โดย : จุชดานิน

หลายคนคงรู้แล้วว่า "เมืองเว้" เป็นเมืองแห่งมรดกโลกและการสงคราม(จากตอนที่แล้ว) ซึ่งนอกจากนั้นแล้ว เว้ยังเป็นเมืองหลวงแห่งราชวงศ์เหงียนอีกด้วย
ในช่วงพ.ศ.2348 กษัตริย์ยาลองซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียน ได้สถาปนาเมืองเว้เป็นราชธานี และสร้าง "พระราชวังไดนอย" (Dai Noi )ขึ้นอย่างใหญ่โตบนเนื้อที่ 52 ตารางกิโลเมตร ริมฝั่งแม่น้ำหอม โดยยึดเอาแบบอย่างและคติความเชื่อมาจาก "พระราชวังกู้กง" หรือ "พระราชวังต้องห้าม" ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน

ส่วนเหตุผลที่เรียกว่า "พระราชวังต้องห้าม" นั้น เป็นเพราะชาวจีนถือคติในการสร้างวังว่า จักรพรรดิเปรียบเสมือนบุตรแห่งสวรรค์ ดังนั้นวังของบุตรแห่งสวรรค์จึงต้องเป็นที่ต้องห้ามสำหรับคนธรรมดาสามัญไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปได้ และผู้ที่เข้ามาทำงานถวายตัวในพระราชวังก็ไม่สามารถออกไปนอกอาณาเขตนครต้องห้ามได้อีกเลยตลอดชีวิต
ซึ่งจากการยึดแบบอย่างจากจีนทำให้หลายคนกล่าวว่าพระราชวังไดนอยเหมือนกับพระราชวังกู้กงทุกประการ เพียงแต่ย่อขนาดให้เล็กลงเท่านั้นเอง ดังนั้นพระราชวังไดนอยจึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งอย่างคุ้นหูคุ้นปากว่า "พระราชวังต้องห้าม" แห่งเมืองเวียดนาม

ลักษณะของพระราชวังมีกำแพง 2 ชั้น โดยกำแพงชั้นนอกยาวถึง 9,950 เมตร เมื่อคณะของเราเดินผ่านกำแพงชั้นนอกเข้าไปแล้ว ไกด์หทัยพาพวกเราไปหยุดอยู่ที่หน้ากระบอกปืนใหญ่ 4 กระบอก ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์ยาลองเช่นกัน โดยเชื่อว่าปืนใหญ่เหล่านี้เป็นปืนของเทพเจ้าสร้างขึ้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพของราชวงศ์เหงียน และปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอกที่พวกเราเห็นนั้นก็มีความหมายถึงฤดูกาลทั้ง 4 นั่นเอง
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็มีปืนใหญ่อยู่เช่นเดียวกัน แต่มี 5 กระบอก หมายถึง ธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ซึ่งธาตุทั้ง 5 นั้น เชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์เราในการดำรงชีวิตอยู่บนโลก และตั้งแต่สร้างปืนใหญ่ทั้ง 9 กระบอกมาก็ยังไม่เคยมีใครได้ใช้งานเลยแม้แต่ครั้งเดียว ได้แต่เพียงตั้งโชว์แสดงแสนยานุภาพไว้เฉยๆเท่านั้น

จากนั้นพวกเราก็เดินต่อไปยังกำแพงชั้นที่สอง ซึ่งยาวประมาณ 2,450 เมตร ที่กำแพงชั้นนี้มีสะพานหินทอดไปยังประตูทางเข้าใหญ่ของพระราชวัง ด้านบนประตูมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า "โงมน" (Ngo Mon) แปลว่า ประตูใหญ่ ไกด์หทัยบอกว่า แต่เดิมตอนสร้างใหม่ๆตัวหนังสือนี้เป็นทองคำแท้ แต่เมื่อฝรั่งเศสเข้ามาปกครองจึงถูกถอดเอาทองคำออกแล้วแทนด้วยทองทิพย์แทน

ประตูโงมนแห่งนี้มี 3 ชั้น 5 ช่องประตูเข้าออก แบ่งเป็น ช่องนอกสุดด้านซ้ายและขวาคือทางเข้าของทหาร 2 ช่องถัดเข้ามาทางซ้ายและขวาสำหรับราชวงศ์และขุนนาง ส่วนประตูช่องกลางเป็นทางเข้าออกสำหรับองค์กษัตริย์เท่านั้น ซึ่งก็แน่นอนพวกเราต้องเดินเข้าประตูด้านริมนอกสุดตามชนชั้นอยู่แล้ว
หลังจากซื้อตั๋วเดินรอดประตูเข้ามาแล้ว เราจะขึ้นไปยังชั้นที่ 2 ของประตูโงมน ซึ่งไกด์หทัยเล่าว่า ชั้นบนของประตูโงมนนี้เป็นที่สำหรับองค์กษัตริย์ใช้ต้อนรับราชอาคันตุกะ กษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์เหงียนจะต้อนรับราชอาคันตุกะที่นี่ และบนชั้นที่ 2 นี้ก็เป็นที่สำหรับนักเรียนจอหงวนในสมัยนั้น (หรือเทียบเท่าปริญญาเอกในปัจจุบัน) รับปริญญาจากพระหัตถ์ขององค์กษัตริย์ อีกทั้งยังเป็นที่จัดงานพิธีต่างๆของวัง ซึ่งถือเป็นบริเวณที่มีความสำคัญมากในสมัยนั้น
ส่วนชั้นที่ 3 เป็นที่สำหรับพระมเหสีมาดูดาว หรือชมจันทร์ แต่ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้เพียง 2 ชั้นแรกเท่านั้น
เมื่อลงจากประตูโงมน พวกเราเดินลอดรั้วประตูสำริดขนาดใหญ่ข้ามสะพานหินหยก ตรงไปยัง "ตำหนักไทฮวา" ก่อนจะก้าวย่างเข้าไปพวกเราผ่านตัวกิเลน 2 ตัวที่ทำหน้าที่เฝ้าตำหนัก เชื่อกันว่ากิเลนเป็นสัตว์ประเสริฐสามารถช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ไกลจากพระราชวัง
ตำหนักไทฮวาแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.2348 พร้อมกับพระราชวัง แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.2375 ลักษณะเป็นท้องพระโรงขนาดใหญ่สวยงามมาก เป็นตำหนักที่กษัตริย์จะเสด็จประทับเมื่อมีการเข้าเฝ้าของราชวงศ์หรือขุนนาง ในสมัยนั้นเวลาเข้าเฝ้าจะทำการแต่ตอนกลางคืนก่อนเช้าตรู่หรือก่อนพระอาทิตย์ขึ้น คือเวลาประมาณ ตี2- ตี4 เท่านั้น อีกทั้ง กษัตริย์ทั้ง 13 พระองค์ของราชวงศ์เหวียงจะทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่ตำหนักไทฮวาแห่งนี้อีกด้วย

นอกจากนี้ตำหนักไทฮวายังมีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ชาติเวียดนาม คือ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2488 ตำหนักนี้เคยเป็นที่ยืนประกาศสละราชสมบัติหรือสละบัลลังก์ขององค์กษัตริย์บ๋าวด่าย ซึ่งเป็นองค์กษัตริย์สมัยที่ 13 หรือกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหวียง ซึ่งเป็นลูกชายของกษัตริย์องค์ที่ 12 คือ กษัตริย์ขายดิก และวันนั้นก็ถือเป็นวันสิ้นสุดการปกครองระบอบกษัตริย์ เปลี่ยนมาปกครองแบบระบบประธานาธิบดีจนปัจจุบัน
เมื่อเข้าไปในตำหนัก ไกด์หทัย เล่าว่า สมัยที่ราชวงศ์เหงียนสร้างตำหนักนี้ใหม่ๆ ทุกอย่างจะเป็นทองคำแท้หมด แต่เมื่อฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนามในปี พ.ศ.2402 ทุกอย่างที่เป็นทองคำฝรั่งเศสจะถอดไปที่บ้านเขาหมดแล้วแทนด้วยทองชุบ

ไกด์หทัยบอกอีกว่า ให้สังเกตภายในตำหนักไทฮวาจะมีบัลลังก์สำหรับองค์กษัตริย์ประทับเพียงบัลลังก์เดียว เนื่องจากกษัตริย์ยาลองปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียนผู้สร้างพระราชวัง ประกาศจะไม่พระราชทานตำแหน่งพระราชินีให้กับนางสนมคนใดเลย และไม่ให้สนมคนใดยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะกลัวจะเป็นแบบประเทศจีน
จากตำหนักไทฮวา พวกเราเดินต่อไปเรื่อยๆเพื่อเข้าไปยังส่วนพระราชฐานชั้นใน โดยในส่วนนี้มีจุดที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งคือ "ตำหนักเถเหมียว" (The Mieu) ตำหนักนี้เป็นที่ตั้งของป้ายดวงวิญญาณของจักรพรรดิ 10 พระองค์ในราชวงศ์เหงียน ส่วนฝั่งตรงข้ามคือ "ตำหนักเฮียนลามกั๊ก" (Hien Lam Cac) ซึ่งด้านหน้าของตำหนักแห่งนี้มีกระถางธูปประจำราชวงศ์ 9 ใบ เป็นกระถางธูปที่หล่อด้วยโลหะสำริดมีความใหญ่และหนักมาก

และสำหรับกระถางธูปใบกลางเป็นใบที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เนื่องจากจักรพรรดิมิ่งห์หมางกษัตริย์องคืที่ 2 แห่งราชวงศ์เหงียนทรงสร้างถวายพระราชบิดา คือองค์จักรพรรดิยาลอง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ โดยตำแหน่งของกระถางธูปใหญ่ใบนี้ตรงกับแท่นบูชาดวงพระวิญญาณจักรพรรดิยาลองพอดิบพอดี
หลังจากที่พวกเราไหว้บูชาองค์กษัตริย์ต่างๆแห่งราชวงศ์เหงียนตามธรรมเนียมกันแล้ว ก็โพสท่าถ่ายรูปสวยๆกันอย่างเมามัน ก่อนที่ไกด์หทัยจะเรียกให้พวกเรารวมตัวเพื่อขึ้นรถไปดื่มด่ำประวัติศาสตร์กันต่อเป็นแห่งสุดท้ายที่ "สุสาน"สำคัญแห่งเมืองเว้ (โปรดติดตามตอนต่อไป)
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เว้ (Hue)เป็นเมืองเอกของจังหวัดถัวเทียน-เว้ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และเคยเป็นเมืองหลวงในสมัยราชวงศ์เหงียนช่วงปี พ.ศ. 2345-2488 ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำหอมเป็นที่ตั้งของพระราชวังเมืองเว้ หรือพระราชวังไดนอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของย่านประวัติศาสตร์ โบราณสถานและวัดสำคัญ และได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปีพ.ศ.2536
ราชวงศ์เหงียนเป็นราชวงศ์สุดท้ายในประเทศเวียดนามที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ มีกษัตริย์ทั้งสิ้น 13 พระองค์ โดยผู้สนใจเที่ยวเมืองเว้สามารถสอบถามได้ที่บริษัททัวร์ทั่วไป
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ฮอยอัน...ฉันรักเธอ
ท่องเมืองเว้..ยลโบราณสถานโลกไม่ลืม
หลายคนคงรู้แล้วว่า "เมืองเว้" เป็นเมืองแห่งมรดกโลกและการสงคราม(จากตอนที่แล้ว) ซึ่งนอกจากนั้นแล้ว เว้ยังเป็นเมืองหลวงแห่งราชวงศ์เหงียนอีกด้วย
ในช่วงพ.ศ.2348 กษัตริย์ยาลองซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียน ได้สถาปนาเมืองเว้เป็นราชธานี และสร้าง "พระราชวังไดนอย" (Dai Noi )ขึ้นอย่างใหญ่โตบนเนื้อที่ 52 ตารางกิโลเมตร ริมฝั่งแม่น้ำหอม โดยยึดเอาแบบอย่างและคติความเชื่อมาจาก "พระราชวังกู้กง" หรือ "พระราชวังต้องห้าม" ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
ส่วนเหตุผลที่เรียกว่า "พระราชวังต้องห้าม" นั้น เป็นเพราะชาวจีนถือคติในการสร้างวังว่า จักรพรรดิเปรียบเสมือนบุตรแห่งสวรรค์ ดังนั้นวังของบุตรแห่งสวรรค์จึงต้องเป็นที่ต้องห้ามสำหรับคนธรรมดาสามัญไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปได้ และผู้ที่เข้ามาทำงานถวายตัวในพระราชวังก็ไม่สามารถออกไปนอกอาณาเขตนครต้องห้ามได้อีกเลยตลอดชีวิต
ซึ่งจากการยึดแบบอย่างจากจีนทำให้หลายคนกล่าวว่าพระราชวังไดนอยเหมือนกับพระราชวังกู้กงทุกประการ เพียงแต่ย่อขนาดให้เล็กลงเท่านั้นเอง ดังนั้นพระราชวังไดนอยจึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งอย่างคุ้นหูคุ้นปากว่า "พระราชวังต้องห้าม" แห่งเมืองเวียดนาม
ลักษณะของพระราชวังมีกำแพง 2 ชั้น โดยกำแพงชั้นนอกยาวถึง 9,950 เมตร เมื่อคณะของเราเดินผ่านกำแพงชั้นนอกเข้าไปแล้ว ไกด์หทัยพาพวกเราไปหยุดอยู่ที่หน้ากระบอกปืนใหญ่ 4 กระบอก ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์ยาลองเช่นกัน โดยเชื่อว่าปืนใหญ่เหล่านี้เป็นปืนของเทพเจ้าสร้างขึ้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพของราชวงศ์เหงียน และปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอกที่พวกเราเห็นนั้นก็มีความหมายถึงฤดูกาลทั้ง 4 นั่นเอง
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็มีปืนใหญ่อยู่เช่นเดียวกัน แต่มี 5 กระบอก หมายถึง ธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ซึ่งธาตุทั้ง 5 นั้น เชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์เราในการดำรงชีวิตอยู่บนโลก และตั้งแต่สร้างปืนใหญ่ทั้ง 9 กระบอกมาก็ยังไม่เคยมีใครได้ใช้งานเลยแม้แต่ครั้งเดียว ได้แต่เพียงตั้งโชว์แสดงแสนยานุภาพไว้เฉยๆเท่านั้น
จากนั้นพวกเราก็เดินต่อไปยังกำแพงชั้นที่สอง ซึ่งยาวประมาณ 2,450 เมตร ที่กำแพงชั้นนี้มีสะพานหินทอดไปยังประตูทางเข้าใหญ่ของพระราชวัง ด้านบนประตูมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า "โงมน" (Ngo Mon) แปลว่า ประตูใหญ่ ไกด์หทัยบอกว่า แต่เดิมตอนสร้างใหม่ๆตัวหนังสือนี้เป็นทองคำแท้ แต่เมื่อฝรั่งเศสเข้ามาปกครองจึงถูกถอดเอาทองคำออกแล้วแทนด้วยทองทิพย์แทน
ประตูโงมนแห่งนี้มี 3 ชั้น 5 ช่องประตูเข้าออก แบ่งเป็น ช่องนอกสุดด้านซ้ายและขวาคือทางเข้าของทหาร 2 ช่องถัดเข้ามาทางซ้ายและขวาสำหรับราชวงศ์และขุนนาง ส่วนประตูช่องกลางเป็นทางเข้าออกสำหรับองค์กษัตริย์เท่านั้น ซึ่งก็แน่นอนพวกเราต้องเดินเข้าประตูด้านริมนอกสุดตามชนชั้นอยู่แล้ว
หลังจากซื้อตั๋วเดินรอดประตูเข้ามาแล้ว เราจะขึ้นไปยังชั้นที่ 2 ของประตูโงมน ซึ่งไกด์หทัยเล่าว่า ชั้นบนของประตูโงมนนี้เป็นที่สำหรับองค์กษัตริย์ใช้ต้อนรับราชอาคันตุกะ กษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์เหงียนจะต้อนรับราชอาคันตุกะที่นี่ และบนชั้นที่ 2 นี้ก็เป็นที่สำหรับนักเรียนจอหงวนในสมัยนั้น (หรือเทียบเท่าปริญญาเอกในปัจจุบัน) รับปริญญาจากพระหัตถ์ขององค์กษัตริย์ อีกทั้งยังเป็นที่จัดงานพิธีต่างๆของวัง ซึ่งถือเป็นบริเวณที่มีความสำคัญมากในสมัยนั้น
ส่วนชั้นที่ 3 เป็นที่สำหรับพระมเหสีมาดูดาว หรือชมจันทร์ แต่ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้เพียง 2 ชั้นแรกเท่านั้น
เมื่อลงจากประตูโงมน พวกเราเดินลอดรั้วประตูสำริดขนาดใหญ่ข้ามสะพานหินหยก ตรงไปยัง "ตำหนักไทฮวา" ก่อนจะก้าวย่างเข้าไปพวกเราผ่านตัวกิเลน 2 ตัวที่ทำหน้าที่เฝ้าตำหนัก เชื่อกันว่ากิเลนเป็นสัตว์ประเสริฐสามารถช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ไกลจากพระราชวัง
ตำหนักไทฮวาแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.2348 พร้อมกับพระราชวัง แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.2375 ลักษณะเป็นท้องพระโรงขนาดใหญ่สวยงามมาก เป็นตำหนักที่กษัตริย์จะเสด็จประทับเมื่อมีการเข้าเฝ้าของราชวงศ์หรือขุนนาง ในสมัยนั้นเวลาเข้าเฝ้าจะทำการแต่ตอนกลางคืนก่อนเช้าตรู่หรือก่อนพระอาทิตย์ขึ้น คือเวลาประมาณ ตี2- ตี4 เท่านั้น อีกทั้ง กษัตริย์ทั้ง 13 พระองค์ของราชวงศ์เหวียงจะทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่ตำหนักไทฮวาแห่งนี้อีกด้วย
นอกจากนี้ตำหนักไทฮวายังมีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ชาติเวียดนาม คือ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2488 ตำหนักนี้เคยเป็นที่ยืนประกาศสละราชสมบัติหรือสละบัลลังก์ขององค์กษัตริย์บ๋าวด่าย ซึ่งเป็นองค์กษัตริย์สมัยที่ 13 หรือกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหวียง ซึ่งเป็นลูกชายของกษัตริย์องค์ที่ 12 คือ กษัตริย์ขายดิก และวันนั้นก็ถือเป็นวันสิ้นสุดการปกครองระบอบกษัตริย์ เปลี่ยนมาปกครองแบบระบบประธานาธิบดีจนปัจจุบัน
เมื่อเข้าไปในตำหนัก ไกด์หทัย เล่าว่า สมัยที่ราชวงศ์เหงียนสร้างตำหนักนี้ใหม่ๆ ทุกอย่างจะเป็นทองคำแท้หมด แต่เมื่อฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนามในปี พ.ศ.2402 ทุกอย่างที่เป็นทองคำฝรั่งเศสจะถอดไปที่บ้านเขาหมดแล้วแทนด้วยทองชุบ
ไกด์หทัยบอกอีกว่า ให้สังเกตภายในตำหนักไทฮวาจะมีบัลลังก์สำหรับองค์กษัตริย์ประทับเพียงบัลลังก์เดียว เนื่องจากกษัตริย์ยาลองปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียนผู้สร้างพระราชวัง ประกาศจะไม่พระราชทานตำแหน่งพระราชินีให้กับนางสนมคนใดเลย และไม่ให้สนมคนใดยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะกลัวจะเป็นแบบประเทศจีน
จากตำหนักไทฮวา พวกเราเดินต่อไปเรื่อยๆเพื่อเข้าไปยังส่วนพระราชฐานชั้นใน โดยในส่วนนี้มีจุดที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งคือ "ตำหนักเถเหมียว" (The Mieu) ตำหนักนี้เป็นที่ตั้งของป้ายดวงวิญญาณของจักรพรรดิ 10 พระองค์ในราชวงศ์เหงียน ส่วนฝั่งตรงข้ามคือ "ตำหนักเฮียนลามกั๊ก" (Hien Lam Cac) ซึ่งด้านหน้าของตำหนักแห่งนี้มีกระถางธูปประจำราชวงศ์ 9 ใบ เป็นกระถางธูปที่หล่อด้วยโลหะสำริดมีความใหญ่และหนักมาก
และสำหรับกระถางธูปใบกลางเป็นใบที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เนื่องจากจักรพรรดิมิ่งห์หมางกษัตริย์องคืที่ 2 แห่งราชวงศ์เหงียนทรงสร้างถวายพระราชบิดา คือองค์จักรพรรดิยาลอง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ โดยตำแหน่งของกระถางธูปใหญ่ใบนี้ตรงกับแท่นบูชาดวงพระวิญญาณจักรพรรดิยาลองพอดิบพอดี
หลังจากที่พวกเราไหว้บูชาองค์กษัตริย์ต่างๆแห่งราชวงศ์เหงียนตามธรรมเนียมกันแล้ว ก็โพสท่าถ่ายรูปสวยๆกันอย่างเมามัน ก่อนที่ไกด์หทัยจะเรียกให้พวกเรารวมตัวเพื่อขึ้นรถไปดื่มด่ำประวัติศาสตร์กันต่อเป็นแห่งสุดท้ายที่ "สุสาน"สำคัญแห่งเมืองเว้ (โปรดติดตามตอนต่อไป)
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เว้ (Hue)เป็นเมืองเอกของจังหวัดถัวเทียน-เว้ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และเคยเป็นเมืองหลวงในสมัยราชวงศ์เหงียนช่วงปี พ.ศ. 2345-2488 ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำหอมเป็นที่ตั้งของพระราชวังเมืองเว้ หรือพระราชวังไดนอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของย่านประวัติศาสตร์ โบราณสถานและวัดสำคัญ และได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปีพ.ศ.2536
ราชวงศ์เหงียนเป็นราชวงศ์สุดท้ายในประเทศเวียดนามที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ มีกษัตริย์ทั้งสิ้น 13 พระองค์ โดยผู้สนใจเที่ยวเมืองเว้สามารถสอบถามได้ที่บริษัททัวร์ทั่วไป
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ฮอยอัน...ฉันรักเธอ
ท่องเมืองเว้..ยลโบราณสถานโลกไม่ลืม