xs
xsm
sm
md
lg

สุนทรภู่ กวีครู ผู้มากเมา (1) ตอน : เมาเหล้า /ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี

วันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 หรือวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 เวลา 2 โมงเช้า(แปดนาฬิกา) ในสมัยรัชกาลที่ 1 หลังสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ได้ 4 ปี (26 มิ.ย.50 ที่ผ่านมา ถือเป็นวันสุนทรภู่)

สองผัวเมียที่เพิ่งตกล่องปล่องชิ้นเป็นครอบครัวกันใหม่ๆในย่านวังหลัง คลองบางกอกน้อย ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งขึ้นมา พร้อมๆกับตั้งชื่อบุตรชายคนนั้นว่า “ภู่” 

        สุนทรภู่ครูฉัน       เกิดวันจันทร์ปีม้า
ยี่สิบหกมิถุนา               เมื่อเวลา 8 น.


จากหนังสือ สุนทรภู่ : มหากวีกระฎุมพี(ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ)

หลังเด็กชายภู่ถือกำเนิดได้มีผู้ผูกดวงชะตาพร้อมฟังธงว่า ดวงชะตาของเด็กคนนี้ตรงกับ“อาลักษณ์ขี้เมา” ซึ่งก็แม่นไม่น้อยทีเดียว

เพราะดูเหมือนว่าเด็กชายภู่เมื่อเติบใหญ่ จนได้รับการยกย่องให้เป็น“พระสุนทรโวหาร” หรือที่นิยมเรียกกันแบบสามัญว่า“สุนทรภู่” หนึ่งในกวีเอกแห่งสยามประเทศนั้น ชั่วชีวิตของท่านล้วนต่างเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเมาๆอยู่เป็นนิจ

ดังคำที่ “พระราชธรรมนิเทศ”ได้ร้อยรจนาบทกลอนด้วยความรักใคร่และยกย่องท่านสุนทรภู่ว่า

       สุนทรภู่ครูกวีมีชื่อนัก
ว่าเมาเหล้าเมารักเมาอักษร
ทั้งสามเมาเข้าอิงสิง “สุนทร”
ไม่มีวันพักผ่อน หย่อนใจกาย 
       ถ้าไม่เมาสุราหรือนารี
ก็เมาการกวีเป็นที่หมาย
ในชีวิตตั้งแต่ต้นจนถึงปลาย
“ภู่”ๆไม่วายว่างเว้นเป็นคนเมา


เมาเหล้า...

เป็นที่รู้กันดีในบรรดาผู้ที่ติดตามเรื่องราวของสุนทรภู่ว่า ท่านเป็นนักดื่มสุราตัวฉกาจชนิดหาตัวจับยาก และดื่มอยู่เป็นนิจตั้งแต่เริ่มหนุ่มไปจนถึงช่วงบั้นปลาย ประมาณว่าเป็นน้ำเมาเป็นน้ำทิพย์ จะมีว่างเว้นบ้างก็เห็นจะเป็นยามที่ท่านบวชเป็นพระเท่านั้น

แน่นอนว่าหากใครที่ดื่มเหล้าแบบมากมายเกินพอดี ผลเสียย่อมตกแก่ตัวเองเป็นอันดับแรก สำหรับท่านสุนทรภู่ก็เช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้นแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าการเมาของสุนทรภู่ในหลายๆครั้งก็ถือว่าเป็นคุณต่อวงการกวีอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อท่านดื่มแบบกำลังดีจนเกิดอารมณ์กวีหรืออารมณ์ศิลปินลุกโชนท่านก็จะร้อยรจนาถ้อยคำออกมาเป็นบทกลอน บทกวี ยิ่งท่านเป็นนักเลงทางเพลงด้วยแล้ว พอเหล้าเข้าปากเมากรึ่มๆได้ที่ ก็คงด้นกลอนปร๋อทีเดียว ถึงขนาดมีคนว่ากันว่าในบางครั้งท่านสามารถบอกนิทานกลอนสองเรื่องสลับกันไป-มาได้ในครั้งเดียวแน่ะ

เรื่องการดื่มของสุนทรภู่นี้ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเล่าไว้ในบันทึกประวัติสุนทรภู่ว่า เมื่อสุนทรภู่คิดกลอน ถ้าได้ดื่มเหล้าเข้าไป จะคิดกลอนคล่องถึงขนาดสองคนจดไม่ทัน นอกจากนี้สมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯยังเล่าว่า เคยๆได้ยินผู้อื่นเล่าถึงวิธีการแต่งกลอนของสุนทรภู่ว่า มีข้าหลวงหรือชาววังถือเหล้าไปหาสุนทรภู่ขวดหนึ่ง แล้วบอกสุนทรภู่ว่า “เสด็จให้มาเอาเรื่อง” จากนั้นสุนทรภู่ก็เริ่มกินเหล้าพลาง บอกเรื่องพลาง แล้วข้าหลวงก็ได้เรื่องไปถวายทันที

นี่ย่อมแสดงให้ว่า สุนทรภู่ท่านเป็นอัจฉริยะด้านกาพย์กลอนอย่างแท้จริง แถมบางครั้งยิ่งเมามาย ความเป็นอัจฉริยะกลับยิ่งเพิ่มพูน

ส่วนหากพูดถึงความเป็นนักดื่มของท่านสุนทรภู่แล้ว ตามบันทึกในประวัติศาสตร์ระบุว่าท่านดื่มหนักมากๆตอนที่มีอายุได้ราว 40 ปีเศษ เห็นจะได้ ส่วนที่ยังคลุมเครือก็เห็นจะเป็นเรื่องการเลิกเหล้าของสุนทรภู่ เพราะบันทึกบางเล่มก็ระบุว่าท่านดื่มไปตลอดชีวิต แม้กระทั่งถูกจับติดคุกในสมัยรัชกาลที่ 2 เพราะสุรา แต่พอออกมาก็ยังคงดื่มอยู่ ในขณะที่บางตำราระบุว่าสุนทรภู่ท่านน่าจะดื่มอย่างหนักในสมัยวัยหนุ่มที่กำลังคึกคะนอง และสามารถเลิกเหล้าได้เด็ดขาดในบั้นปลาย เพราะหากเป็นคนขี้เมาจริงๆก็คงไม่อาจสร้างสรรค์วรรณกรรมอันยอดเยี่ยมได้มากมาย

มีเรื่องน่าแปลกในความเป็นนักดื่มของสุนทรภู่อย่างหนึ่งก็คือ บทกวีที่ท่านแต่ง กลับกลายเป็นบทกวีเตือนใจเกี่ยวกับสุราเมรัยเสียมากกว่า เช่นในสุภาษิตสอนหญิงที่กล่าวว่า

        คิดถึงตัว หาผัว นี้แสนยาก
มันชั่วมากนะอนงค์อย่าหลงใหล
คนสูบฝิ่นกินสุราพาจัญไร
แม้นหญิงใดร่วมห้องจะต้องจน


หรือบทกลอนสุดคลาสสิคที่สอนใจและชี้ให้เห็นถึงโทษของเหล้าอย่าง

        ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันขโมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
        ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ
พระสรรเพชญ์โพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินจนเกินไปฯ
(นิราศภูเขาทอง)

แต่ถึงจะกินเหล้ามามากแค่ไหนหากวันรุ่งขึ้นไม่ถอนก็ย่อมมีแฮงก์และสร่าง ที่อาจจะมีปวดหัวทรมาน อ้วกแตกอ้วกแตนบ้าง แต่ว่าต่อให้เมาขนาดไหน สำหรับสุนทรภู่แล้ว ยังไงๆมันก็ไม่เท่ากับอาการ“เมารัก”หรอก

        ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน

(นิราศภูเขาทอง)

สำหรับเรื่องการเมารักของสุนทรภู่นั้นผมจะขอยกไปกล่าวถึงในตอนต่อไป ส่วนตอนนี้เมื่อมานั่งนึกๆดูว่า อันตัวเรา แม้จะยึดถือท่านสุนทรภู่เป็นบรมครูต้นแบบมาช้านาน ถึงขนาดเคยพยายามเดินตามรอยท่านสุนทรภู่อยู่หลายครั้งหลายครา ไม่ว่าจะเป็นการหัดเขียนกวีโคลงกลอน การออกเที่ยวตามเส้นทางนิราศของท่าน แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ผมได้ไปเต็มๆจากการเดินตามรอยสุนทรภู่ก็เห็นจะเป็นเรื่องของการเมาสุรา เมรัย ที่แหละ

เฮ้อ...ไหงเป็นงี้ไปได้ก็ไม่รู้!?!
 
...(อ่านต่อตอนหน้า)
กำลังโหลดความคิดเห็น