xs
xsm
sm
md
lg

แมงกะไซค์ไซง่อน ไม่ซ่อนรัก/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี

กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ ยุคที่เมืองไทยกำลังเริ่มฟูเฟื่องทางเศรษฐกิจ มอเตอร์ไซค์หรือแมงกะไซค์หรือรถเครื่องนอกจากจะเป็นของโก้หรูดูเท่ระยับแล้ว ยังเป็นดัชนีชี้วัดความมีฐานะในสังคมชนบทบ้านเราอีกด้วย เล่นเอางานนี้ไอ้หนุ่มจักรยานแห้วกันเป็นทิวแถว

“คนจนอย่างพี่ ไม่มีเงินเป็นอำนาจ จะไปสามารถ บังคับสะกดจิตใจ คนสวยของพี่ จึงคิดไปมีรักใหม่ ไปนั่งท้าย มอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ เมดอินเจแปน...จักรยานของพี่ ราคาไม่กี่ร้อยบาท ถึงช้าอืดอาด แต่ก็เมดอินไทยแลนด์ ต้องใช้ขาปั่น รถพี่มันถึงจะแล่น ไม่เหมือนรถเครื่องต่างแดน ยิ่งเร่งยิ่งแล่นเพราะใช้น้ำมัน...”

(อดีต)จักรยานคนจน : ยอดรัก สลักใจ

ครั้นวันผ่านพ้น เศรษฐกิจบ้านเราขยายตัว รถยนต์หาซื้อง่ายแถมยังได้รับความนิยมประหนึ่งปัจจัย 5 แมงกะไซค์ที่หนุ่มๆนิยมพาสาวๆนั่งซ้อนท้ายขี่โฉบไปไหนมาไหนแบบ“ไข่ติดถัง หลังติดนม”ก็เริ่มลดระดับความโก้หรูลงในสายตาของสาวหลายๆคน ยิ่งพักหลังมีข่าวเด็กแว้นซิ่งมอเตอร์ไซค์ไปเสยข้างทางหรือไม่ก็ถูกสิบล้อโฉบเฉี่ยวเกี่ยวตวัดเกิดกรณีศพไม่สวย หัวไปทาง ตัวไปทาง ร่างกายไม่สมานฉันท์กันอยู่เป็นประจำ ก็ยิ่งทำให้สาวๆหลายคนหมางเมินมอเตอร์ไซค์หันไปหารถยนต์แทน

หากเป็นรถสปอร์ตยิ่งเยี่ยม รถเก๋งก็ดี กระบะ ปิคอัพก็ได้ แต่ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์...คุณเธอขอคิดดูก่อน ส่วนถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์คันเก่า(มอเตอร์ไซค์ฮ่าง) งานนี้สาวเจ้าบอกคอนเวิร์สทางใครทางมันดีกว่า พร้อมๆกับทิ้งให้ไอ้หนุ่มมอเตอร์ไซค์คันเก่านั่งเศร้าใจอยู่คนเดียว

“มอเตอร์ไซค์ฮ่าง มอเตอร์ไซค์ฮ่าง ทางลูกรัง ฝุ่นเกาะเกรอะกรัง จับตัวจนหัวแดง ปิคอัพคันโก้ โตโยต้า มาขับ แซง ผู้สาวแก้มแดงเคียงคู่ไปกับเขา ผู้สาวแก้มแดงเคียงคู่ไปกับเขา...”

(ปัจจุบัน)มอเตอร์ไซค์ฮ่าง : ร็อคแสลง

ในขณะที่เรตติ้งความนิยมต่อแมงกะไซค์ถูกรถยนต์ที่ดูหรูหราร่ำรวยกว่าแซงไปไกลในสายตาของสาวๆกลุ่มหนึ่ง(ยกเว้นกลุ่มเด็กแว้น) แต่สำหรับที่ประเทศเวียดนามกลับผิดแผกแตกต่างออกไป เพราะหนุ่มๆสาวๆลูกหลานตระกูลเหงียนสมัยนี้ดูจะฮอตฮิตต่อการขับขี่มอเตอร์ไซค์ไปไหนมาไหนกันทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะที่นครโฮจิมินต์หรือเมืองไซ่ง่อน ณ วันนี้มีมอเตอร์ไซค์วิ่งปรู๊ดปร๊าด บีบแตรปรู๊นปร๊าน อยู่เพียบไปหมด

ผมจำได้ว่าเมื่อปี 47 ได้มีโอกาสไปเยือนไซง่อนครั้งแรก ช่วงนั้นมอเตอร์ไซค์กำลังเริ่มเป็นที่นิยมของชาวไซ่ง่อนแต่ยังไม่เยอะแยะยั้วเยี้ยขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ 3 ปีเท่านั้นไซ่ง่อนจะมีปริมาณของมอเตอร์ไซค์มากมายล้นหลามขนาดนี้

“แม้ยังไม่มีใครสำรวจอย่างเป็นทางการ แต่จากที่เห็นผมว่าไซ่ง่อนน่าจะเป็นเมืองที่มีมอเตอร์ไซค์เยอะที่สุดในโลกนะ”

เติม เรือง : บุญเติม เรืองสวัสดิ์ หรือ “อาจารย์ตั้ม”อาจารย์ประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งชาติเวียดนามผู้รับอาสาพาผมเที่ยวชมไซ่ง่อนที่พูดไทยชัดแจ๋ว ชัดกว่าดาราและพิธีกรบ้านเราหลายๆคนบอกกับผม แต่ถึงกระนั้นแม้คนเวียดนามจะขี่มอเตอร์ไซค์กันเต็มบ้านเต็มเมือง แต่พวกเขากลับนิยมเรียกเจ้า 2 ล้อยนต์ที่คนไทยเรียก“รถเครื่อง” คนลาวเรียกรถจักร ว่า“ฮอนด้า”(คล้ายๆกับที่คนไทยนิยมเรียกผงซักฟอกว่าแฟ้บหรือเรียกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่ามาม่า) เป็นการเรียกชื่อตามยี่ห้อรถบริษัทหนึ่งซึ่งคนเวียดนามนิยมกันมาก ถึงขนาดผลิตมอเตอร์ไซค์บางรุ่นให้คนเวียดนามขับขี่กันประเทศเดียวในโลกเท่านั้น !?!

แน่นอนว่าเมื่อแมงกะไซค์บุกเวียดนาม ก็ทำให้ความนิยมและปริมาณในการใช้“ซิกโคล่”รถสามล้อถีบอันเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเวียดนามลดน้อยถอยลงไปมาก ซึ่งดูๆแล้วซิกโคล่มีสภาพการณ์ไม่ต่างจากรถสามล้อถีบในบ้านเราเท่าใดนัก

นอกจากซิกโคล่แล้ว อดีตแชมป์เจ้าถนนอย่างจักรยานก็ตกอยู่ในฐานะไม่ต่างกัน เพราะเมื่อแมงกะไซค์ยึดครองถนน จักรยานหายหดถดถอยไปตามระเบียบ ตามสัจธรรมแห่งโลก ด้วยเหตุนี้การไปไซ่ง่อนเที่ยวล่าสุดผมจึงพยายามสอดส่ายสายตาหาชมสาวๆชาวเหงียนใส่ชุดอ๋าวหย่ายปั่นจักรยานไหวๆไปตามท้องถนนไม่ได้ เพราะเมื่อคราวที่แล้วมาเห็นเพียบเลย แต่มาคราวนี้หาไม่ค่อยมีแล้ว

พูดก็พูดเหอะ ผมคิด(ไปเอง)ว่ายามที่สาวๆชาวเวียดนามใส่ชุดอ๋าวใหญ่ปั่นจักรยานไปตามที่ต่างๆนี่มันดูคลาสสิคกว่าการที่สาวๆชาวเวียดขี่แมงกะไซค์แล่นปรู๊ดปร๊าดไปไหนต่อไหนมากนัก เพราะยามที่พวกเธอขี่จักรยานไป-มา ผมมีโอกาสได้เพ่งพินิจความทรงเสน่ห์และหุ่นอันเพรียวระหงษ์ของสาวๆชาวเหงียนในชุดอ่าวหย่ายอันเป็นเอกลักษณ์ได้อย่างถนัดถนี่ตา ส่วนถ้าเป็นการขี่มอเตอร์ไซค์นี่ผมมีโอกาสได้เห็นพวกเธอเพียงแว่บเดียวเท่านั้นเอง

ส่วนใครที่คิดว่าจะเหล่สาวมอเตอร์ไซค์ในไซ่ง่อนยามรถติดไฟแดงนั้น ผมว่าอย่าเลยดีกว่าเพราะเวลาผมเห็นรถติดไฟแดงที่ไซง่อนทีไรจะเกิดอาการเวียนหัวทุกทีเลยสิน่า เนื่องจากรถมอเตอร์ไซค์มันยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ยิ่งตอนที่ไปเปลี่ยนจากแดงมาเป็นเขียวด้วยยิ่งแล้วไปใหญ่ เพราะมันทั้งสับสนวุ่นวาย ทั้งเสียงบีบแตร...ปรี๊นๆ(คนเมืองนี้นิยมบีบแต่กันมาก) เสียงออกตัว...บึ้นๆ ส่วนที่ทำเอาผมงุนงงสุดขั้วก็เห็นจะเป็นวิธีการขับขี่ที่ต่างคนต่างขับโดยไม่สนใจอะไร ขอเพียงให้รถติดเครื่องแล่นไปข้างหน้าเป็นพอ

เหมือนจะชน แต่ไม่ชน เหมือนจะเฉี่ยว แต่ไม่เฉี่ยว
 
นับเป็นวิธีการขับขี่เจ้าแมงกะไซค์ของชาวไซ่ง่อนที่ผมเห็นแล้วอด อึ้ง ทึ่ง เสียว ไม่ได้ ซึ่งถึงแม้ว่าชาวไซ่ง่อนจะขับขี่เจ้าแมงกะไซค์กันตามใจฉันแบบนั้นแต่พวกเขาก็ขับกันอย่างไม่เร่งรีบ ไม่ได้บิด ต๋าย...ต๋าย อย่างพวกนักซิ่งบ้านเรา ด้วยเหตุนี้ช่วงที่ผมไปไซ่ง่อนจึงไม่เห็นอุบัติเหตุที่เกิดจากมอเตอร์ไซค์เลย

“คนไซ่ง่อนยังมีวิธีการขับรถมอเตอไซค์ที่ไม่เหมือนใครอีกต่าง คือเวลาที่ขับรถสวนกันหรือขับถึงทางแยก พวกเขาจะไม่มองทางไม่มองสัญญาณ แต่จะใช้คติประจำตัวว่า ใจกล้าไปก่อน ใจอ่อนไปทีหลัง จากนั้นก็มองหน้าหัน แล้วก็ขับไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

อาจารย์ตั้มบอกกับผม พร้อมกับบอกอีกด้วยว่าถ้าใครจะข้ามถนนช่วงที่มีมอเตอร์ไซค์มากๆก็ต้องมีคติประจำใจเหมือนกัน นั่นก็คือให้เดินหน้า อย่าไปสนใจรถ เพราะหากมองรถแล้วจะเกิดอาการระแวงกลัวรถมาชน แต่ถ้าไม่มองก็จะไม่รู้ว่าจะมีรถมาชนเรา สรุปแล้วงานนี้ข้ามถนนแบบมองซ้าย-ขวา หน้า-หลัง และมองให้ถ้วนถี่แบบปกติเป็นดีที่สุด

นอกจากการขับขี่ที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว วัยรุ่นชาวไซ่ง่อนยังสามารถพลิกแพลงมอเตอร์ไซค์ไปทำอย่างอื่นได้อีกด้วย นั่นก็คือ“สร้างรัก บนเบาะรถ” ซึ่งก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ผมขอเล่าถึงค่านิยมในการแสดงออกทางความรักของชาวไซ่ง่อนเสียหน่อย เพราะการแสดงออกทางความรักของหนุ่มสาวเมืองนี้มันช่างเสรีและเปิดเผยเสียนี่กระไร

เปิดเผยถึงขนาดมีคนเดินผ่านไปผ่านมา พวกเขาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เขินอายหรือหลบลี้หนีหน้าไปแต่อย่างใด เพราะนี่ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับหนุ่มสาวชาวไซ่ง่อนไปแล้ว ซึ่งถึงแม้ว่ายุคหนึ่งรัฐบาลเวียดนามได้สั่งห้ามคู่หนุ่มสาวบรรเลงเพลงรักกันตามสวนสาธารณะ แต่ประธานโทษ งานนี้หนุ่มสาวชาวไซ่ง่อนเขาประท้วงกันยกใหญ่ พร้อมกับให้เหตุผล(จากป้ายประท้วงบางป้ายว่า) “ไปจับคนเยี่ยวกลางถนนดีกว่า คนรักกันไม่ได้ทำให้บ้านเมืองเหม็นฉี่” ทำให้รัฐบาลต้องยอมจำนนและปล่อยเลยตามเลยมาจนถึงทุกวันนี้(บ้านเราแม้จะมีบ้างแต่ว่าไม่เปิดเผยและจะแจ้งเท่านี้)

สำหรับเพลงรักไซ่ง่อนนั้นก็เริ่มจากยามโพล้เพล้ที่หนุ่มสาวๆหลายๆคู่จะทยอยกันขี่มอเตอร์ไซค์ไปยังสวนสาธารณะ แล้วก็จอดรถ หาม้านั่ง หรือมุมเหมาะๆ ข้างๆรถ(เพราะกลัวหาย) จากนั้นก็นั่งหยอกเย้า ปรับทุกข์ ชมนกชมไม้ หรือพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกันเหมือนคู่รักทั่วไป แต่พอความมืดย่างกรายเข้ามาเยือนพวกเขาเริ่มทำตัวสมานฉันท์กันมากขึ้น ไล่ไปตั้งแต่มือเกาะกุม ตัวกอดกันกลมดิก ก่อนที่บางคู่จะสมานฉันท์ริมฝีปากกันอย่างดูดดื่ม

จากนั้นเรื่องราวจะเป็นอย่างไรหรือฉากสุดท้ายจะเป็นอย่างไร บังเอิญว่าผมไม่ได้ไปแอบซุ่มดูเหมือนพวกปาปารัซชี่ แต่ที่เห็นและเล่ามานั้นเกิดจากการสังเกตเห็นและการเดินผ่านไป-มา(หลายรอบ)ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งกลางใจเมืองเท่านั้น ซึ่งดูเหมือนว่าจำนวนที่นั่งและมุมเหมาะๆในสวนแห่งนี้จะไม่เพียงพอต่อความต้องการสร้างรักของหนุ่มสาวหลายๆคู่ โดยเฉพาะพวกที่มาทีหลัง ที่นั่งเต็ม ม้านั่งเต็ม แถมมุมเหมาะๆยังเต็มอีก งานนี้บรรดาคู่รักทั้งหลายก็บ่ยั่นหวั่นไหว และก็ไม่ได้ไปหาสวนสาธารณะแห่งใหม่ที่ไหน หากแต่พวกเขาเลือกที่จะสร้างรัก บนเบาะรถมอเตอร์ไซค์นั่นแหละ

งานนี้ต้องยอมรับว่าพวกเขานี่ทรงตัวเก่งชะมัดยาดเลย ไม่มีแมงกะไซค์คันไหนล้มสักคัน

มีแต่สั่นไหวกับโยกเยกบ้าง...เท่านั้นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น