xs
xsm
sm
md
lg

เลียบเขมรยล"อัลลองเวง"เมืองชายแดน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย:มะเมี้ยะ

บนผืนดินอันแห้งแล้งตามแถบชายแดนของจังหวัดศรีสะเกษ ฉันนั่งจุมปุ๊กอยู่ด้านหลังสุดของรถตู้ ที่ฉวัดเฉวียงไปตามเส้นทางอันเลี้ยวลดคดเคี้ยว เป็นเวลานานนับชั่วโมง เพียงเพื่อมุ่งหน้าไปให้ถึงจุดหมาย นั่นคือ จุดผ่านแดนถาวร ที่ "ด่านช่องสะงำ" อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ "ช่องจวม" อำเภออัลลองเวง จังหวัดอุดรมีชัย ราชอาณาจักรกัมพูชา

รถพาฉันขับผ่านหมู่บ้านชื่อแปลก ที่ดูก็รู้มิใช่ภาษาไทย เช่น บ้านแซไปร์ บ้านละลม แล้วจากนั้นก็นำเข้าสู่เส้นทางที่ตัดผ่านเทือกเขาพนมดงรัก อันเป็นพรมแดนธรรมชาติ กางกั้นกัมพุชประเทศและสยามประเทศออกจากกัน

แม้ว่าปีหนึ่งๆจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย ที่คุ้นชินกับการท่องเที่ยวเลียบเลาะไปตามจังหวัดต่างๆ ที่มีเขตแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อไปจับจ่ายซื้อของกินของใช้ราคาเยา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะมีสักกี่คน ที่จะคิดเข้าไปท่องเที่ยวในเขตจังหวัดริมชายแดนฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเหล่านั้นอย่างเป็นจริงเป็นจังบ้าง

ถึงจะเป็นเพียงแค่เขตชายแดน แต่ก็คือผืนดินของชาติพันธุ์อื่น ลึกเข้าไปย่อมมีสิ่งที่เราไม่เคยพบเห็นอยู่มากมาย และเพราะฉันคิดเช่นนั้น นอกจากต้องการจะข้ามแดนไปเที่ยวชมตลาดชายแดนในฝั่งกัมพูชาแล้ว ฉันยังต้องการเข้าไปสัมผัสให้ลึกกว่านั้น

จึงทำเรื่องขอผ่านแดนเข้าไปยัง อำเภอ"อัลลองเวง"ที่ตั้งอยู่บนดินแดนแห่งกัมพุชประเทศ การเดินทางเข้าไปเมืองอัลลองเวงนั้น เอกสารที่ใช้มีหนังสือเดินทางบวกกับค่าวีซ่ากัมพูชาอีก 30 เหรียญสหรัฐ เนื่องจากฝั่งกัมพูชาไม่อนุญาตให้นำรถจากฝั่งไทยเข้าไป ฉันจึงต้องเปลี่ยนมานั่งรถตู้รับส่งของฝั่งกัมพูชาแทน เพียงเท่านี้ฉันก็เริงร่าอยู่ในแผ่นดินกัมพูชาได้อย่างสบาย

ทันทีที่สัมผัสผืนแผ่นดินอันเป็นอู่อารยะที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก สิ่งแรกที่ฉันต้องตั้งคำถามแก่ตัวเองคือ ใยอากาศที่นี่จึงร้อนแล้งยิ่งนัก ขนาดนั่งอยู่ในรถแท้ๆเพียงแค่มองผ่านกระจกออกไป ก็เห็นชัดว่าช่างเป็นแผ่นดินที่ร้อนระยิบพริบพรายจริงๆ คนที่นี่เขาจะร้อนหรือไม่ฉันไม่แน่ใจ แต่สังเกตว่าแทบทุกบ้านจะมีกันสาดลักษณะคล้ายคลึงกับมูลี่ขึงอยู่ที่ระเบียบกันทั้งนั้น

การมาเที่ยวต่างแดน ถ้าเราอยากเรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนในถิ่นนั้นๆ ที่นึงซึ่งจะช่วยให้เราได้พบเจอและเรียนรู้ผู้คนได้ ก็คือ "ตลาดสด" ครั้งนี้ก็เช่นกัน ตลาดสดของเมืองอัลลองเวง เป็นจุดแรกที่ฉันแวะชม

อันว่าหน้าตาของตลาดสดนั้นก็ไม่ได้ผิดแผก ต่างจากตลาดสดบ้านเราสักเท่าไหร่ มีผัก ปลา ส้มสุกลูกไม้ เต็มไปหมด ที่ต่างกันก็คงเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ที่อย่างไรเสียฉันก็มั่นใจว่าตลาดบ้านเราถูกสุขอนามัยและน่าเดินกว่าเป็นอักโข

ถัดจากตลาดมาไม่ไกลนักยังมี "วงเวียนนกพิราบ"ที่แสดงถึงอิสรภาพของชาวอัลลองเวง ตั้งอยู่วงเวียนนี้เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของเมืองเลยก็ว่าได้ เพราะตั้งอยู่กลางถนนใจกลางอัลลองเวงทีเดียว

ดังคำกล่าวที่ว่า"กองทัพเดินด้วยท้อง"ฉันและเพื่อนพ้องก็เช่นกัน จะให้ก้มหน้าก้มตาเที่ยวอย่างเดียวคงไม่ได้ จึงหาที่แวะพักให้อิ่มท้องก่อนตะลุยอัลลองเวงต่อ ซึ่งร้านอาหารที่เราเลือกก็อยู่จากตลาดไปไม่ไกลนัก ชื่อว่าร้าน "168"ร้านเขาชื่อนี้จริงๆ เจ้าของร้านเป็นชาวกัมพูชา แต่ทว่ากลับสามารถพูดภาษาไทยได้ แม้ไม่แข็งแรงนัก แต่ก็สะดวกกับการสิ่งอาหารของเราเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อมีโอกาสสอบถามถึงรู้ว่าเขาเคยเข้ามาทำงานในบ้านเราหลายปี ก่อนจะเก็บเงินก้อนได้แล้วมาเปิดร้านอาหารที่บ้านเกิด อัธยาศัยไมตรีที่แย้มยิ้มตลอดเวลาของพี่เจ้าของร้าน (ที่ฉันลืมชื่อเสียสนิท) ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พบเห็นได้จากชาวอัลลองเวง

จุดเด่นของร้านอาหารที่เรามานั่งกินข้าวเที่ยงกันนั้น นอกจากเจ้าของร้านจะพูดภาษาไทยได้แล้ว รสชาติอาหารก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ผิดหวัง อาจเป็นเพราะเขารู้ว่าเราเป็นคนไทยจึงปรุงรสแบบไทยๆ หรือ อีกนัยหนึ่งอาหารเขมรกับไทย รสคงใกล้เคียงกัน จนฉันไม่รู้สึกถึงความแตกต่างก็อาจเป็นได้

อีกหนึ่งจุดเด่นที่ฉันมองเห็นจากร้านอาหาร ก็คือบึงน้ำกว้างใหญ่ที่อยู่ติดกับร้านอาหาร พี่เจ้าของร้านพยายามบอกอย่างกระท่อนกระแท่นว่าบึงนี้แหละ คือที่มาของชื่อเมืองอัลลองเวง เพราะอัลลองเวง ถ้าจะแปลเป็นไทย "อัลลอง" ก็คือ ห้วงน้ำ ที่มีความกว้างใหญ่กว่าหนองน้ำ คงคล้ายๆทะเลสาบเล็กๆล่ะมั้ง ส่วนคำว่า "เวง" แปลว่า ยาว เป็นทะเลสาบที่อยู่คู่ชาวเมืองมานาน

ก่อนออกจากร้านเขายังยัดแผนที่ท่องเที่ยว "บ้านนายพลตา ม็อก" และ "ช่องตา ม็อก" ให้ฉันพร้อมทั้งกำชับเป็นมั่นอย่างแข็งขันว่า "ระวังอย่าออกนอกเส้น" เพราะนั้นหมายถึง ชีวิต! แกพูดทิ้งปริศนาให้นางเอกอย่างฉันคอยค้นหาคำตอบเอาเอง

ด้วยความอยากรู้ฉันและเพื่อนๆไม่รอช้า สั่งพลขับให้เร่งรุดหน้าพาไปยังบ้านนายพลตา ม็อก ทันที ฉันวาดฝันไว้ว่าบ้านระดับนายพลแม่ทัพแห่งเขมรแดง อย่างไรเสียก็ต้องใหญ่โตอู้ฟู่ แต่ทันทีที่รถจอดสนิทฉันกลับคิดว่า "ผิดที่แน่ๆ" ก็บ้านนายพลตา ม็อก ที่ฉันเห็นอยู่เบื้องหน้านั้น เป็นเพียงบ้านไม้ยกถุนสูงเก่าๆตั้งอยู่กลางทุ่งนาและติดกับทะเลสาบอัลลองเวงเท่านั้น

แม้จะผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ใช่ดังใจคิด แต่เมื่อถึงที่แล้วจะไม่สำรวจก็ใช่ที่ล่ะ คงเป็นโชคดีของฉันอย่างที่ในคณะครั้งนี้มีมัคคุเทศน์ร่วมเดินทางมาด้วย นอกจากเดินดูนั่นนี่แล้วฉันยังได้รับความรู้มาประเทืองปัญญาอีกเพียบ จากที่รู้จักนายพลท่านนี้เพียงผิวเผิน

ก็ได้รู้เพิ่มเติมว่า อัลลองเวง เดิมนั้นเคยมีความสำคัญในฐานะเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของเขมรแดง นายพลตา ม็อก เป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการรบมาก ที่เขาเลือกสร้างบ้านบริเวณนี้ เพราะยากต่อการซุ่มโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ด้วยมีชัยภูมิที่ได้เปรียบมีน้ำล้อมรอบ(ก็ทะเลสาบอัลลองเวงนั้นล่ะ) อ้อ...ที่นี่เขามีห้องใต้ดินไว้สำหรับหลบระเบิดด้วย เป็นห้องกว้างๆภายในมีห้องน้ำในตัว แต่จากที่เยี่ยมๆมองๆดูฉันว่าเดี๋ยวนี้ไม่น่าจะใช้การได้แล้ว

นายพลตา ม็อก หรือนายพลขาเดียวแห่งเขมรแดงนั้น เพิ่งเสียชีวิตไม่นานนี้ ทำให้การพิพากษาหาตัวผู้กระทำผิดฐานสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่า1.7ล้านคน สมัยเขมรแดงเรืองอำนาจ อาจต้องเป็นหมัน เพราะนายพลตา ม็อก คือผู้นำเขมรแดงคนสุดท้ายที่มีชีวิตอยู่ เมื่อเขาตายก็ไม่รู้จะไปหาตัวการที่ไหน ผู้นำเขมรแดงคนอื่นๆก็ด่วนชิงลาโลกไปหมด

เดินวนดูจนรอบบ้านก็สะดุดใจกับแผนที่ และภาพปราสาทขอมโบราณที่อยู่ชั้นบนของบ้าน ไม่รู้ว่าเขามีไว้เพื่ออะไร ถามใครก็ไม่มีใครรู้จึงสันนิษฐานเอาเองว่า แผนที่น่าจะเอาไว้ใช้เวลาวางแผนส่วนภาพปราสาทขอมโบราณคงมีไว้ประดับกันฝาโล่งเฉยๆมั้ง

จากบ้านนายพลตา ม็อก ขับรถออกมาอีกไม่ไกลเท่าไหร่นัก ก็จะเจอ "เขาช่องตา ม็อก" เพราะการมาที่นี่นั้นเอง ทำให้ฉันตระหนักถึงคนเตือนของพี่เจ้าของร้านอาหารที่ว่า "อย่าออกนอกเส้นทาง" ก็จะอะไรเสียอีกเล่า ตามถนนดินแดงที่เป็นหนทางเดียวเข้าไปสู่ เขาช่องตาม็อก นั้น นอกจากโคลงซ้ายที ขวาที เพราะถนนเป็นหลุมเป็นบ่อแล้ว

เมื่อสายตาอันว่องไวเหลือบแลมองไปข้างทาง ที่เป็นป่ามีต้นไม้สูงตั้งตระหง่านนั้น กลางลำต้นของต้นไม้มีแผ่นเหล็กสีแดงที่มีรูป"หัวกะโหลกไขว้"อยู่แทบจะทุกต้น เท่านั้นก็พอจะนึกออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเผลอออกนอกเส้นทางมีหวังอาจเจอกับระเบิดที่ยังเก็บกู้ไม่หมดก็เป็นได้

แสดงว่าที่แถบนี้คงจะเคยเป็นแนวสู้รบมาก่อน อย่างไม่ต้องสงสัยงานนี้เล่นเอาฉันเสียววาบไปตลอดทาง เมื่อมาถึงเขาช่องตาม็อก ฉันก็ลืมเจ้าหัวกะโหลกไขว้เสียสนิท เมื่อได้มาสูดอากาศบริสุทธิ์ ที่นี่จะเปรียบไปก็คงคล้ายกับผาหล่มสักที่ภูกระดึง

ทิวทัศน์ก็งดงามเพราะตั้งอยู่ในมุมสูง สามารถมองเห็นเมืองอัลลองเวงได้ทั่ว ที่ได้ชื่อว่าเขาช่องตาม็อกเพราะเคยเป็นจุดสังเกตการณ์และเป็นจุดสู้รบของเขมรแดงภายใต้การนำของนายพลตา ม็อก มาก่อน เลยตั้งไว้เป็นเกียรติ จะว่าไปนายพลคนนี้แม้โลกจะรู้จักเขาในนามอาชญากรผู้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หากชาวอัลลองเวงส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อว่าเขาเป็นคนดีและเชื่อว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์กันอยู่ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่สถานที่ต่างๆในเมืองนี้จะเกี่ยวข้องกับเขา

ชมวิวยืนรับลมที่เขาช่องตาม็อกอย่างเพลินๆ ก็ได้สัญญาณจากพวกพ้องว่าได้เวลาอันสมควรกลับเข้าฝั่งไทยได้แล้ว ฉันกวาดตามองอัลลองเวงจากมุมสูงอีกครั้งเป็นการบอกลา ก่อนจะกลับขึ้นไปนั่งรถเพื่อกลับแผ่นดินไทย พลัน! สติก็กลับหวนระลึกได้ว่า

"อ้าว...ขากลับต้องผ่านเจ้ากะโหลกไขว้อีกนี่นา"

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ระยะทางจาก อ.เมืองศรีสะเกษถึงช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ ประมาณ 105 กิโลเมตร เอกสารที่ใช้ในการผ่านแดนเข้าไปเมืองอัลลองเวงมีหนังสือเดินทางกับค่าวีซ่ากัมพูชา 30 เหรียญสหรัฐ ยังไม่อนุญาตให้นำรถข้ามแดนไปวิ่งในกัมพูชา ต้องใช้เหมารถแท็กซี่หรือรถตู้ของกัมพูชาเท่านั้น

กำลังโหลดความคิดเห็น