xs
xsm
sm
md
lg

หังโจว-ซูโจว แดนสวรรค์บนแผ่นดินจีน (จบ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : แสงจันทร์

เมืองซูโจว มณฑลเจียงซู ดินแดนสวรรค์บนดินคู่กับหังโจว เป็นเมืองใหญ่อันดับหน้าของจีน และถือเป็นเมืองเก่าแก่มีประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า 2,500 ปี เป็นศูนย์รวมทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และศูนย์กลางการค้า

เมืองนี้มีลำคลองล้อมรอบและตัดผ่านตัวเมือง 20 สาย เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายคมนาคม มีสะพานหินหลายร้อยแห่งทอดข้าม จนมีผู้เปรียบเปรยซูโจวว่าเป็น “เวนิสตะวันออก” โดยในยุคราชวงศ์สุย ที่มีการขุดคลองต้ายุ่นเพื่อเชื่อมเส้นทางการค้าระหว่างจีนทางตอนเหนือและใต้ ซูโจว ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งที่คลองต้ายุ่นไหลผ่านจึงเจริญรุ่งเรืองในฐานะศูนย์กลางทางการค้าสำคัญแห่งหนึ่ง

ซูโจว ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสวนคลาสสิก เพราะมีสวนที่ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมอารยธรรมและความคิดสร้างสรรค์อยู่มากมาย โดยในสมัยราชวงศ์หมิงแฟชั่นจัดสร้างสวนในซูโจวเป็นที่นิยมไปทั่ว จนปลายสมัยราชวงศ์ชิงมีสวนทั้งในและนอกเมืองซูโจวอยู่กว่า 170 แห่ง

ซูโจว ก่อเกิดขึ้นเมื่อ 514 ปีก่อนคริสต์ศักราชในชื่อเมืองซู เป็นราชธานีประจำราชวงศ์ครั้งแรกในยุคชุนชิวของแคว้นอ๋องฉู่ และเป็นราชธานีโบราณของจีนในอีกหลายราชวงศ์ เช่น เป็นเมืองหลวงของแคว้นอู๋, แคว้นเยวี่ย เมืองหลวงในยุครัชสมัยสามก๊ก ฯลฯ จึงนับเป็นเมืองโบราณที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดที่ยังคงเหลือซากเมืองให้เห็น ส่วนชื่อเรียก ซูโจว เริ่มใช้ครั้งแรกในรัชศกไคหวง ที่ 9 รัชสมัยของกษัตริย์สุยเหวินตี้ ค.ศ. 589 โดยตั้งอยู่ศูนย์กลางพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียงและอยู่ใต้สุดของมณฑล

ปัจจุบันซูโจว มีประชากรราว 6 ล้านคน มีรายได้เฉลี่ยต่อปีต่อคนสูงถึง 66,826 หยวน มีอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ซูโจว นอกจากจะเป็นฐานการลงทุนผลิตสินค้าด้านอิเลกทรอนิกส์และการสื่อสารที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เช่น โน๊ตบุ๊ก กล้องดิจิตอลแล้ว เมืองสวรรค์บนดินที่เป็นฐานผลิตสินค้าไฮเทคแห่งนี้ ยังดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนมากมายถึงปีละ 20 กว่าล้านคน

จุดเด่นของเวนิสตะวันออกที่มีลำคลองน้อยใหญ่ มีสวนโบราณคลาสสิกมากกว่า 170 แห่ง ซูโจว ยังเป็นแหล่งหัตถกรรมผ้าไหมปักที่มีชื่อเสียงโด่งดัง 1 ใน 4 แหล่งผ้าไหมปักที่ดีที่สุดของจีน (อีก 3 แห่ง คือ กวางเจาในมณฑลกวางตุ้ง, ฉางซาในมณฑลหูหนาน และเฉิงตูในมณฑลเสฉวน)

กล่าวสำหรับสวนโบราณคลาสสิกของซูโจว ที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วโลก เริ่มมีมาตั้งแต่ยุคอาณาจักรเยวี่ยสมัยชุนชิว เฟื่องฟูสุดขีดในช่วงสมัยราชวงศ์หมิงและชิง โดยแบ่งสวนออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ สวนในที่พักอาศัย สวนในวัด และสวนชานเมือง แต่สวนที่โดดเด่นเห็นจะเป็นสวนในที่พักอาศัยหรือสวนในจวนของเจ้านายชั้นสูง ขันทีและมหาเศรษฐี ที่กล่าวกันว่าในยุครุ่งเรืองสุดของสวนซูโจว มีจำนวนอยู่มากถึง 280 แห่ง

ปัจจุบันสวนที่คงสภาพสมบูรณ์ใกล้เคียงยุคสมัยโบราณและมีชื่อเสียงเลื่องลือของซูโจว มีอยู่ราว 10 แห่ง ส่วนสุดยอดสวนที่เลื่องชื่อและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2540 และ 2543 ได้แก่ สวนจัวเจิ้ง, สวนหลิว, สวนหวั่งซือ, สวนชาลั่งถิง และสวนป่าซือจึอหลิน ด้วยเหตุว่าเป็นผลงานชิ้นเอกที่สร้างสรรค์และมีอิทธิพลให้เกิดการพัฒนาสืบต่อด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ประติมากรรม ศิลปกรรม สวนและภูมิศน์ อีกทั้งยังเป็นหลักฐานยืนยันถึงวัฒนธรรมและอารยธรรม ฯลฯ

สำหรับสวนจัวเจิ้งหรือสวนขุนนางผู้ถ่อมตน เป็นสวนใหญ่อันดับหนึ่ง มีความโดดเด่นด้านทัศนียภาพทางน้ำโชว์ศิลปะการไหลเวียตามธรรมชาติที่เรียบง่ายคลาสสิก สมัยราชวงศ์หมิง ประดับประดาด้วยโคลงคู่และภาพวาดพู่กัน

สวนหลิวหรือสวนอ้อยอิ่ง สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง เป็นสวนศิลปะเจียงหนันขนานแท้ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน โดยส่วนกลางเป็นเนินเขาตัดกับสระน้ำ ตะวันออกเป็นที่พักอาศัยและสวนหิน ตะวันตกเป็นเนินกับป่ารกส่วนเหนือเป็นทิศทัศน์ท้องนา

จุดเด่นของสวนหลิวคือการผสมผสานนำเอาหินจากใต้ทะเลสาบไท่หู มาจัดสวนและตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ เก้าอี้ ขั้นบันได หรือประติมากรรม โดยหินที่มีชื่อเสียงที่สุดของสวนหลิวคือ หินก้วนหยุนเฟิง สูงกว่า 6.5 เมตร อีกทั้งยังมีตัวอักษรจีนประดิษฐ์บนระเบียงยาวกว่า 700 เมตรและหินสลักอักษรโบราณ

สวนหวั่งซือหรือสวนปรมาจารย์แห สร้างในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ บูรณะใหม่ในรัชสมัยเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง เป็นสวนที่มีขนาดเล็กสุดเพียง 1 ใน 6 ของสวนจัวเจิ้ง แบ่งด้านตะวันออกเป็นเรือนพัก ส่วนด้านตะวันตก เป็นสวนที่ใจกลางมีสระน้ำ เก๋งจีน ศาลาริมน้ำ สวนนี้สร้างโดยอดีตเสนาบดีปลดเกษียน ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิงกลายเป็นที่แปรพระราชฐานเพื่อพักผ่อนตากอากาศและใช้เวลาส่วนพระองค์ของจักรพรรดิคังซี

สวนชางลั่งถิง หรือสวนพลับพลาเกลียวคลื่น เป็นสวนเก่าแก่ที่สุดในจำนวนสวนโบราณซูโจวทั้งหมด องค์ประกอบโดดเด่นของสวนแห่งนี้ คือ หิน ต้นไผ่ เนินเขา และสวนหย่อม กำแพงด้านตะวันตกของอาคารสถาปัตยกรรมหลักในสวน ตบแต่งด้วยภาพวาดบุคคลชั้นสูงในประวัติศาสตร์ซูโจวกว่า 500 ชิ้น

สวนป่าซือจึหลิน หรือสวนป่าสิงโต มีความโดดเด่นที่สุดด้านภูเขาหินจำลอง รวมถึงน้ำตกและหน้าผาจำลองริมทะเลสาบ เขาวงกต แต่สัญลักษณ์ที่เป็นที่มาของชื่อสวนแห่งนี้ก็คือ หินที่แกะสลักเป็นรูปสิงโตในท่าทางต่างๆ สวนนี้เป็นความภาคภูมิใจของเมืองซูโจว ในฐานะที่จำลองทัศนียภาพของป่าและเขา โดยจัดวางองค์ประกอบในพื้นที่จำกัดตามสไตล์ ‘เซน’

สวนโบราณเมืองซูโจว เปรียบเสมือนป่าในเมืองดังคำเปรียบเปรยที่ว่า ‘น้ำหนึ่งกระบวยแทนสายน้ำ หินหนึ่งกำปั้นแทนขุนเขา’ ขณะเดียวกันก็ยังจำลองภาพความงามในจินตนาการของกวีและศิลปินภาพวาดพู่กันจีนมาไว้ในหินทุกก้อน น้ำทุกหยด แมกไม้ทุกต้น ให้ผู้มาเยือนได้ดื่มด่ำเสพสุขความสุนทรีย์

นอกจากนี้ที่ซูโจวยังมีวัดซีหยวนวัดใหญ่ที่สุดในซูโจวเป็นอีกหนึ่งสถานที่น่าสนใจ วัดซีหยวนเป็นที่ประดิษฐานของพระยูไลในวิหารหลังใหญ่ มีพระพุทธรูป 500 องค์ที่พระพักตร์ของแต่ละองค์ไม่เหมือนหรือซ้ำกันเลย รวมไปถึงเจ้าแม่กวนอิม 1,000 มือ 1,000 ตา อันน่าตื่นตาตื่นใจ

ไม่ไกลไปจากตัวเมืองซูโจว ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์โบราณ อีกแห่งหนึ่งคือ หมู่บ้านพันปีโจวจวง หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีอาณาบริเวณเพียง 0.4 กม. อยู่ห่างจากซูโจว ประมาณ 38 กม. โจวจวง ได้รับสมญานามว่า “ยอดหมู่บ้านกลางน้ำแห่งเจียงหนาน” ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลเจียงซู ในเขตเมืองคุณซาน

เสน่ห์ของหมู่บ้านพันปีแห่งนี้อยู่ที่มีลำคลองล้อมรอบและตัดผ่าน สะพานโค้งข้ามลำคลอง วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมและธรรมชาติสองฟากฝั่งคลองด้วยต้นหลิวระย้ายเรียงราย หญิงชายวัยกลางคนขับร้องบทเพลงขณะแจวเรือไปตามลำคลอง

หมู่บ้านโจวจวงมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี เดิมมีชื่อว่า “เจินเฟิงหลี่” ต่อมาในปี ค.ศ.1626 ในยุคราชวงศ์ซ่งเหนือ ก่อนสุโขทัยราว 200 ปี มีชายชื่อโจวตี๋กง บริจาคที่ดินเพื่อสร้างวัดจนชาวบ้านแซ่ซ้องและให้เกียรติแก่ตระกูลโจวโดยเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านเป็นโจวจวง

ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ชิง มีเจ้าสัวตระกูลเสิน ชื่อ “เสินว่านซาน” อพยพมาทำการค้าที่โจวจวงจนกลายเป็นมหาเศรษฐีแห่งเจียงหนาน โดยมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ความร่ำรวยทำให้เขาหยิ่งผยองต่อองค์ฮ่องเต้กระทั่งถูกยึดทรัพย์และอพยพไปค้าขายที่มณฑลยูนนานแทน

อย่างไรก็ตาม ลูกหลานของ เสินว่านซาน ที่ยังลงทุนทำการค้าต่อที่หมู่บ้านแห่งนี้ทำให้ โจวจวง กลายเป็นตลาดการค้าด้านเมล็ดพันธุ์ เครื่องปั้นดินเผา ผ้าไหม งานฝีมือหัตถกรรม และก่อให้เกิดงานสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์คือ บ้านทรงจีนสีขาวหลังคาดำเรียงรายสองฟากฝั่งคลองและริมทาง ซึ่งปัจจุบันมีบ้านเจ้าสัวแห่งเจียงหนานหลงเหลืออยู่กว่าร้อยหลัง

ส่วนสะพานหินโค้งข้ามลำคลองที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวน หมิงและชิง ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่ 14 แห่ง นักท่องเที่ยวจะล่องเรือลอดผ่านช่องใต้สะพานชมทัศนียภาพหลิวระย้าและวิถีชีวิตดั้งเดิมริมสายน้ำ

หมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม หัตถศิลป์ ที่สืบทอดมายาวนานแห่งนี้ได้รับการประกาศยกย่องจากทางการจีนให้เป็นชุมชนอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม พร้อมกับเตรียมเสนอชื่อต่อยูเนสโกยกให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมอีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น