โดย : เหล็งฮู้ชง

ผมหลงเข้าใจผิดเสียนานว่า“อิสตันบูล” คือเมืองหลวงของตุรกี จนกระทั่งได้มีโอกาสเดินทางไปตุรกีถึงรู้ว่าไม่ใช่
ตุรกีมีเมืองหลวงคือกรุงอังการาที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ส่วนอิสตันบูลเป็นเมืองที่มีพื้นที่ครอบคลุม 2 ทวีป คือยุโรปและเอเชียที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของตุรกี อีกทั้งยังเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน เคยเป็นเมืองหลวงของ 3 อาณาจักรสำคัญของโลกด้วยกัน คือ เป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของอาณาจักรโรมัน ในปี ค.ศ. 330 เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรไบแซนไทน์หรือโรมันตะวันออกในชื่อกรุงคอนสแตนติโนเปิลอันลือลั่น ในปี ค.ศ. 395 หลังจากโรมันถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน จากนั้นในปี ค.ศ. 1453 อิสตันบูลกลายเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรใหม่อีกครั้ง นั่นก็คืออาณาจักรออตโตมันที่ได้รับการยกย่องเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งโลกมุสลิม

และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีผู้คนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลเดินทางไปเที่ยวอิสตันบูลกันเป็นจำนวนมาก ครองแชมป์เมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของตุรกีมาช้านาน
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ถือเป็นไฮไลท์อันดับหนึ่งและเป็นศูนย์กลางของตุรกีที่นักท่องเที่ยวนิยมไปมากที่สุดก็เห็นจะเป็นบริเวณ“จัตุรัสสุลต่านอะห์เมต”หรือ“ฮิปโปโดรม” ที่สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเซปติมิอุส เซเวรุส เพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงกิจกรรมต่างๆ และใช้เป็นสถานที่แข่งม้าและแข่งกรีฑาในสมัยโรมัน
บริเวณจตุรัสสุลต่านอะห์เมตมีแหล่งเที่ยวมากมายอยู่ในละแวกนั้น สำหรับจุดแรกที่ผมไปเยือนก็คือ “พระราชวังทอปคาปึ” ที่สร้างขึ้นในสมัยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 หรือ“เมห์เมตผู้พิชิต” หลังตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลแตกในปี ค.ศ. 1453 อดีตเป็นที่ประทับของสุลต่านแห่งราชวงศ์ออตโตมันหลายพระองค์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 1924

พิพิธภัณฑ์พระราชวังทอปกาปึ แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็นหลายส่วนด้วยกันอาทิ ส่วนโรงครัว ห้องเก็บเครื่องกระเบื้อง ห้องเก็บอาวุธ ห้องเก็บสมบัติ ฯลฯ ซึ่งห้องที่โด่งดังและเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวอย่างมากก็เห็นจะเป็น ห้องท้องพระคลังอันเป็นที่เก็บสมบัติและวัตถุล้ำค่ามากมาย โดยมีกริชแห่งทอปคาปึด้ามประดับมรกตใหญ่ 3 เม็ด กับเพชร 86 กะรัตของช่างทำช้อน เป็นไฮไลท์สำคัญเรียกความสนใจของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ในขณะที่บริเวณระเบียงหลังห้องท้องพระคลังเป็นจุดชมวิวชั้นดีที่มองออกไปเห็นทิวทัศน์เมืองอิสตันบูลใน 2 ฝั่งทวีป(ยุโรป:เอเชีย)ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้พระราชวังทอปกาปึยังมีส่วนที่น่าสนใจ อาทิ ท้องพระโรง ตำหนักพระชนนีสุลต่าน ห้องน้ำโบราณ ตำหนักนางสนมอันเป็นที่โปรดปราน รวมถึงส่วนของ“ฮาเร็ม”สถานที่(เคย)รวบรวมสาวงามต่างๆไว้มากมาย ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษเช่นกัน
หลังตื่นตาตื่นใจกับการเที่ยววังทอปคาปึแล้ว ไกด์นำเที่ยวได้พาผมไปรู้จักกับจตุรัสสุลต่านอะห์เมตที่ปัจจุบันยังเหลือโบราณวัตถุสำคัญเป็นเสา 3 ต้นด้วยกัน คือ เสาโอเบลิสค์ ที่มีอายุกว่า 1,600 ปี นับเป็นศิลปวัตถุที่เก่าแก่ที่สุดในอิสตันบูล เสางู เป็นรูปงู 3 ตัวเกี่ยวกระหวัดกันเหมือนเกลียวเชือกแต่ว่าส่วนหัวนั้นหักพังไปนานแล้ว เสาคอนสแตนติน เป็นเสาหินสูงประมาณ 32 เมตร ไม่ทราบประวัติความเป็นมา

สำหรับจุดน่าสนใจต่อไปที่อยู่ใกล้กับจตุรัสเพียงแค่เดินไปอีกหน่อยก็คือ“มัสยิดสุลต่านอะห์เมต”หรือ “มัสยิดสีฟ้า”(BLUE MOSQUE) ตามสีของกระเบื้องอิซนิกอันเลื่องชื่อของออตโตมัน
มัสยิดสีฟ้าสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1609-1616 มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้าง 51 เมตร ยาว 53 เมตร มีหลังดาโดมตั้งตระหง่านสูงถึง 43 เมตร ภายในโดมนอกจากจะโอ่โถงอลังการแล้ว ยังมีเสาขนาดใหญ่ที่ได้รับการเรียกขานว่า“เท้าช้าง” 4 เสา(เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตร) ตั้งโดดเด่นเป็นโครงสร้างสำคัญของโดมแห่งนี้ นอกจากนี้มัสยิดสีฟ้ายังความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ เป็นมัสยิดที่มีหอสวดมนต์(หอคอยแหลมๆสูงๆ)มากที่สุดในตุรกีคือมีถึง 6 หอด้วยกัน

หลังเดินเข้าไปชมความอลังการของโดมมัสยิดฟ้าแล้ว พอเดินออกจากมัสยิดมามองไปข้างหน้าก็เจอกับ วิหารเซ็นโซเฟียสีแดงซีดขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านโดดเด่น
“วิหารเซ็นโซเฟีย”หรือ“อายาโซเฟีย”หรือ“ฮาเกียโซเฟีย” ถือเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง(ยึดตามวิธีการแบ่งสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเดิม ที่แบ่งเป็นยุคต่างๆ) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 537 โดยอาคารที่เห็นในปัจจุบันเป็นหลังที่ได้รับการบูรณะและขยายให้ใหญ่กว่าเดิม มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีโดมใหญ่อยู่ตรงกลางเส้นผ่าศูนย์กลาง 31 เมตร สูง 40 เมตร

วิหารเซ็นโซเฟียช่วงแรกสร้างเป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ จนกระทั่งเช้าวันที่ 29 พ.ค. ปี ค.ศ. 1453 กรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกตีแตกโดยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 พระองค์ได้เสด็จไปยังวิหารหลังนี้เพื่อทำละหมาด และโปรดให้ดัดแปลงวิหารเซ็นโซเฟียเป็นมัสยิดพร้อมทำการสร้างหอสวดมนต์ขึ้นมา 4 หอ อีกทั้งยังส่งผลให้จิตกรรมฝาผนังภาพโมเสคเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาอันงดงามต้องถูกโบกปูนทับตามความเชื่อของศาสนาอิสลามที่ห้ามมีรูปเคารพ
ในปี ค.ศ. 1923 หลังสิ้นยุคอาณาจักรออตโตมัน ได้มรการสถาปนาสาธารณรัฐตุรกีขึ้น วิหารเซ็นโซเฟียถูกปรับเปลี่ยนอีกครั้งกลายเป็น พิพิธภัณฑ์มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งรวมเวลาแล้วที่นี่เคยเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ถึง 916 ปี และมัสยิดของศาสนาอิสลามอีก 447 ปี ก่อนจะกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์จนถึงปัจจุบัน

เซนต์โซเฟียในวันนี้ แม้จะดูเก่าทึมๆเนื่องจากการขาดการดูแลอย่างเต็มที่ แต่ว่าก็ยังคงบรรยากาศของความเก่าขลังอยู่เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะโดมอันสุดยิ่งใหญ่อลังการที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกมีพื้นที่โล่งภายในใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งใช้ก่อสร้างด้วยการใช้ผนังเป็นตัวรับน้ำหนักของอาคารลงสู่พื้นแทนการใช้เสาค้ำยันทั่วไปนับเป็นเทคนิคการก่อสร้างที่ถือว่าล้ำหน้ามากในยุคนั้น(ถือเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้เซนต์โซเฟียได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง)
เมื่อเดินเข้าไปในโดมของเซนต์โซเฟียผมรู้สึกว่ามันช่างยิ่งใหญ่อลังการเสียจริง นอกจากนี้ในเซนโซเฟียก็ยังมีสิ่งชวนชมอย่างลวดลายประดับต่างๆ ช่องแสงประดับกระจกสีอันสวยงาม รวมไปถึงร่องรอยของภาพโมเสคอันสวยงามที่ในยุคปรับเปลี่ยนจากโบสถ์เป็นมัสยิด ภาพเหล่านี้เคยถูกโบกปูนปิดทับตามหลักความเชื่อของศาสนาอิสลามที่ห้ามนับถือรูปเคารพ ก่อนจะถูกค้นพบจากการบูรณะซ่อมแซม

หลังชมความยิ่งใหญ่ของโดมเซนต์โซเฟียแล้ว สิ่งน่าสนใจต่อไปผมถือว่าแปลกไม่น้อยทีเดียวเพราะว่ามันตั้งอยู่ที่ใต้ดินซึ่งก็คือ “อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทัน” สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 กว้าง 70 เมตร ยาว 140 เมตร ลึก 8 เมตร นับเป็นอ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุดในอิสตันบูล
สำหรับสิ่งที่ดูโดดเด่นในอุโมงค์ใต้ดินนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น เสาทรงกรีกที่ตั้งอยู่เรียงรายที่มีจำนวนถึง 336 ต้นเลยทีเดียว โดย 2 เสาในนั้นมีฐานเสาเป็นหัวนางเมดูซาวางกลับหัวและวางตะแคงอยู่ติดๆกัน ทั้งนี้ก็เพื่อแก้เคล็ดเพราะมีความเชื่อว่าถ้าใครมองนางเมดูซ่าหัวงูยั้วเยี้ยตรงๆก็จะกลายเป็นหินแม้แต่ตัวนางเองก็ตาม เสาฐานเมดูซ่าในวันนี้ นอกจากจะไม่มีคนกลัวแล้วยังมีคนไปถ่ายรูปคู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย
ผมเดินชมความยิ่งใหญ่ในอดีตของอุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทันที่มีอากาศเย็นสลายแล้วก็รู้สึกทึ่งต่อพื้นที่บริเวณจัตุรัสสุลต่านอะห์เมตไม่ได้ว่า พื้นที่ตรงนี้มากไปด้วยสิ่งก่อสร้างอันสวยงามยิ่งใหญ่อลังการทั้งบนบกและใต้ดิน สมกับเป็นแหล่งท่องเที่ยวไฮไลท์อันดับหนึ่งแห่งอิสตันบูลที่ใครไปเยือนเมืองนี้แล้วต้องไม่พลาดด้วยประการทั้งปวง...(อ่านเรื่องเที่ยวตุรกีต่อตอนหน้า)
*****************************************
สาธารณรัฐตุรกี เป็นประเทศที่มีพื้นที่ครอบคลุมทั้งทวีปเอเชีย(ร้อย 97)และยุโรป(ร้อยละ 3) ประชากรร้อยละ 98 นับถือศาสนาอิสลาม เวลาช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง ใช้เงินเตอร์กิชลีรา (TRY: 1 ลีร่าประมาณ 25 บาท) แต่ก็สามารถใช้เงินยูโรหรือยูเอสดอลล่าร์ได้ จากเมืองไทยมีสายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ บินตรงจากกรุงเทพฯสู่อิสตันบูลทุกวัน โดยผู้สนใจข้อมูลการท่องเที่ยวสู่ตุรกีหรืออื่นๆในตุรกี สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ เตอร์กิช แอร์ไลน์ โทร. 0-2231-0300-7
ผมหลงเข้าใจผิดเสียนานว่า“อิสตันบูล” คือเมืองหลวงของตุรกี จนกระทั่งได้มีโอกาสเดินทางไปตุรกีถึงรู้ว่าไม่ใช่
ตุรกีมีเมืองหลวงคือกรุงอังการาที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ส่วนอิสตันบูลเป็นเมืองที่มีพื้นที่ครอบคลุม 2 ทวีป คือยุโรปและเอเชียที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของตุรกี อีกทั้งยังเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน เคยเป็นเมืองหลวงของ 3 อาณาจักรสำคัญของโลกด้วยกัน คือ เป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของอาณาจักรโรมัน ในปี ค.ศ. 330 เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรไบแซนไทน์หรือโรมันตะวันออกในชื่อกรุงคอนสแตนติโนเปิลอันลือลั่น ในปี ค.ศ. 395 หลังจากโรมันถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน จากนั้นในปี ค.ศ. 1453 อิสตันบูลกลายเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรใหม่อีกครั้ง นั่นก็คืออาณาจักรออตโตมันที่ได้รับการยกย่องเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งโลกมุสลิม
และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีผู้คนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลเดินทางไปเที่ยวอิสตันบูลกันเป็นจำนวนมาก ครองแชมป์เมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของตุรกีมาช้านาน
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ถือเป็นไฮไลท์อันดับหนึ่งและเป็นศูนย์กลางของตุรกีที่นักท่องเที่ยวนิยมไปมากที่สุดก็เห็นจะเป็นบริเวณ“จัตุรัสสุลต่านอะห์เมต”หรือ“ฮิปโปโดรม” ที่สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเซปติมิอุส เซเวรุส เพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงกิจกรรมต่างๆ และใช้เป็นสถานที่แข่งม้าและแข่งกรีฑาในสมัยโรมัน
บริเวณจตุรัสสุลต่านอะห์เมตมีแหล่งเที่ยวมากมายอยู่ในละแวกนั้น สำหรับจุดแรกที่ผมไปเยือนก็คือ “พระราชวังทอปคาปึ” ที่สร้างขึ้นในสมัยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 หรือ“เมห์เมตผู้พิชิต” หลังตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลแตกในปี ค.ศ. 1453 อดีตเป็นที่ประทับของสุลต่านแห่งราชวงศ์ออตโตมันหลายพระองค์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 1924
พิพิธภัณฑ์พระราชวังทอปกาปึ แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็นหลายส่วนด้วยกันอาทิ ส่วนโรงครัว ห้องเก็บเครื่องกระเบื้อง ห้องเก็บอาวุธ ห้องเก็บสมบัติ ฯลฯ ซึ่งห้องที่โด่งดังและเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวอย่างมากก็เห็นจะเป็น ห้องท้องพระคลังอันเป็นที่เก็บสมบัติและวัตถุล้ำค่ามากมาย โดยมีกริชแห่งทอปคาปึด้ามประดับมรกตใหญ่ 3 เม็ด กับเพชร 86 กะรัตของช่างทำช้อน เป็นไฮไลท์สำคัญเรียกความสนใจของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ในขณะที่บริเวณระเบียงหลังห้องท้องพระคลังเป็นจุดชมวิวชั้นดีที่มองออกไปเห็นทิวทัศน์เมืองอิสตันบูลใน 2 ฝั่งทวีป(ยุโรป:เอเชีย)ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้พระราชวังทอปกาปึยังมีส่วนที่น่าสนใจ อาทิ ท้องพระโรง ตำหนักพระชนนีสุลต่าน ห้องน้ำโบราณ ตำหนักนางสนมอันเป็นที่โปรดปราน รวมถึงส่วนของ“ฮาเร็ม”สถานที่(เคย)รวบรวมสาวงามต่างๆไว้มากมาย ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษเช่นกัน
หลังตื่นตาตื่นใจกับการเที่ยววังทอปคาปึแล้ว ไกด์นำเที่ยวได้พาผมไปรู้จักกับจตุรัสสุลต่านอะห์เมตที่ปัจจุบันยังเหลือโบราณวัตถุสำคัญเป็นเสา 3 ต้นด้วยกัน คือ เสาโอเบลิสค์ ที่มีอายุกว่า 1,600 ปี นับเป็นศิลปวัตถุที่เก่าแก่ที่สุดในอิสตันบูล เสางู เป็นรูปงู 3 ตัวเกี่ยวกระหวัดกันเหมือนเกลียวเชือกแต่ว่าส่วนหัวนั้นหักพังไปนานแล้ว เสาคอนสแตนติน เป็นเสาหินสูงประมาณ 32 เมตร ไม่ทราบประวัติความเป็นมา
สำหรับจุดน่าสนใจต่อไปที่อยู่ใกล้กับจตุรัสเพียงแค่เดินไปอีกหน่อยก็คือ“มัสยิดสุลต่านอะห์เมต”หรือ “มัสยิดสีฟ้า”(BLUE MOSQUE) ตามสีของกระเบื้องอิซนิกอันเลื่องชื่อของออตโตมัน
มัสยิดสีฟ้าสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1609-1616 มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้าง 51 เมตร ยาว 53 เมตร มีหลังดาโดมตั้งตระหง่านสูงถึง 43 เมตร ภายในโดมนอกจากจะโอ่โถงอลังการแล้ว ยังมีเสาขนาดใหญ่ที่ได้รับการเรียกขานว่า“เท้าช้าง” 4 เสา(เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตร) ตั้งโดดเด่นเป็นโครงสร้างสำคัญของโดมแห่งนี้ นอกจากนี้มัสยิดสีฟ้ายังความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ เป็นมัสยิดที่มีหอสวดมนต์(หอคอยแหลมๆสูงๆ)มากที่สุดในตุรกีคือมีถึง 6 หอด้วยกัน
หลังเดินเข้าไปชมความอลังการของโดมมัสยิดฟ้าแล้ว พอเดินออกจากมัสยิดมามองไปข้างหน้าก็เจอกับ วิหารเซ็นโซเฟียสีแดงซีดขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านโดดเด่น
“วิหารเซ็นโซเฟีย”หรือ“อายาโซเฟีย”หรือ“ฮาเกียโซเฟีย” ถือเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง(ยึดตามวิธีการแบ่งสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเดิม ที่แบ่งเป็นยุคต่างๆ) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 537 โดยอาคารที่เห็นในปัจจุบันเป็นหลังที่ได้รับการบูรณะและขยายให้ใหญ่กว่าเดิม มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีโดมใหญ่อยู่ตรงกลางเส้นผ่าศูนย์กลาง 31 เมตร สูง 40 เมตร
วิหารเซ็นโซเฟียช่วงแรกสร้างเป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ จนกระทั่งเช้าวันที่ 29 พ.ค. ปี ค.ศ. 1453 กรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกตีแตกโดยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 พระองค์ได้เสด็จไปยังวิหารหลังนี้เพื่อทำละหมาด และโปรดให้ดัดแปลงวิหารเซ็นโซเฟียเป็นมัสยิดพร้อมทำการสร้างหอสวดมนต์ขึ้นมา 4 หอ อีกทั้งยังส่งผลให้จิตกรรมฝาผนังภาพโมเสคเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาอันงดงามต้องถูกโบกปูนทับตามความเชื่อของศาสนาอิสลามที่ห้ามมีรูปเคารพ
ในปี ค.ศ. 1923 หลังสิ้นยุคอาณาจักรออตโตมัน ได้มรการสถาปนาสาธารณรัฐตุรกีขึ้น วิหารเซ็นโซเฟียถูกปรับเปลี่ยนอีกครั้งกลายเป็น พิพิธภัณฑ์มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งรวมเวลาแล้วที่นี่เคยเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ถึง 916 ปี และมัสยิดของศาสนาอิสลามอีก 447 ปี ก่อนจะกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์จนถึงปัจจุบัน
เซนต์โซเฟียในวันนี้ แม้จะดูเก่าทึมๆเนื่องจากการขาดการดูแลอย่างเต็มที่ แต่ว่าก็ยังคงบรรยากาศของความเก่าขลังอยู่เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะโดมอันสุดยิ่งใหญ่อลังการที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกมีพื้นที่โล่งภายในใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งใช้ก่อสร้างด้วยการใช้ผนังเป็นตัวรับน้ำหนักของอาคารลงสู่พื้นแทนการใช้เสาค้ำยันทั่วไปนับเป็นเทคนิคการก่อสร้างที่ถือว่าล้ำหน้ามากในยุคนั้น(ถือเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้เซนต์โซเฟียได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง)
เมื่อเดินเข้าไปในโดมของเซนต์โซเฟียผมรู้สึกว่ามันช่างยิ่งใหญ่อลังการเสียจริง นอกจากนี้ในเซนโซเฟียก็ยังมีสิ่งชวนชมอย่างลวดลายประดับต่างๆ ช่องแสงประดับกระจกสีอันสวยงาม รวมไปถึงร่องรอยของภาพโมเสคอันสวยงามที่ในยุคปรับเปลี่ยนจากโบสถ์เป็นมัสยิด ภาพเหล่านี้เคยถูกโบกปูนปิดทับตามหลักความเชื่อของศาสนาอิสลามที่ห้ามนับถือรูปเคารพ ก่อนจะถูกค้นพบจากการบูรณะซ่อมแซม
หลังชมความยิ่งใหญ่ของโดมเซนต์โซเฟียแล้ว สิ่งน่าสนใจต่อไปผมถือว่าแปลกไม่น้อยทีเดียวเพราะว่ามันตั้งอยู่ที่ใต้ดินซึ่งก็คือ “อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทัน” สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 กว้าง 70 เมตร ยาว 140 เมตร ลึก 8 เมตร นับเป็นอ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุดในอิสตันบูล
สำหรับสิ่งที่ดูโดดเด่นในอุโมงค์ใต้ดินนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น เสาทรงกรีกที่ตั้งอยู่เรียงรายที่มีจำนวนถึง 336 ต้นเลยทีเดียว โดย 2 เสาในนั้นมีฐานเสาเป็นหัวนางเมดูซาวางกลับหัวและวางตะแคงอยู่ติดๆกัน ทั้งนี้ก็เพื่อแก้เคล็ดเพราะมีความเชื่อว่าถ้าใครมองนางเมดูซ่าหัวงูยั้วเยี้ยตรงๆก็จะกลายเป็นหินแม้แต่ตัวนางเองก็ตาม เสาฐานเมดูซ่าในวันนี้ นอกจากจะไม่มีคนกลัวแล้วยังมีคนไปถ่ายรูปคู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย
ผมเดินชมความยิ่งใหญ่ในอดีตของอุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทันที่มีอากาศเย็นสลายแล้วก็รู้สึกทึ่งต่อพื้นที่บริเวณจัตุรัสสุลต่านอะห์เมตไม่ได้ว่า พื้นที่ตรงนี้มากไปด้วยสิ่งก่อสร้างอันสวยงามยิ่งใหญ่อลังการทั้งบนบกและใต้ดิน สมกับเป็นแหล่งท่องเที่ยวไฮไลท์อันดับหนึ่งแห่งอิสตันบูลที่ใครไปเยือนเมืองนี้แล้วต้องไม่พลาดด้วยประการทั้งปวง...(อ่านเรื่องเที่ยวตุรกีต่อตอนหน้า)
*****************************************
สาธารณรัฐตุรกี เป็นประเทศที่มีพื้นที่ครอบคลุมทั้งทวีปเอเชีย(ร้อย 97)และยุโรป(ร้อยละ 3) ประชากรร้อยละ 98 นับถือศาสนาอิสลาม เวลาช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง ใช้เงินเตอร์กิชลีรา (TRY: 1 ลีร่าประมาณ 25 บาท) แต่ก็สามารถใช้เงินยูโรหรือยูเอสดอลล่าร์ได้ จากเมืองไทยมีสายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ บินตรงจากกรุงเทพฯสู่อิสตันบูลทุกวัน โดยผู้สนใจข้อมูลการท่องเที่ยวสู่ตุรกีหรืออื่นๆในตุรกี สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ เตอร์กิช แอร์ไลน์ โทร. 0-2231-0300-7