xs
xsm
sm
md
lg

ถ้ำน้ำแข็ง“แก้วโกมล” มัวหม่นเพราะมือใคร?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพอันซีนในอดีตที่งดงามบริสุทธิ์ของถ้ำแก้วโกมล (ภาพ:ททท.)
...งดงามดุจอัญมณีเลอค่า ดั่งผลึกแก้วแวววาวสกาวใส ยามต้องแสงไฟวาววับระยับพราย บ้างคลับคล้ายม่านพลิ้วปลิวไสว บางดั่งเข็มนับพันรวมเรียงไว้ เกาะกลุ่มใยเส้นบางพร่างพราว...

หากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวใดในบ้านเรามีคุณสมบัติดั่งที่พรรณนาไว้นี้ คงต้องยกให้ "ถ้ำแก้วโกมล"หรือเดิมเรียก"ถ้ำผลึกแคลไซต์แม่ลาน้อย" ที่ตั้งอยู่บริเวณเขาดอยถ้ำ หมู่ที่ 14 บ้านห้วยมะไฟ ตำบลแม่ลาน้อย อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
บริเวณปากทางเข้าถ้ำแก้วโกมล
ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำผลึกแคลไซต์ ที่ประกอบด้วยหินในตระกูลคาร์บอเนต ชนิดแอนไฮดรัสคาร์บอเนต ที่มีความใสกาวบริสุทธิ์มีรูปลักษณ์หลากหลายลักษณะ มีรูปผลึกอยู่ในระบบสามแกนราบ ส่วนใหญ่เป็นรูปหกเหลี่ยมยาวยอดแหลมหรือรูปสี่แหลมขนมเปียกปูน มีแนวแตกเรียบที่สมบูรณ์ 3 แนว
เป็นสิ่งที่พบได้ยากในธรรมชาติ เพราะต้องมีองค์ประกอบที่ครบทั้ง หินปูน ไอน้ำร้อนที่ได้จะน้ำพูร้อนธรรมชาติ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ไอสารละลายแคลเซียมไบคาร์บอเนตที่กลั่นตัวในอุณหภูมิสูงสุดและต้องอิ่มตัวในอุณหภูมิที่ต่ำสุด

ถ้ำแก้วโกมลได้รับยกย่องว่าเป็นถ้ำที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในถ้ำผลึกแร่แคลไซต์ที่ค้นพบเพียง 3 แห่งทั่วโลก คือพบที่ ประเทศจีน ประเทศออสเตรเลียและประเทศไทย

อัศจรรย์ผลงานจากธรรมชาติ

จากการค้นพบด้วยความบังเอิญ เมื่อวิศวกรเหมืองแร่ ประจำสำนักงานทรัพยากรธรณี จังหวัดแม่ฮ่องสอน ดำเนินการตรวจสอบประทานบัตรเหมืองแร่ฟลูออไรต์ ในเขตประทานบัตรเลขที่ 12627/13903 ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พี.วี.ซัพพลายส์ (ไทยแลนด์) เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2536

ทำให้พบถ้ำที่เต็มไปด้วยผลึกแคลไซต์ที่มีความบริสุทธิ์อยู่ภายใน โดยไม่พบแร่ฟลูออไรต์ดั่งที่ตั้งใจค้นหา การพัฒนาอุโมงค์เหมืองจึงหยุดลง ระยะแรกของการตรวจพบถ้ำผลึกแคลไซต์ สภาพทางเข้าถ้ำไม่ได้มีความมั่นคงแข็งแรง สุ่มเสี่ยงต่อการพังทลาย

จนกระทั่งปี พ.ศ.2538 ทางกรมทรัพยากรธรณี ได้ปรับปรุงทางเข้าถ้ำใหม่ เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยทำการระเบิดปากถ้ำให้กว้างขึ้น พร้อมทั้งฉีดซีเมนต์ก่อโครงเหล็กยึดเพดาน ให้ตัวถ้ำมีความมั่นคง มีการสร้างทางเดินบันไดคอนกรีตภายในถ้ำเพื่อเตรียมความพร้อมไว้อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว

ติดตั้งโคมไฟสีเพื่อส่องสะท้อนความงดงามของผลึกแคลไซต์ในถ้ำ และจัดทำท่อระบบระบายอากาศวางระบบท่อให้อากาศถ่ายเทอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติของถ้ำมากที่สุด เพื่อให้ภายในถ้ำมีออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับดำเนินการกันเขตพื้นที่รอบถ้ำในรัศมี 200 เมตร ครอบคลุมเนื้อที่ 51 ไร่ ให้ออกจากพื้นที่ประทานบัตร และตั้งเป็น"วนอุทยานถ้ำแม่ลาน้อย"

ในปี พ.ศ. 2544 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรถ้ำแห่งนี้ พร้อมๆกับได้พระราชทานนามให้ใหม่ว่า"แก้วโกมล" นอกจากนี้พระองค์ท่านยังได้พระราชทานนามห้องต่างๆ ใน ถ้ำแก้วโกมลซึ่งมีอยู่ภายในถ้ำ จำนวน 5 ห้องให้อีกด้วย

เริ่มจากห้องแรก "พระทัยธาร" มีที่มาจากการที่น้ำในถ้ำ ละลายกับหินปูนทำให้เกิดภาพน้ำไหลเหมือนเป็นธารน้ำตก พระทัยธารซึ่งเป็นห้องแรกนี้ เป็นห้องที่ได้รับความเสียหายจากการระเบิดอุโมงค์มากที่สุด
สังเกตได้จากเศษหินที่กระจัดกระจายอยู่ภายใน มีโพรงที่จากการทำเหมืองตามสายแร่ฟลูออไรต์ หินงอก หินย้อยต่างๆได้รับความเสียหายจากการสำรวจไปมาก จึงไม่งดงามมากนัก ความงามของห้องที่ก็คงจะมีเพียงร่องรอยลวดลายสายน้ำตกอันเป็นที่มาของชื่อห้องเท่านั้น

ถัดมาเป็นห้องที่ 2 มีชื่อพระราชทานว่า "วิมานเมฆ" ตั้งตามลักษณะของแร่ที่อยู่ตามเพดาน ซึ่งดูคล้ายปุยเมฆเป็น ห้องนี้มีลักษณะเป็นช่องยาว บางช่วงเป็นรูแคบ ๆ ซึ่งเป็นลักษณะของโพรงน้ำไหลในอดีต ทำให้มีความลำบากในการเดินสำรวจ มีหินงอก หินย้อย และบางจุดมีผลึกแร่แคลไซต์เกาะอยู่แต่มีความงดงามไม่มากนัดเนื่องจาก ผลึกบางส่วนได้แตกหักเสียหายและมีรอยเปื้อนจากการถูกจับต้องระหว่างการเข้าสำรวจ

ลึกเข้าไปเป็นห้องที่ 3 ชื่อพระราชทานว่า "เฉกหิมพานต์" เกิดจากจินตนาการขององค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่ทรงทอดพระเนตรแล้วเหมือนอยู่ในป่าหิมพานต์ตามวรรณคดีไทย ห้องนี้เป็นห้องขนาดใหญ่มีหินงอกหินย้อย สีขาวขุ่นถึงสีน้ำตาล

สำรวจต่อไปจะพบห้องที่ 4 ที่มีชื่อพระราชทานอันเพราะพริ้งว่า "ม่านผาแก้ว"ภายในห้องนี้เราจะเริ่มเห็นความ งดงามที่เต็มไปด้วยผลึกแคลไซต์ สีดั่งแก้วใสขาวเกาะอยู่ราวกับม่านเต็มถ้ำ มีทั้งแบบที่คล้ายปะการัง คล้ายเข็ม และเกล็ดน้ำแข็ง ผลึกทั้งสามแบบมีความเปราะบางที่สุด ได้รับผลกระทบจากอากาศภายนอกจนลดน้อยลงไปมาก ส่วนผลึกรูปปะการังเป็นผลึกขนาดเล็กละเอียด จับตัวต่อเนื่องเป็นผืนจนเต็มผนังอย่างสวยงาม พบตอนในสุดของห้อง

และส่วนชั้นในสุดคือห้องที่ 5 มีชื่อพระราชทานว่า "เพริศแพร้วมณีบุปผา" ซึ่งโดดเด่นไปด้วยผลึกแร่มีความละเอียดเป็นรูปเข็มคล้ายเกล็ดน้ำแข็ง เปราะบาง แตกหักง่าย จัดเป็นผลึกที่ สวยงามและเด่นที่สุดของถ้ำ (เป็นจุดที่ได้รับการโปรโมตจากททท.) ห้องนี้เป็นห้องสุดท้ายโดยพบอยู่ด้านในสุด เป็นห้องที่สวยงามที่สุดของถ้ำ

เนื่องจากมีผลึกแร่แคลไซต์ที่มีความสมบูรณ์เป็นจำนวนมากและมีรูปแบบหลากหลาย โดยเฉพาะผลึกแร่แคลไซต์รูปเข็มและคล้ายปะการัง ห้องนี้นอกจากอยู่ลึกที่สุด สวยงามที่สุดแล้ว อากาศยังน้อยด้วย ไม่ถ่ายเท

ตามจุดต่างๆของถ้ำ มีการติดตั้งไฟสปอตไลท์ส่องตามจุดต่าง ๆ แต่จะเปิดเฉพาะเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมเท่านั้น เพื่อไม่ให้ความร้อนจากหลอดไฟส่งผลกระทบต่อผลึกแคลไซต์ที่สร้างความงามให้แก่ถ้ำ ถ้ำแก้วโกมลเป็นถ้ำที่สะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็นอับของมูลค้างคาว เพราะมีการป้องกันไม่ให้ค้างคาวเข้าไปอาศัยภายในถ้ำ

ความงามที่รอวันตาย

ถ้ำแก้วโกมลโด่งดังเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในชื่อ "ถ้ำน้ำแข็ง" เมื่อทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ (ชุด2) ภายหลังการประชาสัมพันธ์ในโฆษณาชุดเด็กเลี้ยงแกะ (ที่พยายามมองใครต่อใครว่ามีถ้ำน้ำแข็งในเมืองไทยแต่ไม่มีใครเชื่อ) ภาพที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยนำเสนอดูจะเกินจริงอยู่มากเนื่องจากภายในถ้ำแก้วโกมลนั้นมีอากาศถ่ายเทน้อยมาก

หลังการประชาสัมพันธ์จนเป็นที่รู้จักโด่งดังไปทั่ว ใครๆก็ต้องอยากมาสัมผัสหนึ่งในอันซีนแห่งนี้ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของ อ.แม่ลาน้อย และ จ.แม่ฮ่องสอน สอนไปโดยปริยาย ผลพลอยได้ก็คือชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณบ้านห้วยมะไฟและพื้นที่ใกล้เคียง มีรายได้จากการค้าขายกับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 

                                                                 อ่านต่อหน้าถัดไป

แต่สิ่งที่เลวร้ายก็คือปัญหาการล้นทะลักของนักท่องเที่ยวที่เข้าชมในแต่ละวัน ทำให้เกิดภาวะความแออัดอยู่หน้าถ้ำซ้ำร้ายเมื่อเข้าชมภายในถ้ำอย่างต่อเนื่องเช้าจรดเย็น ทำให้ถ้ำไม่ได้พักจนเกิดความเสื่อมโทรมเป็นอย่างมาก

ประยูร ทองศิริกุล หัวหน้าวนอุทยานถ้ำแก้วโกมล กล่าวด้วยความเป็นห่วงต่อสภาพภายในถ้ำแก้วโกมลที่กำลังเสื่อมโทรมลงอย่างเห็นได้ชัดว่า ในช่วงแรกๆของการเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวนั้น ทางเจ้าหน้าที่เองก็ผ่านการลองผิดลองถูกมาเยอะ

แต่ก่อนเราจะใช้ไฟสปอร์ตไลท์คอยส่องเพื่อให้สีสันของถ้ำสวยงาม แต่ภายหลังพบว่าสปอร์ตไลท์เป็นตัวทำลายผลึกแร่แคลไซต์เราก็เปลี่ยนมาใช้แสงไฟธรรมดาแทน โดยจะเปิดเป็นช่วงเฉพาะเวลาที่นักท่องเที่ยวเข้าไปเท่านั้นและเจ้าหน้าที่ ที่นำชมก็จะมีกระบอกไฟฉายเป็นอาวุธประจำกาย ไว้คอยส่องจุดสำคัญๆให้นักท่องเที่ยว แต่นั้นก็ยังไม่ทำให้สภาพภายในถ้ำที่ได้รับความเสียหายจากการท่องเที่ยวดีขึ้นเท่าไหร่นัก

"ผลึกแคลไซต์เป็นสิ่งที่เปราะบางมาก กว่าที่เราจะได้เห็นความงามของมันทุกวันนี้ ต้องใช้การกลั่นตัวเป็นแสนเป็นล้านปี แม้แต่อุณหภูมิร่างกาย กายหายใจของนักท่องเที่ยวก็มีผลต่อการเจริญเติบโตของตัวแร่ ผลึกแร่แคลไซต์โดยปกติแล้วจะต้องอยู่ในถ้ำปิด ความเป็นอยู่ของถ้ำต้องเป็นที่มืดมิด ไม่มีอากาศถ่ายเท ไม่มีแสงไม่มีความร้อนเข้าไปยุ่ง วันไหนนักท่องเที่ยวเข้าชมเยอะ วันนั้นน่ากลัวที่สุด เพราะเราควบคุมกันได้ลำบาก ยิ่งช่วงหน้าหนาวที่ใกล้จะถึงนี้ นักท่องเที่ยวต้องแห่มากันมากแน่นอน"

"ส่วนที่เราจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดว่ามันหยุดการเจริญเติบโตไปเลย ก็คือบริเวณทางเดินที่นักท่องเที่ยวใช้สัญจรผ่านเป็นประจำ จะเปลี่ยนสีไปหมองคล้ำดำขาดความแวววาว ซึ่งใจจริงเราก็อยากให้ทุกคนที่เข้ามาได้เข้าชมเหมือนกันหมด แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าเรารองรับได้เต็มที่เพียง 500-800 คนต่อวันเท่านั้น เที่ยวหนึ่งเข้าได้เต็มที่ประมาณ 20 คน เที่ยวละ 20 นาที ชั่วโมงหนึ่งก็ได้เต็มที่เพียง 60 คน"ประยูรกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล

เขายังกล่าวต่อไปอีกว่า ตอนนี้ทางวนอุทยานได้เพิ่มกฎเหล็กอีกหนึ่งข้อคือ "ห้ามถ่ายรูปภายในถ้ำ" เนื่องจากพบว่าแสงแฟลตมีผลเสียต่อผลึกแร่ เป็นหนึ่งในสาเหตุทำให้แร่เปลี่ยนสีและตาย อีกประการหนึ่งคือความช้าของนักท่องเที่ยวที่สนใจการถ่ายรูปมากกว่าศึกษาเรื่องผลึกแร่ภายในถ้ำ

"พอบอกเรื่องกฎกติกาไปแล้วนักท่องเที่ยวมีโวยวายบ้าง แต่เราก็ต้องยอมเพราะต้องคำนึงถึงการรักษาถ้ำ หากนักท่องเที่ยวท่านใดที่มีความจำเป็นจริงๆในการใช้ภาพก็สามารถแจงรายละเอียด สอบถามจากทางเจ้าหน้าที่ได้แต่หากยืนยันที่จะถ่ายภาพให้ได้ ก็คงต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ว่า ท่านมีเหตุผลสมควรหรือไม่อย่างไร ก่อนเข้าถ้ำเราจะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำให้ก่อนว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เช่น ห้ามใส่หมวกเพราะจะไปเกี่ยวกับผลึกแร่ที่อยู่ภายในถ้ำ หรือเสื้อคลุมก็ห้ามใส่ กระเป๋าก็ให้ภายไว้กับเจ้าหน้าที่ของเราป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ"ประยูรกล่าว

ด้านเรื่องการขุดเจาะเพิ่มเติมเพื่อขยายพื้นที่เข้าชมภายในถ้ำนั้น ประยูรให้เหตุผลว่า เคยมีการสำรวจเช่นกันพบว่าลึกจากห้องเพริดแพร้วมณีบุปผาไป มีสภาพเป็นถ้ำตันแต่ด้าน ซ้าย ขวา เป็นปีกออกไปคงมีผลึกแร่แคลไซต์ลดเหลืออยู่นิดหน่อย แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดคิดสำรวจอย่างจริงจังเสียที

"ผมคิดว่าการส่งเสริมการจัดการจากภาครัฐยังไม่ให้ความสำคัญเท่าไหร่ ทุกวันนี้ถ้ำแก้วโกมลอยู่ได้ เพราะอาศัยค่าบำรุงที่นักท่องเที่ยวบริจาคที่คอยช่วยเหลืออยู่ ส่วนทางททท.ก็พูดตามตรงว่าไม่ได้เข้ามาช่วยอะไรเลย นอกจากเอาไปประชาสัมพันธ์ว่าเป็นอันซีนถ้ำน้ำแข็งไม่รู้น้ำแข็งอย่างไร เพราะข้างในร้อนจะตาย

ที่ผ่านมาททท.ช่วยโปรโมตเพื่อให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะๆอย่างเดียว แต่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอื่น เช่น ความจำกัดของนักท่องเที่ยว ห้องน้ำห้องท่าเขาก็ไม่เคยคำนึงถึง ภาระทุกอย่างตกอยู่ที่วนอุทยานกับชาวบ้านหมด มีครั้งหนึ่งที่ททท.เคยเข้ามาช่วยตั้งในรูปของคณะกรรมการจังหวัดเป็นคณะทำงานแต่ก็เงียบไป ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าถ้ำแก้วโกมล ยังจะคงสภาพสวยงามแบบนี้อยู่อย่างน้อยก็ร่วมร้อยปี แต่ก็ต้องมีการพักถ้ำบ้างเพราะถ้าไม่พักถ้ำเลย ไม่เกินสิบปีความสวยก็เปลี่ยนไป อยากให้ช่วยกันดูแลถ้ำด้วย"ประยูรกล่าวทิ้งท้ายอย่างละเหี่ยใจ

ด้านความคิดเห็นของ ชัยรัตน์ กระสิทธิรัตนา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ลาน้อย หนึ่งในผู้นำชุมชนแม่ลาน้อย กล่าวถึงการเตรียมรับมือกับนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นที่กำลังจะมาถึง ว่าขณะนี้ทางองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ลาน้อยได้ร่วมกับทางวนอุทยานฯจัด รถสองแถวรับ-ส่ง ขึ้นลงให้บริการแก่นักท่องเที่ยว เนื่องจากบริเวณบนวนอุทยานฯมีจุดจอดรถน้อย ทางขึ้นแคบและชัน เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสำหรับคนขับที่ไม่ชำนาญเส้นทาง

ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชมถ้ำแก้วโกมล จะต้องจอดรถข้างล่างซึ่งมีที่จอดรถที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวสามารถจุได้กว่า 100 คัน คิดค่าบริการ 40 บาท แบ่งเป็นทางอบต.ได้ 10 บาท วนอุทยานได้ 15 บาท รถ 15 บาท โดยเปิดบริการตั้งเช้าจรดเย็นมีรถคอยบริการตลอดเวลา เป็นการเสริมรายได้ให้ชาวบ้านอีกทางหนึ่ง

"เราจะเปิดตัวเรื่องรถรับ-ส่งสู่ถ้ำแก้วโกมล พร้อมกับงานทุ่งดอกบัวตองบานประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน ส่วนเรื่องปัญหาความสวยงามที่ลดลงของถ้ำแก้วโกมลนั้น ในที่ประชุมเสวนาก็เคยมีการคุยกันว่าเราจะทำอย่างไรดี เพราะหากเรานำถ้ำมาใช้เยอะๆถ้ำจะโทรม แต่ผลสรุปก็ได้เพียงว่าต้องช่วยกันอนุรักษ์หากจะต่อเติมอะไรก็ต้องคำนึงถึงธรรมชาติไว้ก่อน วัสดุอุปกรณ์ใดที่ใช้แล้วก่อให้เกิดความเสียหายกับถ้ำ ถ้าไม่จำเป็นเราจะไม่ใช้ เพราะขณะนี้ถ้ำแก้วกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังไปแล้วจะปิดถ้ำห้ามคนมาเที่ยวคงลำบาก"ชัยรัตน์อธิบาย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ วิสูตร บัวชุม หัวหน้าศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า ต้องยอมรับว่านักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปเที่ยวชมถ้ำแก้วโกมล วันละประมาณ 1-2 พันกว่าคน เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก การรักษาความงดงามจึงเป็นเรื่องยากเข้าไปด้วย

อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวก็ต้องเห็นใจทางวนอุทยานฯ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะภายในบริเวณถ้ำคับแคบ มีอากาศน้อย หากนักท่องเที่ยวเข้าไปชมภายในถ้ำครั้งละมากๆ อาจจะเกิดอันตรายได้ ดังนั้น ผู้ที่ตั้งใจไปชมควรใจเย็นอย่างไรก็ได้เข้าชมแน่ และต้องอย่าลืมรักษากฎระเบียบของทางวนอุทยานฯ ด้วย
ช่วยกันรักษาอย่าให้ถ้ำแก้วโกมลเสื่อมโทรมไปกว่านี้
ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ของจะเสีย

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเดินทางไปเยือนยังถ้ำแก้วแก้วโกมล ควรจะทำความเข้าใจกับกฎกติกา ที่ทางวนอุทยานฯตั้งขึ้นเสียก่อน เพื่อที่ว่าไปถึงแล้วจะได้ไม่เกิดอาการโมโหให้หงุดหงิดใจ เพราะที่เขาห้ามก็เพื่อต้องให้ถ้ำแก้วโกมลเป็นสิ่งมหัศจรรย์อยู่คู่กับเมืองไทยไปนานๆ

ช่วงเวลาที่สามารถเข้าชม ถ้ำแก้วโกมล ได้คือระหว่างเวลา 08.00-16.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุด โดยทางวนอุทยานฯจะจัดเจ้าหน้าที่ 1 คนเป็นผู้นำชมและคอยให้ข้อมูล ตลอดจนตอบข้อสักถามต่างๆ อัตราค่าบริการ ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ราคานี้ไม่รวมอัตราค่ารถบริการรับ-ส่งขึ้นสู่ถ้ำที่ต้องเสียอีกคนละ 40 บาท

เมื่อเข้าชมต้องไม่สัมผัสส่วนใดๆ ของถ้ำเป็นอันขาด ควรหายใจช้าๆ ห้ามจับต้องหรือเก็บผลึกแร่มาเป็นสมบัติส่วนตัว เนื่องจากผลึกมีความเปราะบาง และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ห้ามใส่หมวก ห้ามถ่มน้ำลาย ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าไป ห้ามเก็บหรือสัมผัสกับหินในถ้ำ ห้ามนำน้ำหรือของกินเข้าไป ห้ามถ่ายรูป ห้ามใส่เสื้อคลุมแขนยาวที่ปล่อยชายรุ่มร่าม ทั้งนี้เพื่อป้องกันให้แน่ใจว่าจะไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของเราไปสัมผัสโดนถ้ำ

ช่วงเวลาเหมาะสมที่จะเข้าเที่ยวชม คือ ช่วงฤดูแล้งระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน ของแต่ละปี เนื่องจากเส้นทางเข้า-ออกจะอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี ไม่ลื่นไหล อย่าลืมคอยรับฟังความรู้เกี่ยวกับถ้ำที่เจ้าหน้าที่คอยบรรยาย จะได้รู้ว่าที่เขาต้องตั้งข้อห้ามมากมาย เพราะมีความจำเป็นอย่างไร

สุดท้าย "ถ้ำแก้วโกมล"หรือ "ถ้ำน้ำแข็ง"แห่งนี้ จะอยู่คงความงดงามอีกนานแค่ไหน ก็คงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ช่วยคิดหาวิธีแก้ไข

เพราะหากมีความสามารถเพียงเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ไร้ศักยภาพในด้านการจัดการ ท้ายที่สุดถ้ำแห่งนี้ก็คงไม่ต้องจากทรัพยากรทางการท่องเที่ยวอีกหลายๆแห่ง ที่เปรียบเป็นดั่งไม้ขีดไฟที่ลุกวาบเพียงครู่เดียวก็ดับไป อย่าให้ "ถ้ำแก้วโกมล"ต้องพบจุดจบเช่นนั้นเลย
กำลังโหลดความคิดเห็น