xs
xsm
sm
md
lg

ฝากไว้ก่อนนะบ้านรักไทย แห่งเมืองสามหมอก / ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี

“ปางอุ๋ง”หรือบ้านรวมไทยแห่งเมืองสามหมอก คือหนึ่งใน“สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย”ที่จัดว่ามาแรงไม่เบาในช่วง 5-6 ปีมานี้ เพราะที่นี่มีบรรยากาศของอ่างเก็บน้ำ ขุนเขา ป่าสน และแมกไม้อันสวยงาม รวมถึงสภาพอากาศที่หนาวเย็น

และด้วยเสียงร่ำลือเล่าอ้างในความงามของปางอุ๋ง ทำให้เมื่อโอกาสมาเยือนผมจึงไม่พลาดที่จะตะลุยโค้งเดินทางสู่แม่ฮ่องสอนเพื่อไปเยือนสวิสเมืองไทยให้เป็นขวัญตาขวัญใจสักหน่อย

“ไหนๆขึ้นมาแอ่วปางอุ๋งทั้งที น่าจะไปแวะเที่ยวบ้านรักไทยที่อยู่ไม่ไกลกันด้วย หมู่บ้านนี้สวยเอาเรื่อง ที่สำคัญคือเขาขึ้นชื่อเรื่องของชาและอาหารยูนนานมานานแล้ว”ตั้มเพื่อนชาวแม่ฮ่องสอนบอกกับผมอย่างนั้น

ด้วยเหตุนี้เมื่อเราเที่ยวสัมผัสกับบรรยากาศสวิสเมืองไทยกันจนจุใจแล้ว ตั้มจึงขับรถออกจากบ้านรวมไทยมุ่งหน้าสู่บ้านรักไทยที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

บ้านรักไทยและบ้านรวมไทยนอกจากจะมีชื่อคล้ายกันแล้ว(รวมไทย : รักไทย) ทั้ง 2 หมู่บ้านยังมีจุดที่เหมือนกันอีก 2-3 ประการด้วยกัน คือต่างก็เป็นหมู่บ้านริมชายแดนเหมือนกัน อยู่ห่างจากทางแยกบ้านนาป่าแปกเป็นระยะทาง 6 กิโลเมตรเท่ากัน แถมยังมีระยะทางจากตัวจังหวัดแม่ฮ่องสอนสู่ทั้ง 2 หมู่บ้านเป็นระยะทางเท่ากันอีกคือ(ประมาณ) 44 กิโลเมตร (อ้างอิงจากเอกสารแผนที่ท่องเที่ยวแม่ฮ่องสอนของททท.)

ส่วนจุดต่างที่สัมผัสได้ก็คือเสน่ห์และบรรยากาศทางการท่องเที่ยวที่แตกต่างกันนั่นเอง

ตั้มบอกกับผมว่าถ้าจะพาสาวมานอนในบรรยากาศโรแมนติกๆ แวดล้อมด้วยแมกไม้ อ่างเก็บน้ำ ป่าสน ตื่นเช้าชมไอหมอกขาวลอยไต่ระเรี่ยเหนือผิวน้ำ ช่วงสายจิบกาแฟรสดี ก็ให้มาที่บ้านรวมไทยหรือปางอุ๋ง

ส่วนถ้าจะมาจิบชา กินอาหารยูนนานรสเลิศ ชมวิถีชีวิตและสีสันบ้านดินก็ให้ไปที่บ้านรักไทย ซึ่งหลังจากเที่ยวปางอุ๋งหรือบ้านรวมไทยแล้ว ตั้มก็พาผมลัดเลาะโค้งแห่งขุนเขาไปยังบ้านรักไทยทันที

“คนที่มาบ้านรักไทยส่วนใหญ่เมื่อมาถึงจะขับรถไปตามถนนหลักมุ่งเข้าหมู่บ้านไปเลย เลยอดชมวิวสวยๆในมุมสูงของบ้านรักไทย”

ตั้มพูดขึ้นมาลอยๆก่อนจะไปจอดรถบนจุดชมวิวบ้านรักไทยที่มีลักษณะเป็นเนินเหนือทะเลสาบทางเข้าหมู่บ้าน มองลงไปเห็นบ้านเรือนแทรกตัวตั้งเรียงรายท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขา

ทะเลสาบหรืออ่างเก็บน้ำที่นี่ในหน้าหนาวช่วงเช้าจะมีหมอกลอยขาวโพลนจนถูกยกให้เป็น“เขื่อนในหมอก” ที่มีป้ายปูนตั้งเด่นหราอยู่หน้าทะเลสาบพร้อมด้วยศาลาที่พักเล็กๆริมน้ำ

สำหรับชาวบ้านหมู่บ้านรักไทยส่วนใหญ่ปลูกชาเป็นอาชีพหลัก บ้านรักไทยจึงเต็มไปด้วยไร่ชาขึ้นเป็นแถวเป็นแนวไปตามขุนเขาไล่ไปในละแวกหมู่บ้าน ส่วนเขาลูกหลังๆที่อยู่ไกลออกไปนั้นเป็นฝั่งพม่ามองเห็นฐานที่ตั้งของกองกำลังชายแดนไทยอยู่ลิบๆ

เรามาถึงบ้านรักไทยเวลาช่วงสายแก่ๆที่แม้แดดจะแผดจ้า แต่ว่าอากาศที่จุดชมวิวนี่หนาวเอาเรื่องทั้งหนาวจากฤดูกาล หนาวจากสภาพพื้นที่ที่เป็นหุบ และหนาวจากลมที่พัดพลิ้วปะทะร่างอย่างต่อเนื่อง

หนาวๆแบบนี้หากอยู่กรุงเทพฯ ผมคงหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จิบแก้หนาว แต่ถ้ามาที่บ้านรักไทยแล้วละก้อ หนาวแบบนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการจิบชาร้อนๆแก้หนาวเป็นแน่แท้

ว่าแล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังใจศูนย์กลางหมู่บ้าน ณ บริเวณศาลากลางบ้านที่มีทั้งตลาด ร้านค้า ร้านของที่ระลึก ร้านชิมชา และร้านอาหาร รวมอยู่ในละแวกนั้น

ว่าแล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังใจศูนย์กลางหมู่บ้าน ณ บริเวณศาลากลางบ้านที่มีทั้งตลาด ร้านค้า ร้านของที่ระลึก ร้านชิมชา และร้านอาหาร รวมอยู่ในละแวกนั้น

ตั้มพาผมไปชิมชาที่ร้านเฉินฟงที่พอเราไปถึง แม่ค้ารีบกุลีกุจอชงมาให้ลองลิ้มชิมรสอยู่หลายแก้ว ทั้งชาอู่หลง ชามะลิ ชาชิงชิง เจียวกู่หลัน จนถ้าไม่หยุดชิมตัวเองผมอาจจะอิ่มชาแทนข้าวได้ นอกจากนี้ผมยังถูกเสน่ห์แห่งชายั่วกิเลสให้ควักเงินซื้อชาไป 2 ห่อใหญ่

เมื่อจิบชาร้อนๆกลิ่นหอมฉุยแก้หนาวแล้ว ตั้มเดินไปสั่งอาหารจีนยูนนานจากร้านเจ๊เนียงที่อยู่ติดกับร้านชา

"อาหารยูนนานร้านนี้เขาเป็นต้นตำรับเจ้าแรกของที่นี่"

ตั้มบอกอย่างนั้น ซึ่งระหว่างรออาหารผมขอถือโอกาสแว่บไปเดินชมสีสันและบรรยากาศของบ้านรักไทยเสียหน่อย

บ้านรักไทย หมู่บ้านนี้มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวจีนยูนนานหรือจีนฮ่อชุดเดียวกับกองพล 93(ก๊กมินตั๋ง) ที่อพยพมาอยู่เมืองไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน ทำให้หมู่บ้านนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศแบบจีนยูนนานอยู่มากโข ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย วิถีชีวิตวัฒนธรรม อาหารการกิน โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนและดูแปลกตาสำหรับคนเมืองอย่างเราก็คือ บ้านดินที่ปลูกสร้างอย่างเรียบง่ายแต่ว่าดูช่างมากไปด้วยภูมิปัญญาอันลึกล้ำเสียนี่กระไร

บ้านดิน เป็นบ้านที่อยู่สบาย หน้าหนาวข้างในจะอุ่น หน้าร้อนข้างในจะเย็น สำหรับบ้านดินที่ผมเห็นในหมู่บ้านรักไทยส่วนใหญ่มุงหลังคาด้วยใบตองตึง ดูสวยเก๋ นอกจากบ้านดินแถวศาลากลางบ้านแทบทั้งหมดใหญ่ปรับเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร ร้านขายชา และร้านขายของที่ระลึก และร้านขายของที่ระลึกพวกผลไม้ดอง ผลไม้อบแห้ง

ใครถ้าอยากจะสัมผัสกับบ้านดินที่เป็นบ้านชาวบ้านแท้ๆคงต้องเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ว่างานนี้ผมไม่มีเวลามากขนาดนั้นเลยเดินเลียบเคียงไปดูเด็กๆในโรงเรียนบ้านรักไทย ที่เป็นโรงเรียนไม้ปลูกสร้างอย่างเรียบง่าย มีลานและสนามกลางโรงเรียนให้เด็กออกกำลัง วิ่งเล่น ซึ่งช่วงที่ผมแอบแว่บเข้าไปในโรงเรียนเป็นช่วงพักเที่ยงพอดี

เด็กนักเรียนที่นี่แม้จะค่อนข้างคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี แต่ว่าเมื่อพวกน้องๆหนูๆเห็นผมเดินดุ่มๆเข้าไปในนั้น ก็ออกอาการเหวอไปเหมือนกัน เล่นเอาผมต้องหลอกล่ออยู่พักใหญ่กว่าน้องๆเขาจะไว้ใจวิ่งออกมาเข้ากล้องถ่ายรูป ที่พอพวกเขาเริ่มคุ้นและมีแนวหน้าหน่วยกล้าตายมาถ่ายรูปกับผม 3-4 คน จากนั้นพวกก็วิ่งมากันเพียบเลย ยิ่งตอนที่ผมยื่นกล้องดิจิตอลที่ถ่ายพวกเขาให้ดู มีเสียงเฮลั่น จนครูในโรงเรียนต้องเดินมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ผมต้องใช้วิชานินจาแว่บหายแบบไร้ร่องรอยกลับมานั่งหน้าแป้นแล้นยังร้านเจ๊เนียงที่มีอาหารจีนยูนนานขึ้นโต๊ะเตรียมพร้อมไว้แล้ว

อาหารแต่ละอย่างหน้าตาเห็นแล้วชวนเจริญอาหารทั้งนั้น มื้อนั้นตั้มสั่งอาหารชุดใหญ่มา 1 ชุด 8 คน สนนราคาก็ 1,000 บาท มีอาหาร 8 อย่างคือ ขาหมู-หมั่นโถ,หมูพันปี,ไก่ตุ๋นยาจีน,ไข่ยัดไส้,หมูทอด(ซูยู),ผัดผักตามฤดูกาล,ปลาทรงเครื่อง,ยำใบชาสด ส่วนข้าวเปล่านั้นเสิร์ฟฟรีตลอดมื้อ แต่ประทานโทษเมื่อมาเจอหมั่นโถที่นี่ที่รสชาติกลมกล่อม ติดหวานนิดๆ แป้งก็นุ่มแน่น เคี้ยวเพลินปาก ยิ่งกินกับขาหมูยิ่งเข้ากันมั่กๆ เล่นเอามื้อนี้ผมขออนุญาตลืมข้าวไปชั่วคราว

พูดถึงเรื่องอาหารการกินแล้ว ถือเป็นรสนิยมความชอบส่วนบุคคล เพราะแต่ละคนชอบเผ็ด เปรี้ยว หวาน จืด ไม่เหมือนกัน ส่วนผมในมื้อนี้ชอบเกือบทุกอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นด้วยรสชาติที่แปลกใหม่ที่นานๆได้ลิ้มลองทีสำหรับลิ้นเรา โดยเฉพาะยำใบชากับปลากระป๋องนี่ชอบมากเป็นพิเศษ ส่วนหมูพันปีนี่ที่ทางร้านซอยเป็นแผ่นบางๆนี่ ถ้ากินแต่หมูอย่างเดียวอาจจะเลี่ยนไปนิด ต้องกินให้ครบสูตรอย่างที่ทางร้านแนะนำคือกินหมูพร้อมกับผักดองที่ซุกซ่อนอยู่ข้างล่าง แล้วรสชาติจะไปผสมกันในปาก รสหมูนั้นออกหวาน ส่วนผักดองออกเผ็ดเปรี้ยว เมื่อเคี้ยวกินแล้วจะมี 3 รส เด็ดสะระตี่ไม่เบา

หลังอิ่มหนำสำราญได้ที่ รสชาติอาหารยังคงติดปากติดใจ ผมจึงขออนุญาตทางร้านบอกว่าอยากเจอหน้าตาคนทำอาหารหน่อย สักพักเด็กในร้านก็ไปเรียกเจ๊เนียงแม่ครัวและเจ้าของร้านมาพูดคุยกัน

เจ๊เนียง หรือ จือ แซ่หลิน ที่แม้หลายๆคนจะเรียกแกว่า“เจ๊” แต่จริงๆแล้วอายุเจ๊เนียงปาเข้าไปรุ่นราวคราวแม่คราวป้า คือ 61 แล้ว แต่ในเรื่องรสชาติอาหารนั้นยังฝีมือไม่ตก

เจ๊เนียงบอกกับผมว่า แกอพยพมาอยู่เมืองไทยยุคกองพล 93 แล้วเริ่มทำอาหารขายตั้งแต่อายุ 17 ทำขายเป็นเจ้าแรกหลังที่นี่ตั้งเป็นชุมชน ตอนนั้นทำขายชาวบ้าน ทหาร และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ขายมาถึงปัจจุบันนี้ก็ 30 กว่าปีแล้ว สูตรอาหารส่วนใหญ่ เป็นของยูนนานดั้งเดิม สืบทอดมาจากพ่อ

นอกจากนี้อาหารยูนนานหลายอย่างยังมีคติแอบแฝงซ่อนอยู่ตามสไตล์อาหารจีน อย่างหมูพันปีที่ให้รสหวาน + เผ็ด เปรี้ยวนั้น เจ๊เนียงบอกว่านี่คืออาหารมงคลประจำงานแต่งงานของชาวจีนยูนนาน รสชาติที่หวาน เผ็ด เปรี้ยว ของหมูพันปีนั้นเปรียบดังรสชาติของชีวิตที่มีความหลากหลายแตกต่างกันออกไป หรืออย่างยำใบชานี่ก็เชื่อว่าเมื่อกินแล้วอายุจะยืนยาวเป็นต้น

หลังได้พูดคุยกับเจ๊เนียงแล้ว ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าในความเป็นจีนยูนนานของที่นี่นั้นมีอะไรให้ชวนค้นหามากมาย แต่น่าเสียดายว่าทริปนี้มีเวลาจำกัดในการเที่ยวบ้านรักไทย ซึ่งเอาไว้มีโอกาสมาเยือนใหม่อีกครั้ง ผมจะขอซึมซับบรรยากาศแบบจีนยูนนานของที่นี่ให้ยาวนานกว่านี้ โดยเฉพาะอาหารจีนยูนนานของที่นี่ ผมขอติดเอาไว้ก่อนว่า ถ้ามาคราวหน้าจะล้างท้องรอไว้เลย

“ฝากไว้ก่อนนะบ้านรักไทย”

*****************************************

หมู่บ้านรักไทย ตั้งอยู่ ต.หมอกจำแป่ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล กว่า 1,776 เมตร มีพื้นที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับการปลูกชาพันธุ์ดีและพืชเมืองหนาว ชาวบ้านรักไทยส่วนใหญ่เป็นชาวจีนยูนนานหรือจีนฮ่อ ที่อพยพมาสมัยกองพล 93 (ก๊กมินตั๊ง) มีวิถีชีวิตวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

ทิวทัศน์ของหมู่บ้านโอบล้อมไปด้วยขุนเขา มีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมการท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบ อาทิ ศึกษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนยูนนาน กินอาหารยูนนาน ชิมชา(ฟรี)จากร้านจำหน่ายชาในหมู่บ้าน ชมไร่ชาและการเก็บชาของชาวบ้าน เดินป่าศึกษาธรรมชาติ ชมคุกดิน การขี่ม้า ขี่ฬ่อ ชมธรรมชาติ พักค้างแบบโฮมสเตย์

การเดินทางสู่บ้านรักไทย จากตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ไปตามทางหลวงหมายเลข 1095 (แม่ฮ่องสอน-ปาย) ประมาณ 15 กม. จะถึงทางแยกบ้านกุงไม้สัก(มีป้ายบอกทางไปภูโคลน)ให้เลี้ยวซ้ายไป เมื่อผ่านพระตำหนักปางตอง จะถึงแยกบ้านนาป่าแปก หากไปซ้ายอีก 6 กม. จะเป็นบ้านรวมไทยหรือปางอุ๋ง หากไปทางขวาอีก 6 กม.จะเป็นบ้านรักไทย

ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดการเดินทาง ที่พักและข้อมูลท่องเที่ยวบ้านรักไทยเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการท่องเที่ยวบ้านรักไทย โทร.0-5361-2256

กำลังโหลดความคิดเห็น