โดย : หนุ่มลูกทุ่ง

กระแสเรื่องการสืบสวนสอบสวนกรณีนพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ยังคงเป็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ ที่มีผู้คนพูดถึงกันอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เชื่อว่าทางผู้ที่เกี่ยวข้องคงจะคลี่คลายได้ในไม่ช้า ทว่าหลังเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็ส่งผลให้สังคมไทย หันมาสนใจเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพจิต โรคจิต โรคประสาท และโรคบ้า กันมากขึ้น
สำหรับฉันหลังติดตามจากข่าวที่ปรากฏ ทำให้ฉันเกิดความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับอาการที่ถูกเรียกว่าเป็น"คนบ้า" นั้นจริงๆแล้วมันเป็นเช่นไร เมื่อความสงสัยจุกอก หากไม่ได้คลี่คลาย อากาศที่ร้อนระยับเช่นนี้อาจจะทำให้ฉันเกิดบ้าขึ้นมาจริงๆก็ได้ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงตัดสินใจเดินทางมายัง"โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา"ซึ่งเป็นโรงพยาบาลทางจิตเวชแห่งแรกของเมืองไทย

โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.5) ด้วยทรงเล็งเห็นปัญหาความเจ็บป่วยของประชาชนเป็นเรื่องด่วนต้องรีบดำเนินการจึงทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะคอมมิตตีจัดตั้งโรงพยาบาลทันสมัยขึ้น และประกาศตั้งโรงพยาบาลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2432
กระทั่งในสมัย นายแพทย์หทัย ชิตานนท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา (พ.ศ.2514-2527) ได้เล็งเห็นว่าประวัติศาสตร์ของจิตเวชศาสตร์ไทยได้เริ่มต้นขึ้นที่นี่เป็นแห่งแรก เป็นแม่แบบการจิตเวชอย่างแท้จริง สมควรที่จะรวบรวมประวัติ วิวัฒนาการของงานและโรงพยาบาลไว้ จึงได้จัดตั้ง "พิพิธภัณฑ์โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา"ขึ้น เพื่อเก็บรวบรวมเครื่องมือเครื่องใช้โบราณที่เคยใช้อยู่ในโรงพยาบาลมาจัดแสดงไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป
เมื่อฉันเดินมาถึงยังบริเวณพิพิธภัณฑ์รู้สึกได้ถึงความร่มรื่นร่มเย็นด้วยแมกไม้โบราณนานาพันธุ์ เช่น ต้นอิน ต้นจัน ด้านข้างในสวนป่าแห่งนี้มี "อนุสาวรีย์ ศาสตราจารย์นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว บิดาแห่งจิตเวชศาสตร์" ฉันเดินผ่านเหล่าต้นไม้สูงใหญ่ในสวนป่ามาถึงหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ที่เป็นรูปแบบตะวันตกขนาดใหญ่ 1 หลัง ที่แรกเริ่มเดิมทีเคยเป็นที่พักของท่านเจ้าของเดิม คือเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) หรือที่เรียกกันว่า เจ้าคุณทหาร
ก่อนเข้าสู่ภายในอาคารฉันสังเกตเห็นว่าตรงบันไดทางเข้ามีตัวอับเฉา ตั้งอยู่หลายตัว เจ้าหน้าที่เล่าพลางพาฉันเดินเข้าสู่ตัวตึกพิพิธภัณฑ์ว่าแต่เดิมด้านหน้าของโรงพยาบาลเป็นคลอง มีเรือสำเภาจีนผ่านไปผ่านมา และบรรทุกตัวอับเฉาเพื่อถ่วงเรือมา เมื่อเดินทางกลับบรรทุกข้าวของกลับไป จึงได้ทิ้งพวกตัวอับเฉาไว้ โรงพยาบาลจึงเอามาตั้งไว้ ทำให้โรงพยาบาลนี้มีตัวอับเฉาอยู่เยอะ

เมื่อเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ ฉันเจอห้องโถงไว้รับแขกเป็นห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราสวยงาม ตรงกลางมีรูปรัชกาลที่ 5 ด้านข้างผนังทั้งสองด้านมีรูป "บิดาแห่งจิตเวชศาสตร์ไทย" คือศาสตราจารย์นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว และผู้อำนวยการคนไทยคนแรกของโรงพยาบาล ซึ่งก็คือศาตราจารย์หลวงวิเชียร แพทยาคม ห้องด้านข้างแบ่งเป็นห้องเล็ก 3 ห้อง ใช้เป็นห้องรับประทานอาหาร ที่ดูหรูหราโอ่อ่าสมกับที่เคยเป็นบ้านพักของเจ้าขุนมูลนายในอดีตจริงๆ
หลังจากเดินชมชั้นล่างแล้ว ฉันขึ้นบันได้ไปยังชั้นบนซึ่งเป็นส่วนที่จัดแสดง พื้นที่บนชั้น 2 แบ่งห้องออกเป็น 4 ห้อง เจ้าหน้าที่พาฉันเดินมายังห้องแรก ภายในมีสิ่งของเครื่องใช้ และเครื่องมือเกี่ยวกับการรักษาในสมัยก่อน เช่นเครื่องโรเนียวเครื่องแรกของโรพยาบาลอายุ 100 กว่าปี เครื่องออกซิเจนสนาม เครื่องผ่าตัดสมองด้วยความเย็น เครื่องรักษาด้วยไฟฟ้า เครื่องกระตุ้นด้วยเสียง เครื่องดมยา เครื่องใช้ในครัว รูปอาคารต่างๆในสมัยก่อนด้วย
และที่ห้องนี้ยังบอกถึงชื่อโรงพยาบาลและรายชื่อผู้อำนวยการตั้งแต่แรกตั้งด้วย โดยเริ่มแรกโรงพยาบาลนี้ใช้ชื่อว่า"โรงพยาบาลคนเสียจริต" ซึ่งฉันว่าฟังดูแล้วรู้สึกน่ากลัวทีเดียวและหลายคนก็คงคิดเหมือนฉัน จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อมาเป็นโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ตามชื่อของสถานที่ตั้งที่ตั้งอยู่บนถนนสมเด็จเจ้าพระยา และเมื่อมีการปฏิรูประบบราชการเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งมาเป็น"สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา" เพื่อให้รับกับภาระงาน
จากห้องแรกฉันเดินต่อมายังห้องที่ 2 ภายในจัดแสดงรูปของท่านเจ้าของบ้านเดิม อาจารย์คุณหมอ และคณะคอมมิตตีจัดตั้งโรงพยาบาล ภาพของโรงพยาบาลสมัยก่อน พระรูปของ ร.5 ราชกิจจานุเบกษา ระฆังใบใหญ่ที่ไว้ใช้บอกเวลาในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่เล่าว่าในสมัยก่อนย่านนี้ยังไม่ค่อยมีนาฬิกากันสักเท่าใด ก็จะอาศัยเสียงระฆังในโรงพยาบาลเป็นการบอกเวลา เล่ากันว่าเสียงระฆังใบนี้ดังไปถึงเยาวราชเลยทีเดียว ซึ่งฉันก็คิดว่าน่าจะดังเอาเรื่อง เพราะเยาวราชถึงจะไม่ได้อยู่ห่างไกลจากที่นี่นัก แต่ก็ไม่ถึงกับใกล้จนเดินเท้าไปได้อย่างสบายๆเช่นกัน

นอกจากนั้น ภายในห้องนี้ยังมีตู้แสดงถ้วยชามในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และถ้วยสำหรับกรอกยาคนไข้ และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ รูปแสดงถึงความสำคัญของอาคารเก่าแก่หลังนี้ จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานกับกรมศิลปากร และยังได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นปี พ.ศ.2530 จากสมาคมสถาปนิกด้วย
ถัดไปเป็นห้องที่ 3 ที่ฉันถือว่าเป็นห้องไฮไลท์เลยทีเดียว เนื่องจากห้องนี้มีหุ่นจำลองลักษณะอาการของคนไข้ เช่น ในสมัยก่อนมีความเชื่อเรื่องของการบำบัดด้วยน้ำ ถ้าคนไข้หงุดหงิดอาการไม่ดีจะให้ลงไปอยู่ในอ่าง แล้วใช้ผ้าปิดปกคลุมอ่างไว้ทั้งหมดโผล่มาแต่หัวของคนไข้ เพื่อกันไม่ให้คนไข้ลุกขึ้นมาอาระวาด แล้วจะใช้น้ำเย็นกับน้ำอุ่นสลับกัน โดยเชื่อว่า น้ำจะช่วยให้คนไข้หายหงุดหงิดและผ่อนคลาย แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกวิธีรักษาแบบนี้ไปแล้ว เนื่องจากตัวยาทางด้านจิตเวชมีมากขึ้น และผลของยาก็ได้ผลมากขึ้น

ในห้องนี้ยังได้จำลองลักษณะอาการทางจิตเวชอื่นๆที่คนไข้มักแสดงออกมา เช่น การแยกตัวอยู่ทางใต้ต้นไม้บ้าง นั่งก้มหน้าก้มตาไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นบ้าง หรือเป็นการจำลองการใช้ห้องแยกเพื่อเป็นการจำกัดพฤติกรรมคนไข้ที่ควบคุมตนเองไม่ได้ เดินแปะปะไปทั่ว ซึ่งถ้าเขาเดินไปชนคนไข้ที่หงุดหงิดง่ายอารมณ์แปรปรวนไม่ปกติ ก็อาจเป็นอันตราแก่ตนเองอาจถูกทุบ ถูกต่อยได้ และทุกวันนี้ก็ยังคงมีการใช้วิธีนี้อยู่
หุ่นจำลองอีกแบบหนึ่งแสดงถึงการให้คนไข้นอนบนเตียงและมัดทั้งตัว วิธีนี้จะใช้ในส่วนคนไข้ที่เอะอะอาละวาดทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตนเอง ก็ต้องมัดไว้เพื่อที่คนไข้จะได้ไม่ทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายใครได้ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงใช้วิธีนี้เพียงแต่จะมัดแค่แขนและขา ไม่มัดทั้งตัวแบบแต่ก่อน เมื่อฉันเห็นหุ่นจำลองลักษณะอาการต่างๆนี้แล้วรู้สึกกลัวๆจนขนลุก แต่ก็รู้สึกสงสารพวกเขาในขณะเดียวกัน
ระหว่างที่ดูหุ่นจำลองเจ้าหน้าที่บอกถึงวิธีการควบคุมคนไข้ให้ฉันฟังว่า แต่ก่อนจะใช้ในลักษณะที่เรียกว่า อินซูลินช็อต โดยปกติคนเราเวลาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจะหมดแรงเป็นลม ในสมัยก่อนเชื่อว่า ถ้าฉีดอินซูลินเข้าไปจะทำให้คนไข้มีน้ำตาลในเลือดน้อย คนไข้จะเกิดอาการที่สงบขึ้นและหยุดอาละวาดได้ อีกวิธีก็คือการใช้ยานัด โดยการพ่นให้คนไข้รู้สึกมึนและหยุดอาละวาดได้ในที่สุด

จากวิธีบำบัดที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีการบำบัดแบบอาชีวะบำบัดซึ่งเป็นเหมือนการฝึกอาชีพ เมื่อคนไข้ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสำเร็จเขาจะเกิดความภาคภูมิใจ เป็นการเสริมสร้างให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าขึ้น นอกจากนั้นภายในห้องนี้ยังมีการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเรื่องจิตเวชและประสาทวิทยาศาสตร์ด้วย
และห้องสุดท้ายที่ฉันได้ชม เป็นห้องที่แสดงพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และราชวงศ์ พร้อมทั้งยังมีพระพุทธรูปให้ฉันได้กราบไหว้ขอบคุณที่ฉันเกิดมาเป็นปกติครบ 32 ประการ ซึ่งฉันถือว่าเป็นบุญยิ่งนัก และก็ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่อธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ฉันได้รับความรู้และความเข้าใจอย่างท่วมท้น
ในอดีตโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา หรือ"บ้านหลังคาแดง" (เพราะสมัยก่อนมีหลังคาเป็นสีแดง) แห่งนี้ไม่มีใครอยากเฉียดกรายเข้าไป เพราะฝังใจว่าสถานที่นี้คือที่อยู่ของ "คนบ้า"แต่ในความเป็นจริงแล้วฉันอยากให้ทุกท่านได้สร้างทัศนคติที่ถูกต้องว่า "คนบ้า" นั้นสามารถรักษาได้ ซึ่งการได้เที่ยวชมในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ นอกจากจะทำให้ฉันได้รับรู้ในวิวัฒนาการของวงการจิตเวชบ้านเราแล้ว ฉันยังรับรู้ว่าเรื่องสุขภาพจิตและเรื่องจิตเวชนั้นปัจจุบันไม่ใช่เรื่องไกลตัวของคนไทยอีกต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เลขที่ 112 ถ.สมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน กรุงเทพฯ เวลาทำการ09.00-15.00 น. เว้นวันหยุดราชการ การเข้าชมต้องทำจดหมายขออนุญาตกับทางโรงพยาบาลก่อนเข้าชม สอบถามโทร 0-2437-1298, 0-2437-0200 ต่อ 4114,4115
กระแสเรื่องการสืบสวนสอบสวนกรณีนพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ยังคงเป็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ ที่มีผู้คนพูดถึงกันอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เชื่อว่าทางผู้ที่เกี่ยวข้องคงจะคลี่คลายได้ในไม่ช้า ทว่าหลังเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็ส่งผลให้สังคมไทย หันมาสนใจเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพจิต โรคจิต โรคประสาท และโรคบ้า กันมากขึ้น
สำหรับฉันหลังติดตามจากข่าวที่ปรากฏ ทำให้ฉันเกิดความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับอาการที่ถูกเรียกว่าเป็น"คนบ้า" นั้นจริงๆแล้วมันเป็นเช่นไร เมื่อความสงสัยจุกอก หากไม่ได้คลี่คลาย อากาศที่ร้อนระยับเช่นนี้อาจจะทำให้ฉันเกิดบ้าขึ้นมาจริงๆก็ได้ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงตัดสินใจเดินทางมายัง"โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา"ซึ่งเป็นโรงพยาบาลทางจิตเวชแห่งแรกของเมืองไทย
โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.5) ด้วยทรงเล็งเห็นปัญหาความเจ็บป่วยของประชาชนเป็นเรื่องด่วนต้องรีบดำเนินการจึงทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะคอมมิตตีจัดตั้งโรงพยาบาลทันสมัยขึ้น และประกาศตั้งโรงพยาบาลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2432
กระทั่งในสมัย นายแพทย์หทัย ชิตานนท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา (พ.ศ.2514-2527) ได้เล็งเห็นว่าประวัติศาสตร์ของจิตเวชศาสตร์ไทยได้เริ่มต้นขึ้นที่นี่เป็นแห่งแรก เป็นแม่แบบการจิตเวชอย่างแท้จริง สมควรที่จะรวบรวมประวัติ วิวัฒนาการของงานและโรงพยาบาลไว้ จึงได้จัดตั้ง "พิพิธภัณฑ์โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา"ขึ้น เพื่อเก็บรวบรวมเครื่องมือเครื่องใช้โบราณที่เคยใช้อยู่ในโรงพยาบาลมาจัดแสดงไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป
เมื่อฉันเดินมาถึงยังบริเวณพิพิธภัณฑ์รู้สึกได้ถึงความร่มรื่นร่มเย็นด้วยแมกไม้โบราณนานาพันธุ์ เช่น ต้นอิน ต้นจัน ด้านข้างในสวนป่าแห่งนี้มี "อนุสาวรีย์ ศาสตราจารย์นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว บิดาแห่งจิตเวชศาสตร์" ฉันเดินผ่านเหล่าต้นไม้สูงใหญ่ในสวนป่ามาถึงหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ที่เป็นรูปแบบตะวันตกขนาดใหญ่ 1 หลัง ที่แรกเริ่มเดิมทีเคยเป็นที่พักของท่านเจ้าของเดิม คือเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) หรือที่เรียกกันว่า เจ้าคุณทหาร
ก่อนเข้าสู่ภายในอาคารฉันสังเกตเห็นว่าตรงบันไดทางเข้ามีตัวอับเฉา ตั้งอยู่หลายตัว เจ้าหน้าที่เล่าพลางพาฉันเดินเข้าสู่ตัวตึกพิพิธภัณฑ์ว่าแต่เดิมด้านหน้าของโรงพยาบาลเป็นคลอง มีเรือสำเภาจีนผ่านไปผ่านมา และบรรทุกตัวอับเฉาเพื่อถ่วงเรือมา เมื่อเดินทางกลับบรรทุกข้าวของกลับไป จึงได้ทิ้งพวกตัวอับเฉาไว้ โรงพยาบาลจึงเอามาตั้งไว้ ทำให้โรงพยาบาลนี้มีตัวอับเฉาอยู่เยอะ
เมื่อเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ ฉันเจอห้องโถงไว้รับแขกเป็นห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราสวยงาม ตรงกลางมีรูปรัชกาลที่ 5 ด้านข้างผนังทั้งสองด้านมีรูป "บิดาแห่งจิตเวชศาสตร์ไทย" คือศาสตราจารย์นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว และผู้อำนวยการคนไทยคนแรกของโรงพยาบาล ซึ่งก็คือศาตราจารย์หลวงวิเชียร แพทยาคม ห้องด้านข้างแบ่งเป็นห้องเล็ก 3 ห้อง ใช้เป็นห้องรับประทานอาหาร ที่ดูหรูหราโอ่อ่าสมกับที่เคยเป็นบ้านพักของเจ้าขุนมูลนายในอดีตจริงๆ
หลังจากเดินชมชั้นล่างแล้ว ฉันขึ้นบันได้ไปยังชั้นบนซึ่งเป็นส่วนที่จัดแสดง พื้นที่บนชั้น 2 แบ่งห้องออกเป็น 4 ห้อง เจ้าหน้าที่พาฉันเดินมายังห้องแรก ภายในมีสิ่งของเครื่องใช้ และเครื่องมือเกี่ยวกับการรักษาในสมัยก่อน เช่นเครื่องโรเนียวเครื่องแรกของโรพยาบาลอายุ 100 กว่าปี เครื่องออกซิเจนสนาม เครื่องผ่าตัดสมองด้วยความเย็น เครื่องรักษาด้วยไฟฟ้า เครื่องกระตุ้นด้วยเสียง เครื่องดมยา เครื่องใช้ในครัว รูปอาคารต่างๆในสมัยก่อนด้วย
และที่ห้องนี้ยังบอกถึงชื่อโรงพยาบาลและรายชื่อผู้อำนวยการตั้งแต่แรกตั้งด้วย โดยเริ่มแรกโรงพยาบาลนี้ใช้ชื่อว่า"โรงพยาบาลคนเสียจริต" ซึ่งฉันว่าฟังดูแล้วรู้สึกน่ากลัวทีเดียวและหลายคนก็คงคิดเหมือนฉัน จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อมาเป็นโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ตามชื่อของสถานที่ตั้งที่ตั้งอยู่บนถนนสมเด็จเจ้าพระยา และเมื่อมีการปฏิรูประบบราชการเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งมาเป็น"สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา" เพื่อให้รับกับภาระงาน
จากห้องแรกฉันเดินต่อมายังห้องที่ 2 ภายในจัดแสดงรูปของท่านเจ้าของบ้านเดิม อาจารย์คุณหมอ และคณะคอมมิตตีจัดตั้งโรงพยาบาล ภาพของโรงพยาบาลสมัยก่อน พระรูปของ ร.5 ราชกิจจานุเบกษา ระฆังใบใหญ่ที่ไว้ใช้บอกเวลาในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่เล่าว่าในสมัยก่อนย่านนี้ยังไม่ค่อยมีนาฬิกากันสักเท่าใด ก็จะอาศัยเสียงระฆังในโรงพยาบาลเป็นการบอกเวลา เล่ากันว่าเสียงระฆังใบนี้ดังไปถึงเยาวราชเลยทีเดียว ซึ่งฉันก็คิดว่าน่าจะดังเอาเรื่อง เพราะเยาวราชถึงจะไม่ได้อยู่ห่างไกลจากที่นี่นัก แต่ก็ไม่ถึงกับใกล้จนเดินเท้าไปได้อย่างสบายๆเช่นกัน
นอกจากนั้น ภายในห้องนี้ยังมีตู้แสดงถ้วยชามในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และถ้วยสำหรับกรอกยาคนไข้ และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ รูปแสดงถึงความสำคัญของอาคารเก่าแก่หลังนี้ จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานกับกรมศิลปากร และยังได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นปี พ.ศ.2530 จากสมาคมสถาปนิกด้วย
ถัดไปเป็นห้องที่ 3 ที่ฉันถือว่าเป็นห้องไฮไลท์เลยทีเดียว เนื่องจากห้องนี้มีหุ่นจำลองลักษณะอาการของคนไข้ เช่น ในสมัยก่อนมีความเชื่อเรื่องของการบำบัดด้วยน้ำ ถ้าคนไข้หงุดหงิดอาการไม่ดีจะให้ลงไปอยู่ในอ่าง แล้วใช้ผ้าปิดปกคลุมอ่างไว้ทั้งหมดโผล่มาแต่หัวของคนไข้ เพื่อกันไม่ให้คนไข้ลุกขึ้นมาอาระวาด แล้วจะใช้น้ำเย็นกับน้ำอุ่นสลับกัน โดยเชื่อว่า น้ำจะช่วยให้คนไข้หายหงุดหงิดและผ่อนคลาย แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกวิธีรักษาแบบนี้ไปแล้ว เนื่องจากตัวยาทางด้านจิตเวชมีมากขึ้น และผลของยาก็ได้ผลมากขึ้น
ในห้องนี้ยังได้จำลองลักษณะอาการทางจิตเวชอื่นๆที่คนไข้มักแสดงออกมา เช่น การแยกตัวอยู่ทางใต้ต้นไม้บ้าง นั่งก้มหน้าก้มตาไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นบ้าง หรือเป็นการจำลองการใช้ห้องแยกเพื่อเป็นการจำกัดพฤติกรรมคนไข้ที่ควบคุมตนเองไม่ได้ เดินแปะปะไปทั่ว ซึ่งถ้าเขาเดินไปชนคนไข้ที่หงุดหงิดง่ายอารมณ์แปรปรวนไม่ปกติ ก็อาจเป็นอันตราแก่ตนเองอาจถูกทุบ ถูกต่อยได้ และทุกวันนี้ก็ยังคงมีการใช้วิธีนี้อยู่
หุ่นจำลองอีกแบบหนึ่งแสดงถึงการให้คนไข้นอนบนเตียงและมัดทั้งตัว วิธีนี้จะใช้ในส่วนคนไข้ที่เอะอะอาละวาดทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตนเอง ก็ต้องมัดไว้เพื่อที่คนไข้จะได้ไม่ทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายใครได้ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงใช้วิธีนี้เพียงแต่จะมัดแค่แขนและขา ไม่มัดทั้งตัวแบบแต่ก่อน เมื่อฉันเห็นหุ่นจำลองลักษณะอาการต่างๆนี้แล้วรู้สึกกลัวๆจนขนลุก แต่ก็รู้สึกสงสารพวกเขาในขณะเดียวกัน
ระหว่างที่ดูหุ่นจำลองเจ้าหน้าที่บอกถึงวิธีการควบคุมคนไข้ให้ฉันฟังว่า แต่ก่อนจะใช้ในลักษณะที่เรียกว่า อินซูลินช็อต โดยปกติคนเราเวลาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจะหมดแรงเป็นลม ในสมัยก่อนเชื่อว่า ถ้าฉีดอินซูลินเข้าไปจะทำให้คนไข้มีน้ำตาลในเลือดน้อย คนไข้จะเกิดอาการที่สงบขึ้นและหยุดอาละวาดได้ อีกวิธีก็คือการใช้ยานัด โดยการพ่นให้คนไข้รู้สึกมึนและหยุดอาละวาดได้ในที่สุด
จากวิธีบำบัดที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีการบำบัดแบบอาชีวะบำบัดซึ่งเป็นเหมือนการฝึกอาชีพ เมื่อคนไข้ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสำเร็จเขาจะเกิดความภาคภูมิใจ เป็นการเสริมสร้างให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าขึ้น นอกจากนั้นภายในห้องนี้ยังมีการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเรื่องจิตเวชและประสาทวิทยาศาสตร์ด้วย
และห้องสุดท้ายที่ฉันได้ชม เป็นห้องที่แสดงพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และราชวงศ์ พร้อมทั้งยังมีพระพุทธรูปให้ฉันได้กราบไหว้ขอบคุณที่ฉันเกิดมาเป็นปกติครบ 32 ประการ ซึ่งฉันถือว่าเป็นบุญยิ่งนัก และก็ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่อธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ฉันได้รับความรู้และความเข้าใจอย่างท่วมท้น
ในอดีตโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา หรือ"บ้านหลังคาแดง" (เพราะสมัยก่อนมีหลังคาเป็นสีแดง) แห่งนี้ไม่มีใครอยากเฉียดกรายเข้าไป เพราะฝังใจว่าสถานที่นี้คือที่อยู่ของ "คนบ้า"แต่ในความเป็นจริงแล้วฉันอยากให้ทุกท่านได้สร้างทัศนคติที่ถูกต้องว่า "คนบ้า" นั้นสามารถรักษาได้ ซึ่งการได้เที่ยวชมในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ นอกจากจะทำให้ฉันได้รับรู้ในวิวัฒนาการของวงการจิตเวชบ้านเราแล้ว ฉันยังรับรู้ว่าเรื่องสุขภาพจิตและเรื่องจิตเวชนั้นปัจจุบันไม่ใช่เรื่องไกลตัวของคนไทยอีกต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เลขที่ 112 ถ.สมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน กรุงเทพฯ เวลาทำการ09.00-15.00 น. เว้นวันหยุดราชการ การเข้าชมต้องทำจดหมายขออนุญาตกับทางโรงพยาบาลก่อนเข้าชม สอบถามโทร 0-2437-1298, 0-2437-0200 ต่อ 4114,4115