xs
xsm
sm
md
lg

ท่องเมืองเว้...ชมพระราชวังต้องห้าม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : จุชดานิน
อาคารประตูทางเข้าใหญ่ของพระราชวังต้องห้าม
หลายคนคงรู้แล้วว่า "เมืองเว้" เป็นเมืองแห่งมรดกโลกและการสงคราม(จากตอนที่แล้ว) ซึ่งนอกจากนั้นแล้ว เว้ยังเป็นเมืองหลวงแห่งราชวงศ์เหงียนอีกด้วย

ในช่วงพ.ศ.2348 กษัตริย์ยาลองซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียน ได้สถาปนาเมืองเว้เป็นราชธานี และสร้าง "พระราชวังไดนอย" (Dai Noi )ขึ้นอย่างใหญ่โตบนเนื้อที่ 52 ตารางกิโลเมตร ริมฝั่งแม่น้ำหอม โดยยึดเอาแบบอย่างและคติความเชื่อมาจาก "พระราชวังกู้กง" หรือ "พระราชวังต้องห้าม" ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
กระบอกปืนใหญ่ทั้ง 9 กระบอก สร้างขึ้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพของราชวงศ์เหงียน
ส่วนเหตุผลที่เรียกว่า "พระราชวังต้องห้าม" นั้น เป็นเพราะชาวจีนถือคติในการสร้างวังว่า จักรพรรดิเปรียบเสมือนบุตรแห่งสวรรค์ ดังนั้นวังของบุตรแห่งสวรรค์จึงต้องเป็นที่ต้องห้ามสำหรับคนธรรมดาสามัญไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปได้ และผู้ที่เข้ามาทำงานถวายตัวในพระราชวังก็ไม่สามารถออกไปนอกอาณาเขตนครต้องห้ามได้อีกเลยตลอดชีวิต

ซึ่งจากการยึดแบบอย่างจากจีนทำให้หลายคนกล่าวว่าพระราชวังไดนอยเหมือนกับพระราชวังกู้กงทุกประการ เพียงแต่ย่อขนาดให้เล็กลงเท่านั้นเอง ดังนั้นพระราชวังไดนอยจึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งอย่างคุ้นหูคุ้นปากว่า "พระราชวังต้องห้าม" แห่งเมืองเวียดนาม
ตำหนักไทฮวา หนึ่งในสถานที่ที่สำคัญมากทางประวัติศาสตร์ของเวียดนาม
ลักษณะของพระราชวังมีกำแพง 2 ชั้น โดยกำแพงชั้นนอกยาวถึง 9,950 เมตร เมื่อคณะของเราเดินผ่านกำแพงชั้นนอกเข้าไปแล้ว ไกด์หทัยพาพวกเราไปหยุดอยู่ที่หน้ากระบอกปืนใหญ่ 4 กระบอก ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์ยาลองเช่นกัน โดยเชื่อว่าปืนใหญ่เหล่านี้เป็นปืนของเทพเจ้าสร้างขึ้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพของราชวงศ์เหงียน และปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอกที่พวกเราเห็นนั้นก็มีความหมายถึงฤดูกาลทั้ง 4 นั่นเอง

ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็มีปืนใหญ่อยู่เช่นเดียวกัน แต่มี 5 กระบอก หมายถึง ธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ซึ่งธาตุทั้ง 5 นั้น เชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์เราในการดำรงชีวิตอยู่บนโลก และตั้งแต่สร้างปืนใหญ่ทั้ง 9 กระบอกมาก็ยังไม่เคยมีใครได้ใช้งานเลยแม้แต่ครั้งเดียว ได้แต่เพียงตั้งโชว์แสดงแสนยานุภาพไว้เฉยๆเท่านั้น
บรรยากาศภายในพระราชวังต้องห้ามงดงามด้วยสีสันของสถาปัตยกรรมและสวนสวยงาม
จากนั้นพวกเราก็เดินต่อไปยังกำแพงชั้นที่สอง ซึ่งยาวประมาณ 2,450 เมตร ที่กำแพงชั้นนี้มีสะพานหินทอดไปยังประตูทางเข้าใหญ่ของพระราชวัง ด้านบนประตูมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า "โงมน" (Ngo Mon) แปลว่า ประตูใหญ่ ไกด์หทัยบอกว่า แต่เดิมตอนสร้างใหม่ๆตัวหนังสือนี้เป็นทองคำแท้ แต่เมื่อฝรั่งเศสเข้ามาปกครองจึงถูกถอดเอาทองคำออกแล้วแทนด้วยทองทิพย์แทน
ประตูศิลปะแบบจีนที่สวยงามเป็นทางผ่านเข้าสู่พระราชฐานชั้นใน
ประตูโงมนแห่งนี้มี 3 ชั้น 5 ช่องประตูเข้าออก แบ่งเป็น ช่องนอกสุดด้านซ้ายและขวาคือทางเข้าของทหาร 2 ช่องถัดเข้ามาทางซ้ายและขวาสำหรับราชวงศ์และขุนนาง ส่วนประตูช่องกลางเป็นทางเข้าออกสำหรับองค์กษัตริย์เท่านั้น ซึ่งก็แน่นอนพวกเราต้องเดินเข้าประตูด้านริมนอกสุดตามชนชั้นอยู่แล้ว

หลังจากซื้อตั๋วเดินรอดประตูเข้ามาแล้ว เราจะขึ้นไปยังชั้นที่ 2 ของประตูโงมน ซึ่งไกด์หทัยเล่าว่า ชั้นบนของประตูโงมนนี้เป็นที่สำหรับองค์กษัตริย์ใช้ต้อนรับราชอาคันตุกะ กษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์เหงียนจะต้อนรับราชอาคันตุกะที่นี่ และบนชั้นที่ 2 นี้ก็เป็นที่สำหรับนักเรียนจอหงวนในสมัยนั้น (หรือเทียบเท่าปริญญาเอกในปัจจุบัน) รับปริญญาจากพระหัตถ์ขององค์กษัตริย์ อีกทั้งยังเป็นที่จัดงานพิธีต่างๆของวัง ซึ่งถือเป็นบริเวณที่มีความสำคัญมากในสมัยนั้น

ส่วนชั้นที่ 3 เป็นที่สำหรับพระมเหสีมาดูดาว หรือชมจันทร์ แต่ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้เพียง 2 ชั้นแรกเท่านั้น

เมื่อลงจากประตูโงมน พวกเราเดินลอดรั้วประตูสำริดขนาดใหญ่ข้ามสะพานหินหยก ตรงไปยัง "ตำหนักไทฮวา" ก่อนจะก้าวย่างเข้าไปพวกเราผ่านตัวกิเลน 2 ตัวที่ทำหน้าที่เฝ้าตำหนัก เชื่อกันว่ากิเลนเป็นสัตว์ประเสริฐสามารถช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ไกลจากพระราชวัง

ตำหนักไทฮวาแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.2348 พร้อมกับพระราชวัง แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.2375 ลักษณะเป็นท้องพระโรงขนาดใหญ่สวยงามมาก เป็นตำหนักที่กษัตริย์จะเสด็จประทับเมื่อมีการเข้าเฝ้าของราชวงศ์หรือขุนนาง ในสมัยนั้นเวลาเข้าเฝ้าจะทำการแต่ตอนกลางคืนก่อนเช้าตรู่หรือก่อนพระอาทิตย์ขึ้น คือเวลาประมาณ ตี2- ตี4 เท่านั้น อีกทั้ง กษัตริย์ทั้ง 13 พระองค์ของราชวงศ์เหวียงจะทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่ตำหนักไทฮวาแห่งนี้อีกด้วย
ภายในตำหนักเถเหมียวมีป้ายดวงพระวิญญาณของเหล่ากษัตริย์ในราชวงศ์เหงียน
นอกจากนี้ตำหนักไทฮวายังมีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ชาติเวียดนาม คือ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2488 ตำหนักนี้เคยเป็นที่ยืนประกาศสละราชสมบัติหรือสละบัลลังก์ขององค์กษัตริย์บ๋าวด่าย ซึ่งเป็นองค์กษัตริย์สมัยที่ 13 หรือกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหวียง ซึ่งเป็นลูกชายของกษัตริย์องค์ที่ 12 คือ กษัตริย์ขายดิก และวันนั้นก็ถือเป็นวันสิ้นสุดการปกครองระบอบกษัตริย์ เปลี่ยนมาปกครองแบบระบบประธานาธิบดีจนปัจจุบัน

เมื่อเข้าไปในตำหนัก ไกด์หทัย เล่าว่า สมัยที่ราชวงศ์เหงียนสร้างตำหนักนี้ใหม่ๆ ทุกอย่างจะเป็นทองคำแท้หมด แต่เมื่อฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนามในปี พ.ศ.2402 ทุกอย่างที่เป็นทองคำฝรั่งเศสจะถอดไปที่บ้านเขาหมดแล้วแทนด้วยทองชุบ
ด้านหน้าของตำหนักเฮียนลามกั๊กเป็นที่ตั้งของเหล่ากระถางธูปประจำราชวงศ์
ไกด์หทัยบอกอีกว่า ให้สังเกตภายในตำหนักไทฮวาจะมีบัลลังก์สำหรับองค์กษัตริย์ประทับเพียงบัลลังก์เดียว เนื่องจากกษัตริย์ยาลองปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียนผู้สร้างพระราชวัง ประกาศจะไม่พระราชทานตำแหน่งพระราชินีให้กับนางสนมคนใดเลย และไม่ให้สนมคนใดยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะกลัวจะเป็นแบบประเทศจีน

จากตำหนักไทฮวา พวกเราเดินต่อไปเรื่อยๆเพื่อเข้าไปยังส่วนพระราชฐานชั้นใน โดยในส่วนนี้มีจุดที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งคือ "ตำหนักเถเหมียว" (The Mieu) ตำหนักนี้เป็นที่ตั้งของป้ายดวงวิญญาณของจักรพรรดิ 10 พระองค์ในราชวงศ์เหงียน ส่วนฝั่งตรงข้ามคือ "ตำหนักเฮียนลามกั๊ก" (Hien Lam Cac) ซึ่งด้านหน้าของตำหนักแห่งนี้มีกระถางธูปประจำราชวงศ์ 9 ใบ เป็นกระถางธูปที่หล่อด้วยโลหะสำริดมีความใหญ่และหนักมาก
 กระถางธูปประจำราชวงศ์ทั้ง 9 เป็นกระถางที่หล่อด้วยโลหะสำริดมีความใหญ่และหนักมาก
และสำหรับกระถางธูปใบกลางเป็นใบที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เนื่องจากจักรพรรดิมิ่งห์หมางกษัตริย์องคืที่ 2 แห่งราชวงศ์เหงียนทรงสร้างถวายพระราชบิดา คือองค์จักรพรรดิยาลอง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ โดยตำแหน่งของกระถางธูปใหญ่ใบนี้ตรงกับแท่นบูชาดวงพระวิญญาณจักรพรรดิยาลองพอดิบพอดี

หลังจากที่พวกเราไหว้บูชาองค์กษัตริย์ต่างๆแห่งราชวงศ์เหงียนตามธรรมเนียมกันแล้ว ก็โพสท่าถ่ายรูปสวยๆกันอย่างเมามัน ก่อนที่ไกด์หทัยจะเรียกให้พวกเรารวมตัวเพื่อขึ้นรถไปดื่มด่ำประวัติศาสตร์กันต่อเป็นแห่งสุดท้ายที่ "สุสาน"สำคัญแห่งเมืองเว้ (โปรดติดตามตอนต่อไป)

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เว้ (Hue)เป็นเมืองเอกของจังหวัดถัวเทียน-เว้ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และเคยเป็นเมืองหลวงในสมัยราชวงศ์เหงียนช่วงปี พ.ศ. 2345-2488 ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำหอมเป็นที่ตั้งของพระราชวังเมืองเว้ หรือพระราชวังไดนอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของย่านประวัติศาสตร์ โบราณสถานและวัดสำคัญ และได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปีพ.ศ.2536

ราชวงศ์เหงียนเป็นราชวงศ์สุดท้ายในประเทศเวียดนามที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ มีกษัตริย์ทั้งสิ้น 13 พระองค์ โดยผู้สนใจเที่ยวเมืองเว้สามารถสอบถามได้ที่บริษัททัวร์ทั่วไป


อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

ฮอยอัน...ฉันรักเธอ
ท่องเมืองเว้..ยลโบราณสถานโลกไม่ลืม
กำลังโหลดความคิดเห็น