"ผู้จัดการท่องเที่ยว" กำลังนั่งรถอยู่บนเส้นทางที่เรียกว่า"ถนนลอยฟ้า" หรือบนทางหลวงหมายเลข 1090 แม่สอด-อุ้มผาง และกำลังนั่งเอียงซ้ายเอียงขวาเทไปตามทางคดโค้งทั้ง 1,219 โค้ง ที่ลัดเลาะไปตามไหล่เขา แถมยังต้องสะกดอาการเวียนหัวที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ แต่โชคดีที่ทิวทัศน์ของทิวเขาสูงๆ ต่ำๆ สวยงามสองข้างทางมีส่วนช่วยให้หายเมารถไปได้เยอะทีเดียว
เหตุที่ต้องดั้นด้นข้ามเขาและทางโค้งมาไกลขนาดนี้ก็เพราะมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่อำเภออุ้มผาง อำเภอที่ใหญ่ที่สุดในประเทศในจังหวัดตาก ซึ่งยังมีป่าไม้สายน้ำที่ยังอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและผจญภัยมากมาย โดยเฉพาะน้ำตกทีลอซูนั้นข้อมูลจากททท.บอกว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามติด 1 ใน 6 ของโลกเลยทีเดียว
แต่ว่าในทริปนี้เราเพียงมาเฉียดๆที่ลอซูเท่านั้น เพราะจุดมุ่งหมายหลักของ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" นั้นอยู่ที่การมา "ล่องแก่งอุ้มผางคี" หรือล่องแก่งบริเวณต้นน้ำของลำน้ำอุ้มผาง ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำแม่กลอง ฟังเขาเล่ากันมาว่าการล่องแก่งอุ้มผางคีนี้ถือว่าโหดพอสมควร คือมีความยากอยู่ที่ระดับ 3-5 คนพายต้องใช้ความชำนาญ และยังไม่นับเส้นทางเดินป่าที่ต้องปีนป่ายภูเขา ลงลอยคอลุยข้ามห้วยเพื่อไปให้ถึงจุดที่จะลงล่องแก่งกันอีก ฟังดูก็แทบจะรอไม่ไหวที่จะได้ไปสัมผัสด้วยตนเอง
ในการไปล่องแก่งของเราในครั้งนี้ เริ่มต้นขึ้นที่หมู่บ้านกะเหรี่ยงอุ้มผางคี ซึ่งอยู่ห่างจากตัวอำเภออุ้มผางไปอีกประมาณ 17 กิโลเมตร เราต้องพักค้างคืนที่นี่กันหนึ่งคืน จากนั้นในตอนเช้าจึงจะเริ่มขนสัมภาระจำพวกเรือยางและของกินของใช้ในการล่องแก่งขึ้นใส่บนหลังช้าง ให้ช้างก็ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน จากนั้นเราจึงแต่งองค์ทรงเครื่องอันประกอบด้วยเสื้อผ้าที่รัดกุม เช่นเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว เอาไว้กันพวกกิ่งไม้หนามแหลม รวมไปถึงแมลงต่างๆ อย่างตัวคุ่นและทาก ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับนักเดินป่าหลายๆ คนโดยเฉพาะสาวๆ แล้วก็ต้องมีกระติกน้ำคนละใบไว้ดื่มระหว่างทาง และเสื้อชูชีพอีกคนละตัว เมื่อพร้อมแล้วจึงเริ่มเดินเท้าจากหมู่บ้านเข้าสู่ป่าเพื่อไปล่องแก่งกัน
ระยะทางที่ต้องเดินจากหมู่บ้านย้อนขึ้นไปสู่ต้นน้ำอุ้มผางคีที่เราจะเริ่มต้นล่องกันนั้นไม่เคยมีใครวัดเอาไว้ว่ามีระยะทางกี่กิโลเมตร รู้แต่ว่าเราต้องใช้เวลาเดินเท้ากันประมาณ 3 ชั่วโมง ฝนที่ตกเมื่อคืนก่อนทำให้สภาพพื้นดินในป่าค่อนข้างลื่นและชื้นแฉะมากทีเดียว ยังดีที่ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" มีรองเท้าเดินป่าอย่างดีที่ซื้อมาในราคาแค่ 50 บาท เป็นรองเท้ายางหล่อซึ่งเหมาะสำหรับใช้เดินป่าเป็นอย่างยิ่ง ด้วยดอกยางที่ลึกและใหญ่ทำให้สามารถยึดเกาะได้ดีเยี่ยมทุกสภาพถนน แต่ก็กัดสะบั้นเหมือนกันเพราะเป็นรองเท้าทำจากยาง ต้องใส่ถุงเท้าหนาๆ รองไว้อีกชั้นหนึ่ง
หากใครผ่านมาเห็นก็อาจจะงงเล็กน้อยว่า ทำไมกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังเดินป่าจึงต้องใส่เสื้อชูชีพกันหมดทั้งคณะด้วย นั่นก็เพราะว่าระหว่างการเดินป่านั้นก็จะต้องข้ามลำน้ำกลับไปกลับมา ซึ่งห้วยบางแห่งก็ลึกแค่เอว บางแห่งก็ลึกถึงคอ เสื้อชูชีพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้เลยทีเดียว
สภาพเส้นทางเดินป่านั้นมีความชุ่มชื้นให้เห็นอยู่ทั่วไป ต้นไม้เติบโตได้อย่างอิสระ บางช่วงก็เป็นป่าโปร่ง บางช่วงก็มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น มีสิ่งสวยๆ งามๆ อย่างกล้วยไม้ หรือเห็ดแปลกๆ ให้เห็นเป็นระยะๆ ทางเดินก็เป็นทางลาดชันบ้าง ทางราบบ้าง ทางลื่นบ้าง ในบางตอนเป็นทางเดินเลียบลำน้ำ แต่บางตอนก็ต้องข้ามลำน้ำไปอีกฝั่งหนึ่งเพื่อจะเดินต่อในเส้นทางที่ง่ายกว่า เราต้องข้ามลำห้วยไปกลับอย่างนี้อยู่หลายครั้ง
จะว่าไปแล้ว "ผู้จัดการท่องเที่ยว" ก็ไม่ค่อยจะพิสมัยการเดินข้ามห้วยเหล่านี้เท่าไรนัก เพราะนอกจากน้ำจะเย็นจับใจแล้ว สายน้ำก็ยังไหลแรงไม่ใช่เล่น แม้ภายนอกจะดูเหมือนนิ่งๆ ก็ตาม แถมใต้พื้นน้ำก็ยังมีก้อนหินใหญ่น้อยวางระเกะระกะชวนให้เดินสะดุดหน้าคะมำเสียเหลือเกิน บางห้วยลำน้ำไหลแรงจนน่าอันตราย ก็จะต้องใช้วิธีผูกเชือกข้ามน้ำ แล้วค่อยๆ เกาะเชือกข้ามฝั่งมา ได้อารมณ์ของการเดินป่าครบถ้วนจริงๆ
หลังจากข้ามไปข้ามกลับลำห้วยอยู่หลายครั้ง และบุกป่าฝ่าดงกันอยู่กว่า 3 ชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงจุดเริ่มต้นที่จะลงเรือล่องแก่งกันจนได้ เมื่อเตรียมเสบียงใส่ท้องและเตรียมเรือยางไว้พร้อมแล้ว ทีนี้ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" ก็จะได้สัมผัสกับไฮไลต์ของอุ้มผางคีเสียที
เราลงเรือยางกันลำละ 5 คน พร้อมด้วยฝีพายหน้าหลังอีก 2 คน ที่จะพาเราล่องผ่านแก่งต่างๆ ซึ่งแก่งที่เราจะต้องล่องผ่านในวันนี้นั้นมีมากถึง 77 เเก่ง โดยแก่งแรกที่เราจะได้เจอนั้นคือแก่งหลง ซึ่งถือเป็นแก่งที่ค่อนข้างใหญ่ และยากที่สุดในเส้นทางล่องแก่งนี้ หากพายไม่ดีก็มีสิทธิ์คว่ำได้เช่นกัน
เรือยางทั้ง 5 ลำเริ่มพายลงแก่งทีละลำๆ พร้อมๆ กับเสียงกรี๊ดด้วยความตื่นเต้นของคนที่อยู่ในเรือลำนั้น บางลำก็ลงได้สวยงาม บางลำฝีพายไปไม่เป็นพาเรือคว่ำบ้างก็มี แต่ลูกเรือก็ไม่เป็นอะไรเพราะมีเสื้อชูชีพและหมวกกันกระแทกคอยช่วยอยู่แล้ว จะมีก็แต่อาการหนาวสั่นจากการที่ต้องลงไปลอยคอในน้ำเย็น และต้องทนรับเสียงเยาะเย้ยจากเรือลำอื่นๆ เท่านั้น
หลังจากแก่งหลงไปแล้ว อีก 70 กว่าแก่งที่เหลือก็มีหนักบ้างเบาบ้าง แก่งไหนเบาๆ ก็ผ่านไปได้สบาย แก่งไหนหนักหน่อยก็ต้องอาศัยความร่วมมือของลูกเรือคอยโยกซ้ายโยกขวาจัดสมดุลภายในเรือ รวมทั้งช่วยกันขย่มเรือเวลาที่ติดแก่งด้วย
ว่ากันด้วยเรื่องแก่งต่างๆ ไปแล้ว คราวนี้มาชมธรรมชาติริมฝั่งน้ำกันบ้าง สองข้างทางเต็มไปด้วยพรรณไม้ต่างๆ บางช่วงมีกิ่งไม้ยื่นออกมาถึงกลางน้ำ ต้องคอยก้มหลบให้ดี บางช่วงก็มีต้นไม้ที่มีพืชจำพวกมอสหรือเฟินปกคลุมเต็มลำต้นดูเขียวชอุ่มสดชื่น บางช่วงก็มีดอกไม้ป่า มีต้นไม้แปลกๆ ให้เห็นตลอดทาง ยิ่งน้ำในลำห้วยอุ้มผางคีนี้เป็นน้ำใสที่เรียกว่า ไวท์ วอเตอร์ (White Water) ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศในการล่องแก่งนั้นสวยงามสุดๆ ในความเห็นของ "ผู้จัดการท่องเที่ยว"
หลังจากผ่านเกาะแก่งต่างๆ มาเป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมง ทั้งฝีพายทั้งลูกเรือเริ่มจะหมดแรง เส้นทางการล่องแก่งอุ้มผางคีก็สิ้นสุดลง เราขึ้นจากเรือที่หมู่บ้านแปโดทะด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นสนุกสนานของการล่องแก่งที่คงไม่จางหายไปง่ายๆ ซึ่งหากใครที่ชอบเที่ยวแบบลุยๆ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" แนะนำว่าหน้าฝนไม่ควรพลาดโปรแกรมการล่องแก่งอุ้มผางคีเด็ดขาด เพราะถือเป็นช่วงเวลาทองของการท่องเที่ยวผจญภัยในอำเภออุ้มผาง ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็น"แผ่นดินดอยลอยฟ้า" ที่ผู้รักธรรมชาติน่าจะหาโอกาสไปเยือนสักครั้ง
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สอบถามรายละเอียดการท่องเที่ยวอำเภออุ้มผางได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือเขต 4 โทร.0-5551-4341 ถึง 3
การเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
แอ่วอุ้มผาง แผ่นดินดอยลอยฟ้า (1) ตอน : จับสายรุ้งที่น้ำตกสายฝน
แอ่วอุ้มผาง แผ่นดินดอยลอยฟ้า (จบ) ตอน : พิชิต“ทีลอซู”สุดยอดแห่งน้ำตก
กระทงสาย:จับกะลามาทำกระทง ก่อนปล่อยลงสู่แม่ปิง
ลอยกระทงสาย ไหลประทีปพันดวง เมื่อสายน้ำและผู้คนรวมกันเป็นหนึ่ง
ตะลุยป่า เที่ยวน้ำตก ที่เมืองตาก
หลบฝนเข้าถ้ำที่แม่อุสุ
"พิพิธภัณฑ์มูเซอดำ"แหล่งเรียนรู้คู่ดอยมูเซอ