โดย : จุชดานิน

หากกล่าวถึง เส้นทางหมายเลข 9 หลายคนอาจจะงงๆ แต่สำหรับชาวเวียดนาม "เส้นทางหมายเลข 9" คงเป็นความทรงจำที่โหดร้ายและยากที่จะลืม
เส้นทางนี้ แต่เดิมในสมัยสงครามต่อต้านอเมริกัน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า "สงครามเวียดนาม" ถนนสายนี้เคยเป็นสมรภูมิรบที่ดุเดือดและนองเลือดมากที่สุดในประวัติศาสตร์เวียดนาม

แต่หลังจากที่สงครามอันโหดร้ายยุติลงได้ 30 ปี และเวียดนามมีนโยบายเปิดประเทศมาแล้วกว่า 15 ปี ทำให้ทุกอย่างถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ เส้นทางที่ใครๆก็ต่างหวาดกลัวกลายเป็นเส้นทางสำคัญในการนำนักท่องเที่ยวเข้าสู่เวียดนาม

ฉันก็เป็นนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่เดินทางตามเส้นทางหมายเลข 9 สู่"เมืองเว้" ราชธานีอันเก่าแก่และเมืองท่องเที่ยวที่นิยมมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของเวียดนาม ซึ่งอุดมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวในเชิงประวัติศาสตร์ แต่พลพวงจากสงครามได้ทำให้โบราณสถานที่นี่ได้รับความเสียหายจำนวนหนึ่ง แถมยังสงคราม โบราณสถานเหล่านั้นกลับไม่ได้รับการดูแล เนื่องจากถูกกลุ่มผู้นำคอมมิวนิสต์และชาวเวียดนามบางส่วนมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของระบอบศักดินาในอดีต
แต่ถึงอย่างไร โลกยังไม่ลืมโบราณสถานต่างๆในเมืองเว้ เพราะเมื่อแนวคิดทางการเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปรัฐบาลเวียดนามจึงได้ทำการบูรณะโบราณสถานต่างๆ จนองค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนให้เป็น "มรดกโลกทางศิลปวัฒนธรรม"ในปี พ.ศ. 2536

การเที่ยวเมืองเว้ของฉันในครั้งนี้เริ่มต้นโดยการล่องเรือแม่น้ำหอมเพื่อไปขึ้นฝั่งที่วัดเทียนมู เรือหัวมังกรคู่ที่พาเราล่องแม่น้ำหอมดูกว้างขวางจุคนได้หลายสิบคน ระหว่างที่พวกเรานั่งชมวิวธรรมชาติสองฟากฝั่ง พร้อมลมที่โกรกเบาๆเย็นสบาย
"หทัย" ไกด์สาวใหญ่ชาวเวียดนามเล่าถึงแม่น้ำหอมว่า แต่เดิมสมัยที่ยังไม่มีมลพิษ แม่น้ำสายนี้เมื่อไหลผ่านป่าไม้ที่หอมบริสุทธิ์ ยามดอกไม้บานแล้วร่วงหล่นลงสายน้ำก็จะพัดพากลิ่นหอมเหล่านี้ไปเรื่อยๆจนมาถึงเมืองเว้ ประชาชนจึงได้เรียกแม้น้ำสายนี้ว่า"แม่น้ำหอม" (Huong Giang)
แต่ปัจจุบัน ตลอดทางที่ฉันนั่งอยู่บนเรือก็ไม่ได้กลิ่นหอมเลยแม้แต่น้อย ไกด์บอกว่าเพราะปัจจุบันมีมลภาวะมลพิษเยอะ ทำให้แม่น้ำที่เคยใสสะอาดหอมหวนได้ถูกทำลายลงเรื่อยๆจนความหอมหมดไปนั้นเอง ส่วนเรื่องเรือหัวมังกรคู่ที่ฉันนั่งนั้น ไกด์หทัยบอกว่า ที่เลือกใช้มังกรเพราะ เชื่อกันว่ามังกรเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์เหงียน และยังหมายถึง ชาติกำเนิดของชาวเวียดนามด้วย
หลังจากที่นั่งเรือชมธรรมชาติแม่น้ำหอม และเรื่องราวของแม่น้ำหอมและเรือหัวมังกรแล้ว ก็ได้เวลาที่เรือจะเทียบท่าพาพวกเราขึ้นสู่ "วัดเทียนมู" (Thien Mu) ซึ่งเป็นวัดพุทธมหายาน ศูนย์กลางนิกายเซนแห่งแรกของเมืองเว้ อายุกว่า 600 ปี
ตามตำนานเล่าว่า ในสมัยก่อนที่จะสร้างวัด ชาวบ้านแถวนี้ได้ฝันเห็นเจ้าฟ้าชายของพระราชวงศ์เหงียนมาสร้างวัดในแถบนี้ จากนั้นเมื่อ 600 กว่าปีก่อนก็ได้มีเจ้าฟ้าของราชวงศ์เหงียนมาสร้างจริงๆ แต่สมัยนั้นยังไม่เป็นราชวงศ์เหงียนเพราะยังอยู่ในช่วงของการต่อสู่แย่งชิงราชบัลลังก์

ศาสนสถานที่สำคัญและโดดเด่นที่สุดของวัดเทียนมูคือ "เจดีย์เทียนมู" รูปทรง 8 เหลี่ยมสูง 7 ชั้น หรือประมาณ 20 เมตร ทุกชั้นบรรจุพระพุทธรูป เมื่อตอนสร้างใหม่บนยอดสุดของเจดีย์ได้บรรจุพระพุทธรูปทองคำแท้อีกด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปี และเมืองเว้ก็โดนสงครามมายืดเยื้อหลายสมัย พระพุทธรูปทองคำจึงโดนขโมยไปหมด ปัจจุบันพระพุทธรูปในวัดนี้จึงกลายเป็นพระพุทธรูปทองสำริดสีแดง
หากสังเกตดีๆ บนยอดเจดีย์เทียนมูจะมีลูกน้ำเต้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เจดีย์แห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยที่ลัทธิเต๋ากับลัทธิขงจื๊อจากจีนเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากในเวียดนาม และบริเวณนี้ยังสามารถชมวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำหอมได้อย่างสวยงามอีกมุมหนึ่งด้วย
นอกจากเจดีย์แล้ว ภายในวัดยังมี "ระฆังใบใหญ่" น้ำหนัก 2,632 กิโลกรัม สูง 2.30 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.4 เมตร ในสมัยก่อนชาวบ้านในเมืองเว้จะได้ยินเสียงระฆังตีวันละ 2 ครั้ง คือ ตอนตี 4 และตอน 1 ทุ่มครึ่ง สาเหตุเพราะสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้า ทุกคนต้องตื่นนอนตอนตี 4 เพื่อไปทำไร่ไถ่นา และตอน 1ทุ่มครึ่งก็จะได้เวลาเข้านอน
ซึ่งก่อนที่พวกเราจะผ่านระฆังไปยังจุดอื่นๆในวัด ไกด์แนะนำว่า ให้ลูบคลำระฆังเพื่อให้ชีวิตของเราดังเหมือนระฆังใบนี้ โดยวิธีการคือให้ลูบขึ้น 3 ครั้ง เพื่อให้ชีวิตรุ่งเรื่องมีชื่อเสียงโด่งดัง พวกเราได้ฟังก็ไม่รีรอรีบแย่งกันลูบระฆังเพื่อความเป็นสิริมงคล
จากนั้นไกด์นำพวกเราไปยังรูปปั้นเต่าขนาดใหญ่ที่แบกศิลาจารึกขนาดใหญ่กว่าตัวไว้บนหลัง แผ่นศิลานั้นทำด้วยหินอ่อนจารึกประวัติความเป็นมาตั้งแต่เริ่มสร้างวัด สร้างเจดีย์ สร้างระฆัง ส่วนตัวเต่าทำด้วยหินโกเมน และไกด์ก็แนะอีกว่า ให้ลูบหัวเต่าขึ้น 3 ครั้งเพื่อให้มีชีวิตที่ยืนยาวมั่นคง

เมื่อผลัดกันลูบหัวเต่าแล้ว ไกด์นำพวกเราไปยังด้านหลังของเจดีย์ และพาพวกเราไปหยุดอยู่ที่รถออสตินเก่าๆสีฟ้าอ่อนคันหนึ่งในโรงเก็บ บนฝาผนังด้านหลังมีรูปพระภิกษุรูปหนึ่งถูกไฟครอก โดยมีรถออสตินแบบนี้จอดอยู่ใกล้ๆ แล้วไกด์หทัยก็ถามพวกเราว่า มีใครจำได้ไหมว่า เคยมีข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ลงเรื่องพระภิกษุเวียดนามเผาตัวเองประท้วงผู้นำรัฐบาลเวียดนามใต้ หากใครจำได้นั้นคือเรื่องราวของพระภิกษุรูปนั้นและรถคันนี้

ไกด์หทัยเล่าต่อว่า พระรูปนั้นชื่อ"พระควางดัก"(Quang Duc) ผู้กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ด้วยการสละชีวิตตนเองในไซ่ง่อน โดยการท่านได้ขับรถออสตินสีฟ้าคันนี้จากเว้ไปยังไซ่ง่อน เพื่อเผาตนเองประท้วงรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ของเวียดนามใต้เมื่อราว พ.ศ.2510 ช่วงที่สงครามเวียดนามกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
โดยการเผาตัวเองกลางถนนนั้น ส่งผลให้ชาวเวียดนามได้ตระหนักถึงปัญหาทางศีลธรรมและความรับผิดชอบอันเนื่องมาจากความแตกต่างของระบอบการเมืองและวัฒนธรรม ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากอีกหนึ่งจุดของเวียดนาม

ระหว่างที่อยู่ในส่วนด้านในนี้ หากใครเห็นพระบางรูปที่โกนผมแค่ครึ่งหัว เหลือผมด้านหน้าไว้หย่อมหนึ่ง ไม่เหมือนพระหรือเณรรูปอื่นๆ ก็อย่าได้แปลกใจ เขาบอกว่าพระที่โกนผมแค่ครึ่งหัวแสดงว่ายังเป็นพระที่ไม่สมบูรณ์นั่นเอง
จากนั้นพวกเราก็เดินชมพร้อมทั้งกราบไหว้พระพุทธรูปต่างๆภายในวัดจนทั่วก่อนที่คณะของเราจะเดินทางไปชมความงามทางประวัติศาสตร์ของเมืองมรดกโลกกันต่อที่"พระราชวังต้องห้าม" (โปรดติดตามตอนต่อไป)
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เมืองเว้ (Hue) เป็นเมืองเอกของจังหวัดถัวเทียน-เว้ ตั้งอยู่ตอนกลางของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เว้เคยเป็นเมืองเก่าในสมัยราชวงศ์เหงียนช่วงปี พ.ศ. 2345-2488 โดยผู้สนใจเที่ยวเมืองเว้สามารถสอบถามได้ที่บริษัททัวร์ทั่วไป
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ฮอยอัน...ฉันรักเธอ
หากกล่าวถึง เส้นทางหมายเลข 9 หลายคนอาจจะงงๆ แต่สำหรับชาวเวียดนาม "เส้นทางหมายเลข 9" คงเป็นความทรงจำที่โหดร้ายและยากที่จะลืม
เส้นทางนี้ แต่เดิมในสมัยสงครามต่อต้านอเมริกัน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า "สงครามเวียดนาม" ถนนสายนี้เคยเป็นสมรภูมิรบที่ดุเดือดและนองเลือดมากที่สุดในประวัติศาสตร์เวียดนาม
แต่หลังจากที่สงครามอันโหดร้ายยุติลงได้ 30 ปี และเวียดนามมีนโยบายเปิดประเทศมาแล้วกว่า 15 ปี ทำให้ทุกอย่างถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ เส้นทางที่ใครๆก็ต่างหวาดกลัวกลายเป็นเส้นทางสำคัญในการนำนักท่องเที่ยวเข้าสู่เวียดนาม
ฉันก็เป็นนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่เดินทางตามเส้นทางหมายเลข 9 สู่"เมืองเว้" ราชธานีอันเก่าแก่และเมืองท่องเที่ยวที่นิยมมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของเวียดนาม ซึ่งอุดมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวในเชิงประวัติศาสตร์ แต่พลพวงจากสงครามได้ทำให้โบราณสถานที่นี่ได้รับความเสียหายจำนวนหนึ่ง แถมยังสงคราม โบราณสถานเหล่านั้นกลับไม่ได้รับการดูแล เนื่องจากถูกกลุ่มผู้นำคอมมิวนิสต์และชาวเวียดนามบางส่วนมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของระบอบศักดินาในอดีต
แต่ถึงอย่างไร โลกยังไม่ลืมโบราณสถานต่างๆในเมืองเว้ เพราะเมื่อแนวคิดทางการเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปรัฐบาลเวียดนามจึงได้ทำการบูรณะโบราณสถานต่างๆ จนองค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนให้เป็น "มรดกโลกทางศิลปวัฒนธรรม"ในปี พ.ศ. 2536
การเที่ยวเมืองเว้ของฉันในครั้งนี้เริ่มต้นโดยการล่องเรือแม่น้ำหอมเพื่อไปขึ้นฝั่งที่วัดเทียนมู เรือหัวมังกรคู่ที่พาเราล่องแม่น้ำหอมดูกว้างขวางจุคนได้หลายสิบคน ระหว่างที่พวกเรานั่งชมวิวธรรมชาติสองฟากฝั่ง พร้อมลมที่โกรกเบาๆเย็นสบาย
"หทัย" ไกด์สาวใหญ่ชาวเวียดนามเล่าถึงแม่น้ำหอมว่า แต่เดิมสมัยที่ยังไม่มีมลพิษ แม่น้ำสายนี้เมื่อไหลผ่านป่าไม้ที่หอมบริสุทธิ์ ยามดอกไม้บานแล้วร่วงหล่นลงสายน้ำก็จะพัดพากลิ่นหอมเหล่านี้ไปเรื่อยๆจนมาถึงเมืองเว้ ประชาชนจึงได้เรียกแม้น้ำสายนี้ว่า"แม่น้ำหอม" (Huong Giang)
แต่ปัจจุบัน ตลอดทางที่ฉันนั่งอยู่บนเรือก็ไม่ได้กลิ่นหอมเลยแม้แต่น้อย ไกด์บอกว่าเพราะปัจจุบันมีมลภาวะมลพิษเยอะ ทำให้แม่น้ำที่เคยใสสะอาดหอมหวนได้ถูกทำลายลงเรื่อยๆจนความหอมหมดไปนั้นเอง ส่วนเรื่องเรือหัวมังกรคู่ที่ฉันนั่งนั้น ไกด์หทัยบอกว่า ที่เลือกใช้มังกรเพราะ เชื่อกันว่ามังกรเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์เหงียน และยังหมายถึง ชาติกำเนิดของชาวเวียดนามด้วย
หลังจากที่นั่งเรือชมธรรมชาติแม่น้ำหอม และเรื่องราวของแม่น้ำหอมและเรือหัวมังกรแล้ว ก็ได้เวลาที่เรือจะเทียบท่าพาพวกเราขึ้นสู่ "วัดเทียนมู" (Thien Mu) ซึ่งเป็นวัดพุทธมหายาน ศูนย์กลางนิกายเซนแห่งแรกของเมืองเว้ อายุกว่า 600 ปี
ตามตำนานเล่าว่า ในสมัยก่อนที่จะสร้างวัด ชาวบ้านแถวนี้ได้ฝันเห็นเจ้าฟ้าชายของพระราชวงศ์เหงียนมาสร้างวัดในแถบนี้ จากนั้นเมื่อ 600 กว่าปีก่อนก็ได้มีเจ้าฟ้าของราชวงศ์เหงียนมาสร้างจริงๆ แต่สมัยนั้นยังไม่เป็นราชวงศ์เหงียนเพราะยังอยู่ในช่วงของการต่อสู่แย่งชิงราชบัลลังก์
ศาสนสถานที่สำคัญและโดดเด่นที่สุดของวัดเทียนมูคือ "เจดีย์เทียนมู" รูปทรง 8 เหลี่ยมสูง 7 ชั้น หรือประมาณ 20 เมตร ทุกชั้นบรรจุพระพุทธรูป เมื่อตอนสร้างใหม่บนยอดสุดของเจดีย์ได้บรรจุพระพุทธรูปทองคำแท้อีกด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปี และเมืองเว้ก็โดนสงครามมายืดเยื้อหลายสมัย พระพุทธรูปทองคำจึงโดนขโมยไปหมด ปัจจุบันพระพุทธรูปในวัดนี้จึงกลายเป็นพระพุทธรูปทองสำริดสีแดง
หากสังเกตดีๆ บนยอดเจดีย์เทียนมูจะมีลูกน้ำเต้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เจดีย์แห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยที่ลัทธิเต๋ากับลัทธิขงจื๊อจากจีนเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากในเวียดนาม และบริเวณนี้ยังสามารถชมวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำหอมได้อย่างสวยงามอีกมุมหนึ่งด้วย
นอกจากเจดีย์แล้ว ภายในวัดยังมี "ระฆังใบใหญ่" น้ำหนัก 2,632 กิโลกรัม สูง 2.30 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.4 เมตร ในสมัยก่อนชาวบ้านในเมืองเว้จะได้ยินเสียงระฆังตีวันละ 2 ครั้ง คือ ตอนตี 4 และตอน 1 ทุ่มครึ่ง สาเหตุเพราะสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้า ทุกคนต้องตื่นนอนตอนตี 4 เพื่อไปทำไร่ไถ่นา และตอน 1ทุ่มครึ่งก็จะได้เวลาเข้านอน
ซึ่งก่อนที่พวกเราจะผ่านระฆังไปยังจุดอื่นๆในวัด ไกด์แนะนำว่า ให้ลูบคลำระฆังเพื่อให้ชีวิตของเราดังเหมือนระฆังใบนี้ โดยวิธีการคือให้ลูบขึ้น 3 ครั้ง เพื่อให้ชีวิตรุ่งเรื่องมีชื่อเสียงโด่งดัง พวกเราได้ฟังก็ไม่รีรอรีบแย่งกันลูบระฆังเพื่อความเป็นสิริมงคล
จากนั้นไกด์นำพวกเราไปยังรูปปั้นเต่าขนาดใหญ่ที่แบกศิลาจารึกขนาดใหญ่กว่าตัวไว้บนหลัง แผ่นศิลานั้นทำด้วยหินอ่อนจารึกประวัติความเป็นมาตั้งแต่เริ่มสร้างวัด สร้างเจดีย์ สร้างระฆัง ส่วนตัวเต่าทำด้วยหินโกเมน และไกด์ก็แนะอีกว่า ให้ลูบหัวเต่าขึ้น 3 ครั้งเพื่อให้มีชีวิตที่ยืนยาวมั่นคง
เมื่อผลัดกันลูบหัวเต่าแล้ว ไกด์นำพวกเราไปยังด้านหลังของเจดีย์ และพาพวกเราไปหยุดอยู่ที่รถออสตินเก่าๆสีฟ้าอ่อนคันหนึ่งในโรงเก็บ บนฝาผนังด้านหลังมีรูปพระภิกษุรูปหนึ่งถูกไฟครอก โดยมีรถออสตินแบบนี้จอดอยู่ใกล้ๆ แล้วไกด์หทัยก็ถามพวกเราว่า มีใครจำได้ไหมว่า เคยมีข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ลงเรื่องพระภิกษุเวียดนามเผาตัวเองประท้วงผู้นำรัฐบาลเวียดนามใต้ หากใครจำได้นั้นคือเรื่องราวของพระภิกษุรูปนั้นและรถคันนี้
ไกด์หทัยเล่าต่อว่า พระรูปนั้นชื่อ"พระควางดัก"(Quang Duc) ผู้กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ด้วยการสละชีวิตตนเองในไซ่ง่อน โดยการท่านได้ขับรถออสตินสีฟ้าคันนี้จากเว้ไปยังไซ่ง่อน เพื่อเผาตนเองประท้วงรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ของเวียดนามใต้เมื่อราว พ.ศ.2510 ช่วงที่สงครามเวียดนามกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
โดยการเผาตัวเองกลางถนนนั้น ส่งผลให้ชาวเวียดนามได้ตระหนักถึงปัญหาทางศีลธรรมและความรับผิดชอบอันเนื่องมาจากความแตกต่างของระบอบการเมืองและวัฒนธรรม ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากอีกหนึ่งจุดของเวียดนาม
ระหว่างที่อยู่ในส่วนด้านในนี้ หากใครเห็นพระบางรูปที่โกนผมแค่ครึ่งหัว เหลือผมด้านหน้าไว้หย่อมหนึ่ง ไม่เหมือนพระหรือเณรรูปอื่นๆ ก็อย่าได้แปลกใจ เขาบอกว่าพระที่โกนผมแค่ครึ่งหัวแสดงว่ายังเป็นพระที่ไม่สมบูรณ์นั่นเอง
จากนั้นพวกเราก็เดินชมพร้อมทั้งกราบไหว้พระพุทธรูปต่างๆภายในวัดจนทั่วก่อนที่คณะของเราจะเดินทางไปชมความงามทางประวัติศาสตร์ของเมืองมรดกโลกกันต่อที่"พระราชวังต้องห้าม" (โปรดติดตามตอนต่อไป)
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เมืองเว้ (Hue) เป็นเมืองเอกของจังหวัดถัวเทียน-เว้ ตั้งอยู่ตอนกลางของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เว้เคยเป็นเมืองเก่าในสมัยราชวงศ์เหงียนช่วงปี พ.ศ. 2345-2488 โดยผู้สนใจเที่ยวเมืองเว้สามารถสอบถามได้ที่บริษัททัวร์ทั่วไป
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ฮอยอัน...ฉันรักเธอ