xs
xsm
sm
md
lg

ยลเมืองบั้งไฟ เที่ยวสุขใจในถิ่น"ยโสธร"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"มาทำไมให้อายบ้านนาเล่านวลน้อง... ไม่ต้องกลับคืนมา... วันจะไปไม่ลาหนีหน้าไปกับหนุ่มเมืองหลวง... ทิ้งคนข้างหลังนั่งน้ำตาร่วง... มันเจ็บในทรวงพุ่มพวงรู้หรือเปล่า..."

เมื่อมีเหตุให้ต้องจรลีไปยังจังหวัดยโสธร "ผู้จัดการท่องเที่ยว"ก็เลยอดไม่ได้ที่จะต้องฮำเพลง"กลับมาทำไม"จากภาพยนตร์เรื่อง"แหยม ยโสธร"ที่ขับร้องโดย"หม่ำ จ๊กมก"ตลกชื่อดังแห่งยุค เพื่อให้สอดรับกับบรรยากาศการเที่ยวเมืองบั้งไฟในทริปนี้

แม้การมายโสธรของเราจะไม่ใช่ช่วงเทศกาลงานบุญบั้งไฟ แต่ก็ใช่ว่าเราจะหมดหนทางท่องเที่ยวในจังหวัดนี้เอาเสียเลย เพราะนอกจากเทศกาลบั้งไฟแล้ว ยโสธรยังมีสิ่งที่น่าค้นหาโดยเฉพาะวัดวาอารามให้เที่ยวชมได้ในหลายจุดด้วยกัน

เริ่มจากวัดแรกคือ"วัดมหาธาตุ" ซึ่งตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมือง วัดนี้เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่สร้างเมืองยโสธร ภายในวัดมีทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุให้กราบไหว้สักการะด้วยกันหลายสิ่ง

ไม่ว่าจะเป็น"พระพุทธบุษยรัตน์"หรือพระแก้วหยดน้ำค้าง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิศิลปะสมัยเชียง ซึ่งก็ถือเป็นพระบูชาคู่บ้านคู่เมืองของยโสธร ที่รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าพระราชทานให้พระสุนทรราชวงศา เจ้าเมืองยโสธรคนแรก

เมื่อสักการะพระพุทธบุษยรัตน์เสร็จแล้ว ก็ไม่ควรลืมถือธูปเทียนติดมือมาเพื่อสักการะ"พระธาตุยโสธร"หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า"พระธาตุอานนท์" ซึ่งเป็นพระธาตุที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถของวัดมหาธาตุ

ลักษณะของพระธาตุจะมีฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 8 เมตร ก่ออิฐถือปูน เอวฐานคอดเป็นรูปบัวคว่ำ บัวหงาย เหนือขึ้นไปเป็นเรือนธาตุมีซุ้ม 4 ทิศ ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืน

ส่วนยอดธาตุมียอดปลีเล็กแซมทั้ง 4 ด้าน ยอดกลางทรงสี่เหลี่ยมสอบมี 2 ชั้น รูปแบบการก่อสร้างคล้ายกับพระธาตุก่องข้าวน้อย ส่วนยอดคล้ายคลึงกับพระธาตุพนม ภายในพระธาตุบรรจุอัฐิธาตุของพระอานนท์ และเป็นเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีพระอัฐิธาตุของพระอานนท์

ส่วนการก่อสร้างนั้นได้รับอิทธิพลศิลปะลาว ที่นิยมสร้างขึ้นสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ประวัติการสร้างยังมีความขัดแย้งกันอยู่ บ้างก็ว่าสร้างขึ้นพร้อมการตั้งเมืองราวพ.ศ.2321

บ้างก็ว่าสร้างเมื่อพ.ศ.1218 โดยนำพระอัฐิธาตุของพระอานนท์มาจากเมืองเทวนคร ประเทศอินเดีย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นวัดและชาวบ้านก็จะพร้อมใจกันจัดงานสมโภชพระธาตุอานนท์เป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนมีนาคม

ก่อนออกจากวัดมหาธาตุพลันสายตาก็ไปประสบพบเจอ"หอไตร"ที่ตั้งอยู่กลางน้ำ ดูด้วยตาก็รู้ได้ว่าคงผ่านแดดผ่านฝนมาไม่น้อยทีเดียว จะเรียกว่าเป็นความโชคดีของ"ผู้จัดการท่องเที่ยว"ก็ได้ เพราะได้มีโอกาสพูดคุยกับ อ.แสงสุรีย์ หัวหน้ากลุ่มอำนวยการและกิจการคณะสงฆ์ของจังหวัดยโสธร ที่บังเอิญมาเที่ยวที่วัดมหาธาตุพอดิบพอดี

เลยได้รู้เรื่องราวของหอไตรแห่งนี้ว่า เป็นที่ใช้เก็บคัมภีร์ใบลานของวัด ตั้งอยู่ตรงกลางสระทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระธาตุ รูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลักษณะการก่อสร้างเป็นแบบหอไตรภาคอีสานทั่วไป มีทางเดินโดยรอบติดกัน

สำหรับหอไตรแห่งนี้ทางวัดใช้เป็นที่เก็บรักษาตู้พระธรรม หีบพระธรรม เสลี่ยง ชั้นวางคัมภีร์ ซึ่งนำมาจากเวียงจันทร์ที่ซุ้มประตูและบานประตูไม้สลักลวดลายเครือเถาลงรักปิดทองอย่างสวยงาม แม้แต่หัวบั้งไฟเก่าแก่ก็ถูกรักษาไว้ที่นี่ อย่างลวดลายการตกแต่งฝาผนังก็จะมีลักษณะผสมผสานแบบภาคกลาง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยรัชกาลที่4-5แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ออกจากวัดมหาธาตุมา อ.แสงสุรีย์ก็แนะนำว่า ให้ไปยลศิลปะความงามของพระธาตุอีกแห่งคือ"พระธาตุก่องข้าวน้อย"ซึ่งเป็นเจดีย์เก่าแก่สมัยขอม สร้างในพุทธศตวรรษที่ 23-25 ตั้งอยู่ในทุ่งนา ต.ตาดทอง อ.เมือง ห่างจากตัวจังหวัดไปประมาณ 9 กิโลเมตร

พระธาตุก่องข้าวน้อย เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงแปลกไปจากเจดีย์โดยทั่วไป คือ มีลักษณะเป็นก่องข้าว องค์พระธาตุเป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมมุมไม้สาม ฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ 2 เมตร ก่อสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร ช่วงกลางขององค์พระธาตุมีลวดลายทำเป็นซุ้มประตูทั้งสี่ด้าน

ถัดจากช่วงนี้เป็นส่วนยอดของเจดีย์ที่ค่อยๆสอบเข้าหากัน ส่วนยอดรอบนอกของพระธาตุก่องข้างน้อย มีกำแพงอิฐล้อมรอบ นอกจากนี้บริเวณด้านหลังของพระธาตุมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งก่อด้วยอิฐ ชาวบ้านนับถือว่าศักดิ์สิทธ์มาก ในเดือนห้าจะมีผู้คนนิยมมาสรงน้ำพระและปิดทอง ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ฝนจะแล้งในปีนั้น

ด้านความเป็นมาของพระธาตุก่องข้าวน้อย เชื่อว่าหลายๆคนคนเคยได้ยินตำนานที่เล่าต่อๆกันมาบ้างว่า มีหนุ่มชาวนาคนหนึ่งที่ทำนาตั้งแต่เช้าถึงเพลจนเกิดอาการหิวท้องกิ่ว หน้ามืดตามัว เมื่อมารดาของเขานำข้าวกล่องน้อย มาส่งสายกว่าปกติ อารมณ์ชั่ววูบจึงทำให้เขากระทำมาตุฆาตมารดาของตน
ด้วยสาเหตุเพียงแค่ว่าข้าวที่เอามาส่งดูจะน้อยไปไม่พอกิน ครั้นเมื่อกินข้าวอิ่มแล้วข้าวยังไม่หมด จึงได้สติคิดสำนึกผิดที่กระทำรุนแรงแก่มารดาของตนเองจนถึงแก่ความตาย จึงได้สร้างพระธาตุแห่งนี้ขึ้น เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลขออโหสิกรรมและล้างบาปที่ตนได้กระทำแก่มารดา

ไหว้พระธาตุอิ่มบุญมาถึงสองแห่ง ก็ต้องขอเบรกด้วยการกลับเข้าตัวเมืองยโสธร เดิมตั้งใจว่าจะนั่งสามล้อชมให้รอบเมือง แต่ก็ต้องมาหยุดชะงักอยู่ที่แถบชุมชน"บ้านสิงห์ท่า"ภายในเขตเทศบาลเมือง ทราบมาว่าที่นี้เป็นย่านเมืองเก่า สร้างขึ้นเมื่อยุคสมัยที่ชาวจีนเข้ามาค้าขายในยโสธรรุ่นแรกๆ

บ้านเรือนแถบนี้ทั้งหมดมีลักษณะเป็นตึกอิฐดินเหนียว มีรูปแบบศิลปะแบบจีนผสมยุโรปมีบานประตูและหน้าต่างเป็นไม้เนื้อแข็ง บางแห่งปัจจุบันเป็นร้านขายของชำ แต่เหนือขึ้นไประหว่างตัวตึกมีข้อความหนึ่งปรากฏอยู่เขียนว่า"สมักขสถาน" ที่มาจากคำว่า"Smokeสถาน" หรือที่คนรุ่นเก่ารู้จักกันว่าเป็น "โรงฝิ่น"นั่นเอง

ไหนๆแวะมาเที่ยวชุมชนบ้านสิงห์ท่าแล้วพลาดการเที่ยวชมศูนย์กลางชุมชนอย่างวัดก็คงใช่ที่ เลยแวะเวียนไปเที่ยวที่ "วัดสิงห์ท่า" ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก วัดสิงห์ท่านี้ก็มีความสำคัญอยู่ไม่น้อยทีเดียว เห็นได้จากร่องรอยโบราณสถานและประวัติศาสตร์ที่ระบุว่า การก่อตั้งเมืองยโสธรเริ่มที่วัดสิงห์ท่าแห่งนี้

เหตุที่ชื่อวัดสิงห์ท่า เพราะในอดีตมีการขุดพบสิงห์หินและพระพุทธรูปใหญ่อยู่ในดง ที่บริเวณวัดสิงห์ท่าปัจจุบัน ซึ่งพระพุทธรูปโบราณใหญ่องค์นี้เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ก่ออิฐฉาบปูนลงรักปิดทอง ขนาดหน้าตัดกว้าง 3 เมตรเศษ เป็นพระประธานของทางวัดสิงห์ท่า ที่ชาวยโสธรจะจัดให้มีการสรงน้ำหลังสงกรานต์เป็นประจำทุกปี

ตามความตั้งใจเดิมนั้นคิดไว้ว่าจะไหว้พระที่วัดท่าสิงห์เป็นจุดสุดท้าย แต่ด้วยความที่เคยได้ยินกิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของ "วัดพระพุทธบาทยโสธร"ซึ่งตั้งอยู่ที่ บ้านหนองยาง ตำบลหัวเมือง อำเภอมหาชนะชัย ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปทางทิศตะวันตก 6 กิโลเมตร ห่างจากตังจังหวัดยโสธรไป 47 กิโลเมตร จึงอดใจไม่ไหวขอไปไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยที่นั้น เป็นจุดสุดท้ายก่อนจากจังหวัดยโสธรก็แล้วกัน

ที่วัดแห่งนี้เคยมีผู้หลักผู้ใหญ่ของเมืองไทยหลายท่านที่แวะเวียนมาสักการะ คนหนึ่งที่มาแล้วเป็นข่าวก็ พลตำรวจเอกโกวิทย์ วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั่นไง ส่วนรายละเอียดของข่าวเป็นอย่างไร ก็คงต้องลองไปค้นข้อมูลช่วงที่ท่านอยู่ในตำแหน่งกันเอาเอง

ที่วัดแห่งนี้มีสิ่งอันเป็นมงคลหลายประการ ทั้งรอย "พระพุทธบาทยโสธร"ซึ่งเป็นรอยพระพุทธบาทจำลอง ประดิษฐานอยู่บนเนินทรายขาวสูง ด้านบนฝ่าพระบาทสลักลวดลายมงคลคาถา 108 บริเวณเดียวกันนี้ยังมีโบราณวัตถุได้แก่ พระพุทธรูปปางนาคปรกศิลาแลง และหลักศิลาจารึกอักษรไทยน้อย 1 หลัก และยังมีเจดีย์สำหรับเก็บพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย

เห็นหรือยังล่ะว่าเที่ยวยโสธรไม่จำเป็นต้องมาเฉพาะช่วงเทศกาลงานบุญบั้งไฟเท่านั้น หากแต่ในวันอื่นๆเมืองบั้งไฟแห่งนี้ก็ยังมีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างรอให้ผู้ที่สนใจได้ไปเที่ยวชมกัน

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดยโสธร เพิ่มเติมได้ที่ททท.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 2 โทร.0-4524-3770,0-4525-0714 
 
ที่พัก          การเดินทาง     เทศกาลและงานประเพณี
กำลังโหลดความคิดเห็น