โดย : ปิ่น บุตรี

ฝนจาง-นางหาย...เรนมา-สาวตรึม...ฝนมา-ป่าเขียว
สำหรับนักนิยมไพรแล้ว ป่าหน้าฝนถือว่าเปี่ยมเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง เพราะผืนป่ายามนี้ได้แสดงศักยภาพแห่งความเป็นป่าออกมาอย่างเต็มที่ ทั้งความเขียวชุ่มชุ่มฉ่ำของต้นไม้ใบหญ้า ทั้งความเขียวขจีเย็นตาของมอส เฟิน ที่เปรียบดังพรมธรรมชาติผืนใหญ่ ทั้งสายน้ำที่เนืองนองแน่นหนาแห่งธาราน้ำตกอันเย็นฉ่ำ ทั้งสีสันอันสดสวยของดอกไม้ เห็ด แมลง ผีเสื้อ และเสน่ห์ที่น่าสนใจอื่นๆอีกมากมาย
แต่...การจะได้มาสัมผัสกับความงามของผืนป่ายามหน้าฝนนั้นก็คงต้อง“ลุย”กันหน่อย เพราะผืนป่าช่วงนี้ทั้งเฉอะแฉะ ทั้งลื่น แถมวันไหนเกิดฝนตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็เป็นอันว่าวันนั้นการเที่ยวป่าคงต้องแห้วไป ส่วนที่แย่กว่านั้นก็คือขณะที่เรากำลังเดินป่าอยู่แล้วบังเอิญฝนดันตกลงมาอย่างหนัก งานนี้รับรองว่าเปียกโชกดูไม่จืดแน่นอน
นอกจากนี้ในความชื้นแฉะของผืนป่า ยังมีเจ้าของที่ที่ไม่ได้รับเชิญอย่างเจ้า“ทาก”ตัวน้อยมาคอยกวนใจ กวนเท้าอีกต่างหาก
“ทาก” (leech) ชื่อนี้เพียงแค่เอื้อนเอ่ยวจี สาวๆหลายคนก็อดที่จะสยิวกายด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่ได้ เพราะเพียงแค่เห็นมันชูหัวหาเป้าหมาย แล้วค่อย กระดึ๊บ...กระดึ๊บ คืบคลานเข้าหาอย่างไม่อีนังขังขอบ สาวเจ้าบางคนเพียงเห็นเท่านี้ก็กรี๊ดลั่นป่าแล้ว ยิ่งยามที่ถูกมันใช้เขี้ยวเจาะลงไปในเนื้อขาวๆนิ่มๆดูดเลือดขึ้นมา สาวเจ้าหลายๆนางถึงกับกรี๊ด!!!สลบ
ในขณะที่หนุ่มๆบางคน มองภายนอกดูหล่อล่ำ มาดแมน แต่พอถูกทากดูดเลือดเข้าเท่านั้นแหละ ออกอาการแต๋วแตก Me Myself ไปเลย
ด้วยเหตุนี้เจ้าสัตว์ตัวจิ๋วอย่างทากจึงกลายเป็นสัตว์น่ากลัว สัตว์อันตรายของใครหลายๆคน ถึงขนาดที่บางคนตั้งฉายาให้กับมันว่า“แดร๊กคูล่าแห่งป่าไพร”เลยทีเดียว
เพราะมันคือไอ้ตัวดูดเลือดแห่งพงไพรที่หากที่ไหนมีเลือดทากมันดูดหมด ไม่เลือกหน้าว่าคนหรือสัตว์ทากดูดหมด แถมยังกินอย่างดูดดื่มติดหนึบ กว่าจะปล่อยได้ก็ต้องรอมันอิ่มตัวอ้วนพลีนั่นแหละ ซึ่งเรื่องที่ไม่น่าเชื่อก็คือการดูดเลือดแบบเต็มอิ่มของทากครั้งหนึ่งมันสามารถอยู่ไปอย่างสบายๆได้นานถึง 6 เดือนทีเดียว
สำหรับกระบวนการดูดเลือดของทากก็เริ่มจาก เมื่อเหยื่อที่มีเลือดเดินผ่าน(ไม่ว่าคนหรือสัตว์) ทากก็จะเริ่มส่ายหัวดิก ดิก หาทิศทางของเหยื่อจากการจับความร้อน แรงสั่นสะเทือน และการเคลื่อนที่ของเหยื่อ พอรู้แน่ว่าเหยื่ออยู่ทางไหน ทากก็จะเคลื่อนตัวกระดึ๊บ กระดึ๊บ เข้าไปหาเหยื่ออย่างรวดเร็ว หลายๆคนเมื่อเห็นทากคืบคลานอาจจะงุนงงสงสัยว่าตรงไหนมันส่วนหัวและตรงไหนมันส่วนท้ายหรือหางของทากกันแน่ วิธีสังเกตง่ายๆก็คือ ด้านที่อ้วนกว่านั้นคือส่วนท้าย ส่วนด้านที่เล็กเรียวแล้วชูกระดิกไป-มา นั้นคือส่วนหัวนั่นเอง
จากนั้นช่วงเวลาวิกฤติที่ต้องเสียเลือดของเหยื่อก็มาถึงเมื่อทากกระดึ๊บ กระดึ๊บ มาถึงยังตัวเหยื่อ(ในกรณีที่เหยื่อไม่รู้ตัว)แล้วมันก็ไต่ไปเกาะยังบริเวณผิวหนังที่มันคิดว่าบางที่สุด ก่อนจะบรรจงฝังเขี้ยวลงไปในผิวหนังอย่างแผ่วเบาแต่เลือดเย็นพร้อมๆกับค่อยๆดูดเลือดอุ่นๆหวานๆของเหยื่ออย่างดูดดื่ม โดยขณะที่ดูดเลือดมันก็จะปล่อยสารบางชนิดที่ประหนึ่งดังยาชาออกมา เพื่อไม่ให้เหยื่อรู้ตัว ด้วยเหตุตอนช่วงที่ถูกทากดูดใหม่ๆเราจึงไม่ค่อยรู้สึกตัวถ้าหากไม่เห็นมันเสียก่อน ต้องรอจนมันอิ่มหรือมันดูดไปสักพักนั่นแหละ ความรู้สึกเจ็บๆคันๆจึงเริ่มมีอาการออกมา
เมื่อทากดูดเลือดไปได้สักพัก ตัวของมันจะค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วตามปริมาณของเลือด จนกระทั่งมันอิ่มแปล้เต็มที่แล้วจึงปล่อยปุ่มดูดในส่วนหัวและส่วนท้ายออก พร้อมค่อยๆคืบคลานลงจากเหยื่อแล้วตีจากไปอย่างไม่มีเยื่อใย เหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าก็แต่รอยแผลและเลือดสดๆที่ยังคงไหลไม่หยุด เพราะทากมีสาร Hirudin ที่หากกัดแล้วก็จะทำให้เลือดไม่แข็งตัว จนกว่าทากจะสลัดปากที่ดูดเลือดทิ้งไป ราวราว 30-60 นาทีนั่นแหละเลือดของเหยื่อจึงจะแข็งตัวและหยุดไหล
สำหรับคนที่โดนทากกัดถ้าเจอตัวเป็นๆกำลังดูดเลือดเราอยู่ บรรดาผู้รู้ทั้งหลายแนะนำว่าให้ใช้ยาหม่องทาตัวหรือเอาไฟจี้ทากก็เลิกดูดเลือดและหดตัวตกลงไปเอง หรือถ้าไม่มีอุปกรณ์ใดๆก็ให้แข็งใจดึงตัวทากขึ้นมาจากบริเวณที่กัด ซึ่งอาจจะเจ็บๆคันๆนิดหน่อย แต่ว่าก็ไม่มีอันตรายใดๆมีเพียงเลือดที่ไหลไม่หยุดไปอีกราวๆครึ่งชั่วโมงเท่านั่นเอง
แต่ว่าทุกครั้งเวลาที่ผมถูกทากกัดผมจะใช้วิธีชิงสุกก่อนห่ามด้วยการใช้ 2 นิ้วจับตัวทากแล้วดึงตัวมันขึ้นมาจากบริเวณที่ถูกกัดทันที เพราะผมไม่มียาหม่องและไฟแช็คหรือถึงมีก็คงไม่มัวมาความหาอาวุธทั้งสองหรอก แต่จะว่าไปก็มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งผมแค้นเจ้าทากมันมาก เพราะมันเล่นดูดเลือดผมไปจนตัวอ้วนกลมดิก ผมจึงขอไฟแช็คจากเพื่อนเอามาลนจนมันตกพื้น แต่ด้วยความแค้นก็ยังตามไปลนมันอีก จนสุดท้ายมันตายตัวพองก่อน ระเบิดแตกโพล๊ะ!!!เลือดกระจายเต็มพื้นเลย หลังจากนั้นพอตั้งสติได้มาคิดดูอีกทีก็อดสงสารทากไม่ได้ เพราะเลือดนี่ก็ไม่ใช่เลือดใครที่ไหนแต่เป็นเลือดเราทั้งน้าน...
ไหนๆก็พูดถึงประสบการณ์การถูกทากกัดแล้ว ผมนับเป็นคนหนึ่งที่ดวงถือว่าถูกโฉลกกับทากไม่น้อย เพราะถึงแม้จะทายาฉุน ยาหม่อง ฉีดยากันยุง เพื่อป้องกันทากแต่สุดท้ายก็ยังถูกทากกัดอยู่ดี โดยประสบการณ์ครั้งแรกที่เสียเลือดให้กับทากนั้นเกิดขึ้นที่เขาใหญ่ ครั้งนั้นด้วยความที่ยังใหม่ต่อการเดินป่าไม่รู้จักวิธีป้องกันทากเลยถูกมันกัดเสียอ่วมเลย
แต่ยังไงก็ไม่เท่ากับรุ่นน้องผมคนหนึ่ง ไอ้รุ่นน้องคนนี้ปกติมันเป็นคนไม่ค่อยชอบเที่ยวป่าเที่ยวเขาแถมยังเชื่อคนง่ายและถูกอำบ่อย แต่ด้วยความที่พวกเรานั่งก๊งเหล้ากันจนเมาแปล้ พอตื่นมาวันรุ่งขึ้นยังไม่ทันสร่างดีก็ลากตัวกันมาเที่ยวต่อที่เขาใหญ่โดย ณ วันนี้ยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นต้นคิด
และเมื่อพวกเราออกเดินป่า(เส้นผากล้วยไม้-เหวสุวัต)แต่ละคนต่างก็ถูกทากกัดไปตามๆ แต่ดูเหมือนว่าไอ้รุ่นน้องคนนี้มันจะค่อนข้างซีเรียสต่อการถูกทากกัดมาก เพราะมันกลัวเชื้อโรคจากตัวทากน่ะ(ไม่รู้ใครไปปลูกฝังมันไว้อย่างนั้น) แล้วก็ให้บังเอิญว่าคืนสุดท้าย พวกเราโดนทาก(ไม่รู้กี่ตัว)บุกเข้าเต็นท์ แล้วตอนเช้าตื่นขึ้นมาเห็นทากตัวหนึ่งนอนตัวอ้วนกลมดิกอยู่ในเต็นท์แถวเท้ารุ่นน้องคนนี้
เท่านั้นและได้เรื่องเลยนอกจากมันจะตกอกตกใจแล้ว มันยังสำรวจไปเจอรอยถูกทากกัดตรงเท้าถึง 2 รอย แต่ว่ากลับเจอทากตัวเดียว แล้วก็บังเอิญทุกคนในทริปต่างก็ร่วมด้วยช่วยกัน “อำ”รุ่นน้องคนนี้อย่างจริงจังขึงขังว่า
“ทากอีกตัวน่ะ มันไชเข้าไปดูดเลือดในตัวมึงแล้ว”
“เฮ้ย!!! จริงหรือพี่ อย่าล้อเล่นนะ ผมยิ่งกลัวๆอยู่”
“เออจริง!?! ”ทุกคนในทริปต่างประสานเสียงกันตอบ
แน่นอนว่าคนกลัวทากขึ้นสมองอย่างมัน เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว พอกลับมาถึงกรุงเทพฯ มันหยุดเรียนไป 3-4 วัน ซึ่งพวกเราในทริปต่างก็นึกว่ามันคงไม่สบาย กระทั่งเมื่อรุ่นน้องคนนี้โผล่มาเรียนอีกครั้ง ดูเหมือนว่ามันจะซีดเซียวไม่น้อย
“ที่หยุดไป ผมเพลีย หมดแรงนะพี่ เพราะล่อยาถ่ายพยาธิไปเสียหลายเม็ด”
“อ้าวเป็นไรล่ะ ท้องผูกหรือ”
“เปล่า ผมกินยาถ่ายกะจะกินให้ทากมันออกมา แต่ที่ไหนได้ไม่เห็นมีทากถ่ายออกมาซ้ากกะตัว มีแต่ขี้ท้างน้าน”
เรียกได้ว่างานนี้รุ่นน้องคนนั้นถูกอำจนขี้แตกขี้แตกไปเลย ส่วนผมนะหรือ เมื่อฟังมันเล่าแล้วก็ได้แต่แสดงความเห็นอกเห็นใจมันด้วยการขำขี้แตกขี้แตนเท่านั้นเอง
ฝนจาง-นางหาย...เรนมา-สาวตรึม...ฝนมา-ป่าเขียว
สำหรับนักนิยมไพรแล้ว ป่าหน้าฝนถือว่าเปี่ยมเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง เพราะผืนป่ายามนี้ได้แสดงศักยภาพแห่งความเป็นป่าออกมาอย่างเต็มที่ ทั้งความเขียวชุ่มชุ่มฉ่ำของต้นไม้ใบหญ้า ทั้งความเขียวขจีเย็นตาของมอส เฟิน ที่เปรียบดังพรมธรรมชาติผืนใหญ่ ทั้งสายน้ำที่เนืองนองแน่นหนาแห่งธาราน้ำตกอันเย็นฉ่ำ ทั้งสีสันอันสดสวยของดอกไม้ เห็ด แมลง ผีเสื้อ และเสน่ห์ที่น่าสนใจอื่นๆอีกมากมาย
แต่...การจะได้มาสัมผัสกับความงามของผืนป่ายามหน้าฝนนั้นก็คงต้อง“ลุย”กันหน่อย เพราะผืนป่าช่วงนี้ทั้งเฉอะแฉะ ทั้งลื่น แถมวันไหนเกิดฝนตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็เป็นอันว่าวันนั้นการเที่ยวป่าคงต้องแห้วไป ส่วนที่แย่กว่านั้นก็คือขณะที่เรากำลังเดินป่าอยู่แล้วบังเอิญฝนดันตกลงมาอย่างหนัก งานนี้รับรองว่าเปียกโชกดูไม่จืดแน่นอน
นอกจากนี้ในความชื้นแฉะของผืนป่า ยังมีเจ้าของที่ที่ไม่ได้รับเชิญอย่างเจ้า“ทาก”ตัวน้อยมาคอยกวนใจ กวนเท้าอีกต่างหาก
“ทาก” (leech) ชื่อนี้เพียงแค่เอื้อนเอ่ยวจี สาวๆหลายคนก็อดที่จะสยิวกายด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่ได้ เพราะเพียงแค่เห็นมันชูหัวหาเป้าหมาย แล้วค่อย กระดึ๊บ...กระดึ๊บ คืบคลานเข้าหาอย่างไม่อีนังขังขอบ สาวเจ้าบางคนเพียงเห็นเท่านี้ก็กรี๊ดลั่นป่าแล้ว ยิ่งยามที่ถูกมันใช้เขี้ยวเจาะลงไปในเนื้อขาวๆนิ่มๆดูดเลือดขึ้นมา สาวเจ้าหลายๆนางถึงกับกรี๊ด!!!สลบ
ในขณะที่หนุ่มๆบางคน มองภายนอกดูหล่อล่ำ มาดแมน แต่พอถูกทากดูดเลือดเข้าเท่านั้นแหละ ออกอาการแต๋วแตก Me Myself ไปเลย
ด้วยเหตุนี้เจ้าสัตว์ตัวจิ๋วอย่างทากจึงกลายเป็นสัตว์น่ากลัว สัตว์อันตรายของใครหลายๆคน ถึงขนาดที่บางคนตั้งฉายาให้กับมันว่า“แดร๊กคูล่าแห่งป่าไพร”เลยทีเดียว
เพราะมันคือไอ้ตัวดูดเลือดแห่งพงไพรที่หากที่ไหนมีเลือดทากมันดูดหมด ไม่เลือกหน้าว่าคนหรือสัตว์ทากดูดหมด แถมยังกินอย่างดูดดื่มติดหนึบ กว่าจะปล่อยได้ก็ต้องรอมันอิ่มตัวอ้วนพลีนั่นแหละ ซึ่งเรื่องที่ไม่น่าเชื่อก็คือการดูดเลือดแบบเต็มอิ่มของทากครั้งหนึ่งมันสามารถอยู่ไปอย่างสบายๆได้นานถึง 6 เดือนทีเดียว
สำหรับกระบวนการดูดเลือดของทากก็เริ่มจาก เมื่อเหยื่อที่มีเลือดเดินผ่าน(ไม่ว่าคนหรือสัตว์) ทากก็จะเริ่มส่ายหัวดิก ดิก หาทิศทางของเหยื่อจากการจับความร้อน แรงสั่นสะเทือน และการเคลื่อนที่ของเหยื่อ พอรู้แน่ว่าเหยื่ออยู่ทางไหน ทากก็จะเคลื่อนตัวกระดึ๊บ กระดึ๊บ เข้าไปหาเหยื่ออย่างรวดเร็ว หลายๆคนเมื่อเห็นทากคืบคลานอาจจะงุนงงสงสัยว่าตรงไหนมันส่วนหัวและตรงไหนมันส่วนท้ายหรือหางของทากกันแน่ วิธีสังเกตง่ายๆก็คือ ด้านที่อ้วนกว่านั้นคือส่วนท้าย ส่วนด้านที่เล็กเรียวแล้วชูกระดิกไป-มา นั้นคือส่วนหัวนั่นเอง
จากนั้นช่วงเวลาวิกฤติที่ต้องเสียเลือดของเหยื่อก็มาถึงเมื่อทากกระดึ๊บ กระดึ๊บ มาถึงยังตัวเหยื่อ(ในกรณีที่เหยื่อไม่รู้ตัว)แล้วมันก็ไต่ไปเกาะยังบริเวณผิวหนังที่มันคิดว่าบางที่สุด ก่อนจะบรรจงฝังเขี้ยวลงไปในผิวหนังอย่างแผ่วเบาแต่เลือดเย็นพร้อมๆกับค่อยๆดูดเลือดอุ่นๆหวานๆของเหยื่ออย่างดูดดื่ม โดยขณะที่ดูดเลือดมันก็จะปล่อยสารบางชนิดที่ประหนึ่งดังยาชาออกมา เพื่อไม่ให้เหยื่อรู้ตัว ด้วยเหตุตอนช่วงที่ถูกทากดูดใหม่ๆเราจึงไม่ค่อยรู้สึกตัวถ้าหากไม่เห็นมันเสียก่อน ต้องรอจนมันอิ่มหรือมันดูดไปสักพักนั่นแหละ ความรู้สึกเจ็บๆคันๆจึงเริ่มมีอาการออกมา
เมื่อทากดูดเลือดไปได้สักพัก ตัวของมันจะค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วตามปริมาณของเลือด จนกระทั่งมันอิ่มแปล้เต็มที่แล้วจึงปล่อยปุ่มดูดในส่วนหัวและส่วนท้ายออก พร้อมค่อยๆคืบคลานลงจากเหยื่อแล้วตีจากไปอย่างไม่มีเยื่อใย เหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าก็แต่รอยแผลและเลือดสดๆที่ยังคงไหลไม่หยุด เพราะทากมีสาร Hirudin ที่หากกัดแล้วก็จะทำให้เลือดไม่แข็งตัว จนกว่าทากจะสลัดปากที่ดูดเลือดทิ้งไป ราวราว 30-60 นาทีนั่นแหละเลือดของเหยื่อจึงจะแข็งตัวและหยุดไหล
สำหรับคนที่โดนทากกัดถ้าเจอตัวเป็นๆกำลังดูดเลือดเราอยู่ บรรดาผู้รู้ทั้งหลายแนะนำว่าให้ใช้ยาหม่องทาตัวหรือเอาไฟจี้ทากก็เลิกดูดเลือดและหดตัวตกลงไปเอง หรือถ้าไม่มีอุปกรณ์ใดๆก็ให้แข็งใจดึงตัวทากขึ้นมาจากบริเวณที่กัด ซึ่งอาจจะเจ็บๆคันๆนิดหน่อย แต่ว่าก็ไม่มีอันตรายใดๆมีเพียงเลือดที่ไหลไม่หยุดไปอีกราวๆครึ่งชั่วโมงเท่านั่นเอง
แต่ว่าทุกครั้งเวลาที่ผมถูกทากกัดผมจะใช้วิธีชิงสุกก่อนห่ามด้วยการใช้ 2 นิ้วจับตัวทากแล้วดึงตัวมันขึ้นมาจากบริเวณที่ถูกกัดทันที เพราะผมไม่มียาหม่องและไฟแช็คหรือถึงมีก็คงไม่มัวมาความหาอาวุธทั้งสองหรอก แต่จะว่าไปก็มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งผมแค้นเจ้าทากมันมาก เพราะมันเล่นดูดเลือดผมไปจนตัวอ้วนกลมดิก ผมจึงขอไฟแช็คจากเพื่อนเอามาลนจนมันตกพื้น แต่ด้วยความแค้นก็ยังตามไปลนมันอีก จนสุดท้ายมันตายตัวพองก่อน ระเบิดแตกโพล๊ะ!!!เลือดกระจายเต็มพื้นเลย หลังจากนั้นพอตั้งสติได้มาคิดดูอีกทีก็อดสงสารทากไม่ได้ เพราะเลือดนี่ก็ไม่ใช่เลือดใครที่ไหนแต่เป็นเลือดเราทั้งน้าน...
ไหนๆก็พูดถึงประสบการณ์การถูกทากกัดแล้ว ผมนับเป็นคนหนึ่งที่ดวงถือว่าถูกโฉลกกับทากไม่น้อย เพราะถึงแม้จะทายาฉุน ยาหม่อง ฉีดยากันยุง เพื่อป้องกันทากแต่สุดท้ายก็ยังถูกทากกัดอยู่ดี โดยประสบการณ์ครั้งแรกที่เสียเลือดให้กับทากนั้นเกิดขึ้นที่เขาใหญ่ ครั้งนั้นด้วยความที่ยังใหม่ต่อการเดินป่าไม่รู้จักวิธีป้องกันทากเลยถูกมันกัดเสียอ่วมเลย
แต่ยังไงก็ไม่เท่ากับรุ่นน้องผมคนหนึ่ง ไอ้รุ่นน้องคนนี้ปกติมันเป็นคนไม่ค่อยชอบเที่ยวป่าเที่ยวเขาแถมยังเชื่อคนง่ายและถูกอำบ่อย แต่ด้วยความที่พวกเรานั่งก๊งเหล้ากันจนเมาแปล้ พอตื่นมาวันรุ่งขึ้นยังไม่ทันสร่างดีก็ลากตัวกันมาเที่ยวต่อที่เขาใหญ่โดย ณ วันนี้ยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นต้นคิด
และเมื่อพวกเราออกเดินป่า(เส้นผากล้วยไม้-เหวสุวัต)แต่ละคนต่างก็ถูกทากกัดไปตามๆ แต่ดูเหมือนว่าไอ้รุ่นน้องคนนี้มันจะค่อนข้างซีเรียสต่อการถูกทากกัดมาก เพราะมันกลัวเชื้อโรคจากตัวทากน่ะ(ไม่รู้ใครไปปลูกฝังมันไว้อย่างนั้น) แล้วก็ให้บังเอิญว่าคืนสุดท้าย พวกเราโดนทาก(ไม่รู้กี่ตัว)บุกเข้าเต็นท์ แล้วตอนเช้าตื่นขึ้นมาเห็นทากตัวหนึ่งนอนตัวอ้วนกลมดิกอยู่ในเต็นท์แถวเท้ารุ่นน้องคนนี้
เท่านั้นและได้เรื่องเลยนอกจากมันจะตกอกตกใจแล้ว มันยังสำรวจไปเจอรอยถูกทากกัดตรงเท้าถึง 2 รอย แต่ว่ากลับเจอทากตัวเดียว แล้วก็บังเอิญทุกคนในทริปต่างก็ร่วมด้วยช่วยกัน “อำ”รุ่นน้องคนนี้อย่างจริงจังขึงขังว่า
“ทากอีกตัวน่ะ มันไชเข้าไปดูดเลือดในตัวมึงแล้ว”
“เฮ้ย!!! จริงหรือพี่ อย่าล้อเล่นนะ ผมยิ่งกลัวๆอยู่”
“เออจริง!?! ”ทุกคนในทริปต่างประสานเสียงกันตอบ
แน่นอนว่าคนกลัวทากขึ้นสมองอย่างมัน เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว พอกลับมาถึงกรุงเทพฯ มันหยุดเรียนไป 3-4 วัน ซึ่งพวกเราในทริปต่างก็นึกว่ามันคงไม่สบาย กระทั่งเมื่อรุ่นน้องคนนี้โผล่มาเรียนอีกครั้ง ดูเหมือนว่ามันจะซีดเซียวไม่น้อย
“ที่หยุดไป ผมเพลีย หมดแรงนะพี่ เพราะล่อยาถ่ายพยาธิไปเสียหลายเม็ด”
“อ้าวเป็นไรล่ะ ท้องผูกหรือ”
“เปล่า ผมกินยาถ่ายกะจะกินให้ทากมันออกมา แต่ที่ไหนได้ไม่เห็นมีทากถ่ายออกมาซ้ากกะตัว มีแต่ขี้ท้างน้าน”
เรียกได้ว่างานนี้รุ่นน้องคนนั้นถูกอำจนขี้แตกขี้แตกไปเลย ส่วนผมนะหรือ เมื่อฟังมันเล่าแล้วก็ได้แต่แสดงความเห็นอกเห็นใจมันด้วยการขำขี้แตกขี้แตนเท่านั้นเอง