ่มน้ำปากพนัง รวมถึงจัดแสดงเกี่ยวกับพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะในด้านทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนาและด้านการบริหารจัดการน้ำ

ทั้งนี้บริเวณใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์ฯมี"อนุสาวรีย์ปล่องโรงสีข้าวโบราณ" เป็นอีกหนึ่งจุดชวนชม ปล่องโรงสีข้าวโบราณถือเป็นสัญลักษณ์แห่งปากพนัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในอดีตปากพนังมีความอุดมสมบูรณ์ในฐานะอู่ข้าวอู่น้ำแห่งหนึ่งของเมืองไทย
พิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติฯ ปากพนัง
นอกจากนี้ในโครงการฯยังมี "พระตำหนักประทับแรมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าภายในบริเวณตำหนักประทับ สร้างเป็นอาคารทรงไทยที่โดดเด่นไปด้วยเอกลักษณ์แบบภาคใต้ตกแต่งบริเวณอย่างร่มรื่นสวยงาม มีต้นไม้ประจำถิ่นจาก 14 จังหวัดภาคใต้ปลูกล้อมรอบ และพันธุ์ไม้พื้นเมืองภาคใต้หายากอีกจำนวนมาก ซึ่งนี่ถือเป็นโครงการแรกในโลก ที่ประชาชนชาวปากพนังและชาวนครศรีธรรมราชร่วมแรงร่วมใจกันสร้างถวาย ที่ถือเป็นอีกจุดหนึ่งในโครงการฯที่น่ายลเป็นอย่างยิ่ง(ต้องขออนุญาตก่อนเข้าชม)

.....................................................

สำหรับ 5 สถานที่จากโครงการพระราชดำริ 5 แห่ง จาก 5 ภาคนั้น ผู้ที่ไปเยี่ยมชมโครงการพระราชดำริ นอกจากจะให้ความรู้ ความเพลิดเพลิน ยังได้ซึมซับกับแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สามารถนำกลับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

"ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ" อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เปิดทุกวัน พุธ-พฤหัสบดี และเสาร์-อาทิตย์ ค่าบริการ 20 บาท ผู้ที่สนใจจะเข้าชมศูนย์เป็นหมู่คณะ ต้องการเจ้าหน้าที่นำชม ทำหนังสือติดต่อล่วงหน้า นอกจากนั้นศูนย์ฯ ยังมีบริการที่พัก สอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 0-3859-9105-6

"ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ" ตั้งอยู่ ณ ต.ป่าเมี่ยง และต.แม่โป่ง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมได้ทุกวัน ระหว่างเวลา 08.30-16.30 น. ที่นี่มีบ้านพักรับรองหรือกางเต็นท์พักแรมได้ แต่ต้องนำอุปกรณ์มาเองและต้องติดต่อขออนุญาตล่วงหน้า สอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 0-5324-8004, 0-5324-8483

"ศูนย์ศึกษาและพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ" ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ต.คลองขุด อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น. สอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 0-3938-8116-8

"ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ"ตั้งอยู่ที่ หมู่บ้านนานกเค้า ต.ห้วยยาง อ.เมือง จ.สกลนคร ถนนสาย สกลนคร – กาฬสินธุ์ สอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 0-4274-7458-9 โทรสาร. 0-4274-7460

"โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังฯ" ตั้งอยู่ที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช สอบถามเพิ่มเติมที่ โทร.0-7541-6127

กำลังโหลดความคิดเห็น