xs
xsm
sm
md
lg

ท่องเมืองเว้...ชมพระราชสุสานจักรพรรดิไคดิงห์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : จุชดานิน
รูปหล่อทองสำริดปิดทองขนาดเท่าองค์จริงของพระเจ้าไคดิงห์
จากการเที่ยวชมความงามและความสำคัญของพระราชวังต้องห้าม หรือพระราชวังไดนอย ศูนย์กลางแห่งราชวงศ์เหงียนไปแล้ว (ในตอนที่แล้ว) พวกเรามาต่ออารมณ์ดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์กันที่ “พระราชสุสาน”

สำหรับราชวงศ์เหงียน ถือเป็นราชวงศ์สุดท้ายในประวัติศาสตร์ชาติเวียดนามที่ปกครองในระบอบกษัตริย์ มีจักรพรรดิทั้งสิ้น 13 พระองค์ แต่พระราชสุสานที่ปรากฏในเมืองเว้ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงในสมัยนั้น มีพระราชสุสานเพียง 7 แห่งเท่านั้น

เหตุที่เป็นเช่นนี้ ไกด์หทัยบอกว่า เพราะกษัตริย์ทั้ง 7 พระองค์ทรงสวรรคตที่เมืองเว้ นอกนั้นสวรรคตที่ต่างถิ่นทั้งสิ้น โดยการเยือนเวียดนามครั้งนี้พวกเราไม่มีโอกาสได้ไปยังพระราชสุสานทั้ง 7 แห่ง เพราะเวลาอันจำกัด เราจึงเลือกที่จะไปยังพระราชสุสานที่ได้ชื่อว่าแปลกแหวกแนวกว่าพระราชสุสานอื่นๆนั้นคือ “พระราชสุสานจักรพรรดิไคดิงห์”

แต่ก่อนที่จะรู้ว่าทำไมพระราชสุสานแห่งนี้จึงได้แปลกกว่าที่อื่นๆ เรามารู้จักมักจี่กับจักรพรรดิไคดิงห์กันสักหน่อย “จักรพรรดิไคดิงห์” (Khai Dinh) เป็นกษัตริย์องค์ที่ 12 แห่งราชวงศ์เหงียน และเป็นพระบิดาของกษัตริย์องค์สุดท้ายองค์ที่ 13 แห่งราชวงศ์คือ จักรพรรดิบ๋าวด่าย

องค์จักรพรรดิไคดิงห์ประสูติเมื่อปี พ.ศ.2425 ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.2459 ในขณะที่ครองราชย์นั้นพระองค์ได้เริ่มสร้างสุสานของพระองค์เองขึ้นในปี พ.ศ.2464 แต่ยังไม่ทันได้สร้างเสร็จพระองค์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อนในปี พ.ศ.2468 ต่อมาเมื่อองค์จักรพรรดิบ๋าวด่ายพระราชโอรสได้ขึ้นครองราชย์จึงได้ดำเนินการสร้างพระราชสุสานต่อจนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2475 รวมแล้วสุสานแห่งนี้ใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 11 ปี

นอกจากระยะเวลาในการสร้างพระราชสุสานจักรพรรดิไคดิงห์จะยาวนานมากแล้ว ยังมีความแปลกแตกต่างจากพระราชสุสานขององค์จักรพรรดิอื่นๆอีกคือ พระราชสุสานทั่วไปมักจะสร้างด้วยหิน แต่พระราชสุสานแห่งนี้ก่อสร้างด้วยปูนซิเมนและเหล็กเสริม หรือที่เรียกว่าคอนกรีต และสำหรับปูนที่นำมาทำการก่อสร้างนั้นได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสในสมัยนั้น

สำหรับที่ตั้งของพระราชสุสานแห่งนี้สร้างอยู่บนภูเขาหินที่ต้องเจาะเนินเขาให้เป็นเหมือนหน้าผาซ้อนๆกันถึง 5 ระดับ ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างยากลำบากมาก กว่าจะสร้างจนเสร็จสมบูรณ์คนงานก่อสร้างต้องล้มตายไปเป็นร้อยคนเลยทีเดียว

ส่วนในเรื่องของการออกแบบ ก็ตรงกับตำราภูมิพยากรณ์และหลักจักรวาลวิทยา คือการยึดหลักตะวันตกและตะวันออก ด้านหลังของพระราชสุสานจะมีหุบเขาใหญ่ปกคลุมด้วยป่าสนหนา ด้านหน้าของพระราชสุสานมองลงไปจะเห็นมีลำธารน้ำไหลผ่าน ไกลออกไปเป็นภูเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา

ได้ฟังดังนั้น ฉันเองก็อยากจะเห็นเร็วๆว่าพระราชสุสานนี้จะดูยิ่งใหญ่เพียงใด จนเมื่อรถพาคณะของเรามาจอดตรงหน้าบันไดสูงจนฉันต้องแหงนหน้ามอง พร้อมทั้งพยายามคำนวณขั้นบันได กระทั่งไกด์หทัยได้เอ่ยขึ้นว่า เราจะมาเดินขึ้นบันได 100 กับอีก 9 ขั้นด้วยกัน แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะเมื่อยจนขึ้นไม่ไหว เพราะระหว่างบันไดทั้ง 109 ขั้นนั้นมีลานให้พักถึง 5ชั้น 5 ช่วง

บันไดมังกรดูเก่าแก่และโอ่อ่านำพาพวกเรามายังชั้นแรก มีร้านเล็กๆขายของที่ระลึก เดินขึ้นบันไดมายังชั้นต่อไปจะเห็นซุ้มประตูทางเข้าที่อาจจะคุ้นตาสำหรับใครที่เคยได้ไปยังพระราชวังต้องห้ามไดนอยมาแล้ว เพราะสร้างในลักษณะเดียวกันกับซุ้มประตูทางเดินไปยังตำหนักไทฮวา

สำหรับชั้นนี้จะเป็นลานกว้างสองข้างซ้ายขวามีรูปปั้นตุ๊กตาหินจีนเรียงรายทั้งช้าง ม้า ขุนนางต่างๆ เพื่อคอยปกปักษ์รักษาและคอยรับใช้ดวงวิญญาณองค์กษัตริย์ ใจกลางลานมีศิลาแผ่นใหญ่ที่กษัตริย์บ๋าวด่ายจารึกไว้เพื่อสดุดีไคดิงห์พระบิดา

ขึ้นมาอีกชั้นเราสามารถมองวิวด้านหน้าของพระราชสุสานได้ และเมื่อมองทอดสายตาไปไกลๆจะเห็นว่าที่เขาอีกลุกหนึ่งมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่สีขาวประดิษฐานอยู่ แต่ต้องมองดีๆนะเพราะบางครั้งอาจจะกลืนไปกับสีของท้องฟ้าและค่อนข้างจะอยู่ไกล

จากชั้นนี้มีบันไดต่อไปยังลานที่สามารถมองเห็นตัวอาคารพระราชสุสานได้อย่างเต็มๆสวยงาม และหากก้าวขึ้นบันไดด้านข้างไปอีกจะเจอทางเข้าไปยังตัวอาคารพระราชสุสานที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งศิลปะของตะวันตกและตะวันออก

เมื่อก้าวย่างเข้าไปยังด้านในอาคารพระราชสุสาน เราจะได้เห็นความแตกต่างอีกหลายอย่าง ทั้งพื้นปูกระเบื้องสี ภายในประดับประดาด้วยแผ่นเซรามิกแตกให้เป็นศิลปะที่สวยงามตามผนังและเสา มีทั้งลายดอกไม้แจกัน รูปมังกร นก ปลา กระต่าย ดูง่ายและยังมีสีสันสดสวยงดงามอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีความแปลกพิสดารยากจะหาที่ใดเหมือนนั้นคือ ภาพวาดบนเพดานห้องโถงกลาง เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองหลายคนอาจจะคิดว่า นี่หรือคือภาพวาดของจิตรกรเอก แต่ถ้าได้รู้ว่าภาพที่เห็นบนเพดานนั้นเป็นภาพ “มังกรในม่านเมฆ” ที่จิตรกรใช้เท้าวาดขึ้นมา จะต้องชมเชยเลยว่าฝีมือเอ๊ย!!..ฝีเท้าเยี่ยมจริงๆ

เหตุที่จิตรกรต้องใช้เท้าวาดไม่ใช่เพราะต้องการโชว์ความสามารถ แต่เพราะในสมัยนั้นเวลาจิตรกรวาดภาพบนเพดาน หากใช้มือวาดขาจะห้อยลงมา เมื่อองค์จักรพรรดิมาตรวจดูงานแล้วเงยหน้าขึ้นมามองจะโดนขาของจิตรกร ซึ่งถือว่าผิดกฎมณเฑียรบาล ดังนั้นจิตรกรทุกคนจึงห้อยหัวลงแล้วเอาขาขึ้นจับพูกันวาด เห็นมั๊ยล่ะว่า จิตรกรเขามีฝีเท้าวาดรูปมังกรในม่านเมฆได้สวยขนาดไหน คนธรรมดาไม่สามารถแบบนี้นะเนี่ย

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของพระราชสุสานไคดิงห์ ก็คือรูปหล่อด้วยทองสำริดปิดทองขนาดเท่าองค์จริงของพระเจ้าไคดิงห์ และไม่ได้ทำการหล่อที่เวียดนาม แต่หากไปหล่อถึงที่ฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2465 ประทับอยู่บนบัลลังก์กึ่งกลางห้องด้านใน ดูแล้วสีทองแวววับได้ใจจริงๆ

จากรูปหล่อปิดทองอร่ามตาของพระองค์ไคดิงห์ ยังมีห้องที่จัดแสดงเครื่องใช้ต่างๆของพระองค์อีกด้วย ซึ่งหลังจากที่พวกเรากระจัดกระจายไปเก็บภาพสวยๆทั้งของตัวเองและบรรยากาศที่สวยงามด้วยสีสันและศิลปะอันวิจิตรแล้ว ก็เป็นอันจบช่วงเวลาของความสนุกสนานตื่นตาตื่นใจในประเทศเวียดนามแต่เพียงเท่านี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆที่เวลามีเพียงน้อยนิด ยังมีสถานที่อีกหลากหลายที่ที่ฉันอยากจะไปในเมืองวัฒนธรรมแห่งมรดกโลกเมืองนี้ รับรองว่าครั้งหน้าฉันต้องหาโอกาสมาเยือนเมืองอันมีมนต์ขลังแห่งนี้อีกให้จงได้...ฝากไว้ก่อนเถอะเวียดนาม

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

พระราชสุสานจักรพรรดิไคดิงห์ (Khai Dinh) ตั้งอยู่บนเนินเขาห่างจากเมืองเว้ประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นพระราชสุสานเดียวในราชวงศ์เหงียนที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะแบบตะวันออกและศิลปะแบบตะวันตก โดยผู้สนใจเที่ยวเมืองเว้สอบถามได้ที่บริษัททัวร์ทั่วไป

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

ฮอยอัน...ฉันรักเธอ
ท่องเมืองเว้..ยลโบราณสถานโลกไม่ลืม
ท่องเมืองเว้...ชมพระราชวังต้องห้าม
กำลังโหลดความคิดเห็น