...วสันต์ผ่านผัน เหมันต์มาเยือน
ท้องฟ้าที่ชุ่มฝนของจังหวัดระนองได้คลี่คลายเข้าสู่ความสดใสอีกครั้ง แต่กระนั้นฟ้าฝนของเมืองนี้ก็ยังไว้ลาย“เมืองฝนแปด แดดสี่” ตั้งเค้าเทาทะมึนให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราว
ไม่เพียงเท่านั้น หน้าหนาวนี้ น่านฟ้าเมืองระนองดูจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาเป็นพิเศษเมื่อสายการบิน“ไทยแอร์เอเชีย”ได้ทำการเปิดบินตรงจากกรุงเทพฯสู่ระนอง(และระนอง-กรุงเทพฯ) หลังจากที่เมืองนี้ว่างเว้นจากการเดินทางด้วยสายการบินพาณิชย์มาร่วม 2 ปี
แน่นอนว่างานนี้ภาคการท่องเที่ยวได้รับอานิสงส์ไปเต็มๆ แม้ระนองจะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักก็ตาม แต่เมืองนี้ก็มากไปด้วยทรัพยากรท่องเที่ยวอันหลากหลายทั้งทางบกและทะเล รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยวประเภทอันซีนไทยแลนด์ ทั้งจากการจัดของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)และคำบอกเล่าของชาวระนองเอง
ระนองแคนย่อน
พอมีคนมาชวนไปเที่ยวระนองในมุมมองแบบอันซีน “ผู้จัดการท่องเที่ยว”ก็หูผึ่งทันที รีบเก็บเสื้อผ้าออกเดินทางสู่ระนองทันที
หลังเดินทางไปถึงเราขอแช่น้ำแร่ที่โรงแรมจันทร์สม ฮอทสปา ระนอง ที่ขึ้นชื่อในเรื่องสปาน้ำแร่ของระนอง ให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า แล้วกับไปนอนพักผ่อนให้สดชื่นแจ่มใสก่อน 1 คืน จากนั้นวันรุ่งขึ้น เรารีบตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อออกเดินทางไปเยือน“ระนองแคนย่อน”เพื่อชมปรากฏการณ์“หมอกไล่น้ำ”อันโรแมนติกชวนฝัน เป็นการประเดิมเปิดทริป
ระนองแคนย่อน ตั้งอยู่ที่บ้านทุ่งคา ต.หาดส้มแป้น อ.เมือง อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 15 กม. ในวันที่เราไปเยือนมีเด็กๆไกด์ตัวน้อยของชุมชนมาคอยนำชมพร้อมให้ข้อมูลประกอบ ที่ถือว่าโชคดีไม่เบา
“ระนองแคนย่อนเคยเป็นอดีตเหมืองแร่ดีบุกเก่า เกิดจากภูเขาหินปูนที่ถูกกัดเซาะจนเว้าแหว่งเกิดเป็นบึงที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา ช่วงเช้าของทุกวันที่บึงแห่งนี้จะมีหมอกขาวโพลนลอยเหนือน้ำ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าหมอกไล่น้ำ”
เด็กหญิงสุทธิดา คลี่ขยาย นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนชาติเฉลิมระนอง ตัวแทนกลุ่มไกด์ตัวน้อยแห่งชมรมอาสาสมัครรักษ์หาดส้มแป้นให้ข้อมูลกับเรา ก่อนอธิบายเพิ่มเติมว่า ระนองแคนย่อน เดิมเรียกว่า‘บึงมรกต’ เพราะเมื่อมองจากเนินเขาข้างบนลงมาจะเห็นน้ำในบึงใสแจ๋วสะท้อนสีของฟ้าและต้นไม้เป็นสีเขียวอมฟ้าดุจดังมรกต ส่วนปรากฏการณ์เกิดหมอกไล่น้ำยามเช้านั้นเกิดจากการคายน้ำของต้นไม้ในบริเวณนี้นั่นเอง
น่าเสียดายที่วันนั้นเราไปถึงระนองแคนย่อนสายไปนิด สายหมอกขาวจากปรากฏการณ์หมอกไล่น้ำจึงดูเบาบางลงไปมากเห็น มีเพียงสายบางๆจางๆลอยอ้อยอิ่งจากปรากฏการณ์แดดไล่หมอกให้เห็น ที่จะว่าไปก็ดูฟุ้งฝันไปอีกแบบ ในขณะที่สายน้ำในบึงนั้นเล่าก็ใสแจ๋ว มีศาลาริมน้ำเล็กๆ 2 หลังตั้งประดับเสริมองค์ประกอบ ส่วนบริเวณริมบึงจะมีปลาแหวกว่ายเล่นสายน้ำเป็นจำนวนมาก น้องสุทธิดาบอกว่าน้ำในบึงที่เห็นใสๆแบบนี้น่ะ ลึกเอาเรื่อง ลึกถึงหลายช่วงคนทีเดียว
นี่คงเข้าทำนอง“น้ำนิ่งไหลลึก”ที่หากใครเจอคนประเภทนี้ก็ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด ขณะเดียวกันกับสาย“น้ำไหลแต่ไม่ลึก”นี่ก็มองข้ามไม่ได้เช่นกัน เพราะจุดหมายต่อไปของเราที่คลองนาคานั้นเป็นประเภท น้ำไม่ลึกใสไหลเอื่อย ที่ชื่อชั้นไม่จะไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวประเภทบิ๊กเนม แต่ว่ามันคืออันซีนเมืองระนองที่มีความสำคัญในระดับโลกทีเดียว
ส่วนจะเป็นอะไร“ผู้จัดการท่องเที่ยว”ขออุบไว้ก่อน เอาไว้ไปถึงคลองนาคาค่อยว่ากันอีกที ส่วนตอนนี้ขอตัวไปเติมพลังกับอาหารเช้าในตลาดกันก่อน เพราะคลองนาคาที่เราจะไปเที่ยวนั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองกว่า 100 กิโลเมตรทีเดียว
คลองนาคา
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ฉันใดก็ฉันเพล การเดินทางก็ต้องเติมพลังให้ท้องเช่นกัน โดยหลังอิ่มหนำสำราญแล้ว เราก็เดินทางข้ามอำเภอสู่พื้นที่คลองนาคา เพื่อไปล่องแพไม้ไผ่ชมดอกไม้น้ำหนึ่งเดียวในโลกกันทันที
หลังใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึงยังจุดล่องแพ ณ ฝาย(เขื่อน)คลองนาคาใหญ่ แห่งหน่วยพิทักษ์ป่าทุ่งถั่ว(เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา) ต.นาคา กิ่ง อ.สุขสำราญ ในพื้นที่อันร่มรื่นเขียวครึ้ม มีสายธารน้ำใสไหลเอื่อยๆผ่านหน้า
“ผู้จัดการท่องเที่ยว” เห็นน้ำใสไหลเอื่อยแบบนี้ ใจมันอยากกระโดดลงน้ำยิ่งนัก แต่ยังไงคงต้องยับยั้งชั่งใจไว้ก่อน เพราะนับจากนี้ไปเราจะได้ล่องแพไม้ไผ่ไปตามสายน้ำชมทิวทัศน์ 2 ข้างทาง ซึ่งการล่องแพไม้ไผ่ที่นี่ สบายใจได้เรื่องความปลอดภัย เพราะสายน้ำไหลไม่แรง สูงสุดแค่ระดับ 1+ อีกทั้งทางทีมงานจาก“ชมรมเพลินไพร ศรีนาคา”ก็ได้กำชับให้นักท่องเที่ยวทุกคนที่ล่องแพสวมเสื้อชูชีพกันทุกคน ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน
และนับจากนี้ไปเราคงต้องฝากชะตากรรมไว้กับคนถ่อแพหัว-ท้าย จนกว่าจะถึงจุดหมาย แต่งานนี้ขอให้วางใจได้ เพราะนายหัวอย่างลุงท้วมที่ร่างไม่ท้วมนั้นเป็นมือถ่อเก่าโชกโชนของที่นี่ ส่วนพี่ชัย นายท้ายนั้นยิ่งห้าห่วง เอ้ย!!! หายห่วง เพราะแกมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ถ่อแพ 3 สมัยแห่งคลองนาคา ฉะนั้นจึงไว้ใจได้ในเรื่องความปลอดภัยและฝีมือการถ่อ (คลองนาคาเพิ่งจัดแข่งขันถ่อแพไม้ไผ่มา 3 ปี ปรากฏว่าพี่ชัยคว้าแชมป์ประเภทมาราธอนไปครองทีมเดียวถึง 3 ปีติดกัน)
ครั้นเมื่อแพไม้ไผ่พร้อม คนถ่อแพหัว-ท้ายพร้อม และคนนั่งแพอย่างเรารวมถึงสาวๆอีก 3 คน ที่มาร่วมลงเรือลำเดียวกันพร้อม(แพไม้ไผ่ 1 แพนั่งได้ไม่เกิน 4 คน) เจ้าหน้าที่ก็ค่อยๆถ่อแพออกจากจุดเริ่มต้น ณ บริเวณเขื่อนทันที
แพไม้ไผ่ไหลไปตามสายน้ำแบบชิลล์ ชิลล์ ทิวทัศน์ 2 ข้างทางนอกจากขุนเขา ป่าไม้แล้วก็มีสวนยาง สวนปาล์มของชาวบ้านให้ชม โดยมีสวนกาแฟแซมบ้างประปราย พี่ชัยบอกว่าใครอยากกินกาแฟสดๆที่นี่มีให้เก็บเม็ดกินเพียบ ส่วนน้ำชงก็ให้เอาน้ำในคลองนั้นแหละ เอ้อ!?! ว่าเข้าไปนั่น
ในสายน้ำที่ไหลเอื่อย นานๆจะมีโค้งน้ำ แก่งน้ำเล็กๆให้ตื่นเต้นบ้างพอเป็นพิธี แต่ดูเหมือนว่า 3 สาวที่ร่วมลงแพไปกับเรานี่เธอจะอินน์เป็นพิเศษ เพราะขณะที่ความแรงของสายน้ำตามโค้งตามแก่งต่างๆอยู่ที่ระดับ 1-1+ แต่เสียงกรี๊ดของสาวๆนั้นปาเข้าไปถึงระดับ 10++ แน่ะ
หลังล่องแพชมนกชมไม้ผ่านแก่งต่างๆอาทิ แก่งคลองนาคา แก่งโค้งมะเดื่อ แก่งสะพานไร่ใน แก่งสวนปาล์ม มาได้ประมาณชั่วโมงกว่าๆ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” สังเกตว่าบนพื้นผิวน้ำมีเริ่มดอกไม้สีขาวๆชูไหวๆออกดอกเป็นช่อแฉกให้ชื่นชมกันอย่างประปราย
“นี่คือดอกพลับพลึงธารหรือหญ้าช้อง ดอกไม้น้ำหนึ่งเดียวในโลกที่คลองนาคา”
พี่ชัยบอกอย่างนั้น ก่อนเล่าคร่าวๆถึงลักษณะของพลับพลึงธารให้ฟังว่า เป็นพืชน้ำที่พบเฉพาะในสายธารแห่งคลองนาคาและป่ารอยต่อระหว่างระนอง-พังงา แต่ว่าที่พังงานั้นพบบ้างประปรายเท่านั้น โดยจากการศึกษาข้อมูลพบว่าพลับพลึงธาร(สกุลนี้)มีขึ้นอย่างสมบูรณ์จำนวนมากพบเพียงแห่งเดียวในโลกที่คลองนาคาเท่านั้น
“คุณมาเที่ยวถูกจังหวะพอดี เพราะช่วงนี้พลับพลึงธารกำลังออกดอกขาวบานเต็มที่และมีกลิ่นหอมอ่อนๆจางๆ ปีหนึ่งๆมันจะออกดอกแค่ช่วงปลายเดือนตุลาคมไปจนถึงปลายเดือนธันวาคมเท่านั้น” พี่ชัยอธิบาย
สาวสะคราญนางหนึ่งในแพของเราเมื่อได้ยินว่าดอกพลับพลึงธารมีกลิ่นหอม เธอจึงบอกให้พี่ชัยถ่อแพไปใกล้ดอกไม้เพื่อก้มหน้าลงหอมพิสูจน์กลิ่นของพลับพลึงธารทันที ซึ่ง“ผู้จัดการท่องเที่ยว”หากไม่ติดภารกิจถ่ายรูปก็อยากจะทำอย่างนั้นบ้าง แต่ถ้าจะให้ดีเราขอหอมทั้งดอกไม้และหอมทั้งแก้มสาวไปพร้อมๆกันเลย 555
นอกจากดอกจะชูช่อขาวพลิ้วไหวไปตามสายน้ำแล้ว ใบของต้นพลับพลึงธารนี่ก็สวยไม่ใช่เล่น ดูเป็นสายยาวประหนึ่งริบบิ้นสีเขียว ที่ลอยส่ายไหลลู่ตามสายน้ำดูเป็นเส้นสายสวยงาม
“พลับพลึงธารเป็นไม้ขยายพันธุ์ด้วยหัวจากใต้น้ำ ที่จะเจริญเติบโตเฉพาะในน้ำสะอาดที่ไหลเอื่อยๆเท่านั้น หากธารน้ำสกปรกเมื่อไหร่พลับพลึงธารจะหยุดขยายพันธุ์ทันที ชาวบ้านที่คลองนาคาได้ร่วมกันตั้งชมรมเพลินไพรศรีนาคาขึ้นมาเพื่ออนุรักษ์และดูแลเจ้าต้นพลับพลึงธาร”
พี่ชัยเล่าให้ฟัง พร้อมบอกว่าการล่องแพมาเที่ยวอย่างนี้ไม่ต้องกลัวว่าดอกใบหรือต้นพลับพลึงธารจะเสียหาย เพราะต้น ใบ และ หัวของมัน ส่วนคนถ่อแพจะถ่อเลาะหลบหลบดงดอกไม้ แต่ถ้าดอกและใบมันจะเสียหายก็เกิดจากการที่คนไปหัก เด็ด ทึ้ง กระชาก ดอกและใบของมัน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องเตือนนักท่องเที่ยวอยู่เสมอว่า ให้ดูแต่ตา มืออย่าต้องเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นของที่มีหนึ่งเดียวในโลกอาจจะได้รับความเสียหายได้
สำหรับเจ้าดอกพลับพลึงธารที่“ผู้จัดการท่องเที่ยว”เห็นนั้น แม้แค่มันขึ้นเพียงช่อเดียวก็ดูสวยงามน่ายลแล้ว แต่กับภาพที่เห็นเบื้องหน้าหลังจากที่พี่ชัยถ่อแพไปจอดริมฝั่ง ดูแล้วช่างสวยงามสุดยอดจริงๆ เพราะมันเต็มไปด้วยเจ้าดอกพลับพลึงธารสีขาวนวลขึ้นดารดาษเต็มท้องน้ำ ในขณะที่ใบเขียวยาวคล้ายริบบิ้นเขียวนั้นก็พลิ้วไหวส่ายริกๆตามกระแสน้ำ ช่วยเติมเต็มองค์ประกอบของดอกไม้หนึ่งเดียวในโลกให้สมบูรณ์สวยงามมากขึ้น
และที่ทุ่งดอกพลับพลึงธารที่ขึ้นเป็นทิวแถวยาวไปตามสายน้ำประมาณ 2 กม.นั้นถือเป็นจุดสิ้นสุดการล่องแพของเราในครั้งนี้ ซึ่งรวมระยะทางที่ล่องแพมาตกประมาณ 4 กม.ใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมง ถือเป็นการล่องแพระยะสั้น ส่วนถ้าใครจะล่องระยะยาวก็จะมีระยะทางประมาณ 10 กม. ใช้เวลาราวๆ 4 ชั่วโมงเศษๆ
หลังชมดอกพลับพลึงธารบานจนอิ่มตาจุใจ ทีนี้ก็ได้เวลาอิ่มท้องกันบ้าง โดยทางทีมงานเพลินไพรฯได้เตรียมข้าวห่อใบบัว และอาหารพื้นบ้านรสเด็ด อย่าง หมูทอด ไข่ชะอม น้ำพริกมะขาม ผักจิ้ม และขนม(ข้าวเหนียวสังขยา,ตะโก้) เอาไว้ให้ดับความหิว ณ จุดขึ้นฝั่งบริเวณวังปลา ที่นี่ถือเป็นอาหารรสโอชะมื้อพิเศษเรามื้อหนึ่งเลยทีเดียว
ภูเขาหญ้า
หลังจุใจกับการล่องแพตามหาดอกพลับพลึงธารหนึ่งเดียวในโลก เราเดินทางกลับเข้าเมืองอีกครั้ง เพื่อแวะชม “ภูเขาหญ้า”สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของระนอง ที่ทางททท.ยกให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์อันโด่งดัง
ภูเขาหญ้า หรือ เขาผี ตั้งอยู่ที่ หมู่ 1 ต.หงาว ริมทางหลวงหมายเลข 4(ระนอง-พังงา) ห่างจากตัวเมืองประมาณ 13 กม. ภูเขาหญ้าถือเป็นเขาหัวโล้นตามธรรมชาติ คือมีแต่หญ้าขึ้นปกคลุมโดยไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้น ซึ่งก็ดูสวยงามแปลกตาไปอีกแบบ โดยเฉพาะช่วงที่ภูเขาหญ้าเขียวขจีหรือเหลืองทอง ต้องลมพลิ้วไหวรับกับแสงแดดอ่อนๆยามเช้าและยามเย็น
เดิมนั้นภูเขาหญ้าสามารถขับรถโฟร์วีลขึ้นไปได้ และก็ทำให้หญ้าและพืชพันธุ์ต่างๆบนภูเขาถูกล้อรถบดขยี้เสียหายไปมาก จนล่าสุดทางจังหวัดระนองได้ปิดเส้นทางถนนไม่ให้รถขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีเส้นทางเดินเท้าเอาไว้สำหรับให้ผู้สนใจเดินขึ้นไปชมทิวทัศน์เบื้องบน ซึ่งการได้เห็นภูเขาหญ้าหรือเขาหัวโล้นตามธรรมชาติแบบนี้ “ผู้จัดการท่องเที่ยว”ว่าสบายตากว่าการได้เห็นภูเขาหน้าหรือเขาหัวโล้นที่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าเป็นไหนๆ เพราะยิ่งเขาหัวโล้นที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์มากขึ้นเท่าใด ป่าไม้ก็จะหมดไปจากโลกมากขึ้นเรื่อยตามไปด้วยนั่นเอง
น้ำตกหงาว
จากภูเขาหญ้าเดินทางไปอีกนิดก็จะถึงยัง“น้ำตกหงาว”น้ำตกที่เมื่อมองจากถนนจะเห็นเป็นสายไหลยาว โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนน้ำตกหงาวจะแผ่สยายไหลขาวเป็น 2 สายดูสวยงามเป็นพิเศษ ส่วนช่วงหน้าหนาวแบบนี้มีน้ำน้อย น้ำตกหงาวจึงไหลแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยเพียงสายเดียว
สำหรับน้ำตกหงาวเป็นแหล่งท่องเที่ยวเก่าแก่ยอดนิยมแห่งระนอง(ไม่ใช่อันซีน) ที่หากใครอยากชมอย่างใกล้ชิดหรือลงไปเลือกกลิ้งนอนแช่น้ำก็ต้องไปเที่ยวที่“อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว”อันร่มรื่นเขียวครึ้ม
ที่นี่มีไฮไลท์คือ สายน้ำตกชั้นสุดท้าย สูงประมาณ 20 เมตร ที่ไหลเป็นสายขาวนวลลงมาตามโตรกผาตกกระทบกับแอ่งน้ำเบื้องล่าง ซึ่งหากใครโชคดีอาจจะได้พบกับ “ปูเจ้าฟ้า”ออกหากินตามตรอกซอกหินก็เป็นได้ เจ้าปูชนิดนี้มีลำตัวและก้ามเป็นสีขาว ตรงช่วงปากมีสีม่วงอมดำ ถือเป็นปูที่ได้ชื่อว่าเป็นอันซีนเมืองระนองเหมือนกัน เพราะมันหาชมตัวเป็นได้ยากเต็มที
ส่วนที่หาชมได้ไม่ยากในหน้าหนาวนี้ที่น้ำตกหงาวก็คือ“ดอกโกมาซุม”หรือ “เอื้องเงินหลวง”ดอกไม้(กล้วยไม้)ประจำจังหวัดระนอง ที่ทางอุทยานฯได้เพาะเลี้ยงไว้ตามต้นให้นักท่องเที่ยวชมกัน
ดอกโกมาซุม ยามที่บานเต็มที่จะมีลักษณะคล้ายดอกแคทลียา มีกลีบสีขาว 4 กลีบ กลีบที่ม้วนห่อจะมีสีเหลืองอยู่ตรงกลาง และบังเอิญว่าช่วงที่เราไปเยือนน้ำตกหงาวนั้น ดอกโกมาซุมกำลังเบ่งบานพอดี จึงทำให้มีโอกาสได้ยลโฉมเจ้ากล้วยไม้ประจำจังหวัดระนองอย่างจุใจ อิ่มตา ซึ่งหลัง “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ได้เห็นดอกโกมาซุมสีขาวเบ่งบานแล้ว หัวใจเราก็พลอยมีดอกไม้บานตามไปด้วย
นั่นคงเป็นเพราะเสน่ห์มนต์ขลังและพลังแห่งอันซีนเมืองระนอง เมืองสงบๆแห่งภาคใต้ที่แฝงเร้นไปด้วยสิ่งน่าสนใจให้ค้นหาอยู่มากมาย
*****************************************
กิจกรรมล่องแพชมพลับพลึงธารคิดราคา 450 บาท/คน ราคานี้คิดเท่ากันทั้งระยะใกล้ 4 กม.และไกล 10 กม. เนื่องจากแพต้องนำไปขึ้นฝั่งที่ระยะไกล รวมอาหารกลางวัน+อาหารว่าง+ขนม แพไม้ไผ่ 1 ลำนั่งได้ 4 คน ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ชมรมเพลินไพร ศรีนาคา โทร. 08-6120-9700
สอบถามข้อมูลน้ำตกหงาว ติดต่อที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว โทร.0-7784-8181
นอกจากแห่งท่องเที่ยวที่กล่าวมาแล้ว ระนองยังมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจ อาทิ สุสานเจ้าเมืองระนอง บ่อน้ำร้อน-สวนสาธารณะรักษะวาริน พระราชวังรัตนรังสรรค์(จำลอง)น้ำตกปุญญบาล ศูนย์วิจัยป่าชายเลนหงาว เกาะพยาม อุทยานแห่งชาติแหลมสน คอคอดกระ ส่วนของกินของฝากขึ้นชื่อแห่งเมืองระนองก็คือ ซาลาเปาทับหลี เม็ดมะม่วงหิมพานต์(กาหยู) น้ำดื่มน้ำแรธรรมชาติ และกะปิ ซึ่งผู้สนใจสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในจังหวัดระนองสามารถสอบถามได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานภาคใต้ เขต 5 โทร.0-7728-8818-9
สำหรับการเดินทางสู่ระนองนอกจากทางรถยนต์ และรถประจำทางแล้ว ล่าสุดสายการบินไทยแอร์เอเชียได้เปิดเส้นทาง กรุงเทพฯ – ระนอง และระนอง-กรุงเทพฯ สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน คือวัน อังคาร ศุกร์ และอาทิตย์ ผู้สนใจสอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์บริการลูกค้า โทร. 0-2515-9999 หรือที่ www.airasia.com
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ที่พักใน จ.ระนอง ร้านอาหารใน จ.ระนอง เทศกาลและงานประเพณี จ.ระนอง
ของที่ระลึก จ.ระนอง การเดินทางไป จ.ระนอง
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ไหว้สุสาน ชมจวนเจ้าเมืองระนอง "คอซู้เจียง"
เยือนเกาะสน ยลเกาะสอง จากระนองสู่เมียนมาร์ (1)
เยือนเกาะสน ยลเกาะสอง จากระนองสู่เมียนมาร์ (จบ)
เยือน"พระราชวังรัตนรังสรรค์"วังงามกลางเมืองระนอง
"ระนอง”เสน่ห์เมือง 7 น้ำ (จบ)/ ปิ่น บุตรี
“ระนอง”เสน่ห์เมือง 7 น้ำ (1)/ปิ่น บุตรี
“เกาะคณฑี”วิถีชาวปากน้ำ แง่งามเมืองระนอง