xs
xsm
sm
md
lg

เที่ยวสิกขิม ต้องมนต์เมืองชาที่"ดาร์จิลิ่ง"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เรื่องโดย: มะเมี้ยะ

เอ่ยถึงประเทศอินเดียคุณๆจะคิดถึงอะไรเป็นลำดับแรก แขก โรตี หรือสาวห่มผ้าส่าหรี แต่สำหรับฉันทุกครั้งที่คิดถึงประเทศอินเดีย สิ่งแรกที่เข้ามาในห้วงคำนึงเสมอ ก็คือความงดงามของรัฐเล็กๆที่หลบเร้นอยู่ปลายแทบแนวเทือกเขาหิมาลัยอย่าง"สิกขิม"

สิกขิม
(Sikkim) ตั้งอยู่ทางทิศเหนือเฉียงไปทางตะวันออกของประเทศอินเดีย จัดเป็นรัฐที่ 22 ซึ่งถือเป็นรัฐสุดท้ายที่ถูกผนวกรวมเข้ากับอินเดียในปีพ.ศ. 2518 หรือกว่า 30 ปีก่อน ด้วยเหตุผลทางการเมืองที่ไม่สามารถโดดเด่นตัวเองได้ ปัจจุบันเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง การเดินทางเข้าสู่สิกขิมจึงยากเย็นราวกับเป็นการเดินทางเข้าสู่อีกประเทศหนึ่ง

ฉันใช้เวลาอยู่ในสิกขิมราวหนึ่งสัปดาห์ นับตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทางจากกรุงเทพฯไปลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติกัลกัตตาประเทศอินเดีย ใช้เวลาในการเดินทางเกือบ 4 ชั่วโมง งานนี้เรียกได้ว่าก้นงอกรากกับเบาะทีเดียว การเดินทางในทริปนี้ฉันเลือกที่จะมากับบริษัททัวร์ ด้วยเหตุผลที่ว่าอาจจะช่วยบรรเทาความลำบากในการเดินทางลงได้บ้าง เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าการเดินทางในดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัยทุลักทุเลเช่นไร

ทันทีที่ถึงกัลกัตตา(Calcutta) เมื่อผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเสร็จแล้ว ฉันและคณะก็เดินทางเข้าที่พักเลยเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ใกล้ค่ำ(เวลาที่ประเทศอินเดียช้ากว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง 30นาที) และประการสำคัญทุกคนในทริปต้องการพักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน และในวันรุ่งขึ้นต้องเตรียมตัวแต่เช้าเพื่อเดินทางต่อไปด้วยเครื่องบินโดยสารภายในประเทศไปยังท่าอากาศยานบักโดกรา เมืองสิลิกูรี (Siliguri)

เราเข้าสู่ที่พักกันด้วยรถตู้ที่มีลักษณะไม่ต่างอะไรจากรถตู้โดยสารแถวย่านอนุสาวรีย์มากนัก ระหว่างเดินทางไปยังที่พักนั้น ฉันพยายามสังเกตสภาพบ้านเมืองคนเป็นอยู่ของชาวเมืองกัลกัตตา ว่าเหตุใดที่นี่จึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองหนึ่งที่ติดอันดับความสกปรกระดับโลก และก็พบว่าเป็นจริงสมดังคำล่ำลือช่างเป็นบ้านเมืองแห่งความสับสนวุ่นวายระเกะระกะดีแท้ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างฉันก็พอจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไปได้ โชคยังดีที่ที่พักสะอาดสะอ้านยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าเดินทางมาเที่ยวเองจะโชคดีอย่างนี้ไหม

รุ่งสางของการใช้ชีวิตวันที่สองในดินแดนแห่งขุนเขาหิมาลัย ฉันและคณะถูกต้อนขึ้นรถแต่เช้าตรู่ เพื่อขึ้นเครื่องบินไปยังเมืองสิลิกูรีใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษๆฉันก็มายืนอยู่ที่สิลิกูรีแล้ว ทีแรกก็คิดว่านี่แหละคือเข้าเขตสิกขิมแล้วแต่เปล่าเลยไกด์ผู้นำทางบอกว่านี่แค่ครึ่งทางเท่านั้น

จากนี้ไปเราต้องนั่งรถจิ๊ปข้ามเขา ข้ามโค้ง นับพันเพื่อไปยังเมืองดาร์จีลิ่ง (Darjeeling ) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากสิลิกูรีราว 90 กม.เพียงแค่รับฟังลมแทบจับก็ไอ้ชื่อที่พูดมายังไม่มีคำว่าสิกขิมเลยนี่น่าแล้วสิกขิมตั้งอยู่ส่วนไหนของโลกหว่า..

แต่ช่างเถอะคิดไปก็เปล่าประโยชน์สู้เอาเวลามาสำรวจทัศนียภาพที่รายล้อมกายดีกว่า เพราะที่แบบนี้เมืองไทยไม่มีให้ชม รถหยุดพักเป็นจุดๆเพื่อให้เราได้เก็บภาพบรรยากาศความงดงามริมสองฟากฝั่งระหว่างทางไปดาร์จิลิ่ง มาถึงตอนนี้เริ่มมีสมาชิกบางคนเกิดอาการแพ้ความสูง(Altitude Sickness) ขึ้นมาเล่นเอาชาวคณะตกใจกันยกใหญ่รีบประเคนยาดม ยาอม ยาหม่อม บีบนวดกันเป็นพัลวัล สักพักก็อาการดีขึ้นแสดงว่าร่างกายเริ่มปรับตัวต่อสภวะบนที่สูง ที่ซึ่งมีอาการออกซิเจนบางเบาได้แล้ว

ในที่สุดช่วงบ่ายเราก็เดินทางถึงเมือง"ดาร์จิลิ่ง"เมืองที่เป็นสถานที่ตากอากาศอันมีชื่อเสียงของอินเดีย ตั้งแต่ครั้นสมัยที่อินเดียตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษ ไกด์นำทางเล่าประวัติอย่างย่อของดาร์จิลิ่งให้ฟังว่า เดิมดาร์จิลิ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสิกขิม แต่กษัตริย์แห่งสิกขิมได้มอบดาร์จิลิ่งให้กับอังกฤษเพื่อเป็นการตอบแทนที่อังกฤษได้ช่วยทำสงครามยึดเอาดินแดนบางส่วนคืนมาจากเนปาล

ฉันเลยสมอ้างเอาเองว่ามาถึงสิกขิมแล้วเพราะยังไงดาร์จิลิ่งก็เคยเป็นของสิกขิมมาก่อน ดาร์จิลิ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ชายขอบของเทือกเขาหิมาลัยด้านตะวันออก อยู่บนความสูง 2,134 เมตร กิตติศัพท์ที่โด่งดังระดับโลกอีกอย่างหนึ่งของดาร์จิลิ่งก็คือ ที่นี่เป็นแหล่งผลิต"ชา"ที่มีชื่อเสียงซึ่งได้รับมติเป็นเอกฉันท์จากผู้เชี่ยวชาญด้านชาจากมุมโลกว่าชาดาร์จิลิ่งมีความโดดเด่นต่างจากชาที่อื่น

ทันทีที่มาถึงดาร์จิลิ่งไกด์ก็พาเราไป ชมอันซีนอย่างหนึ่งของดาร์จิลิ่งนั่นคือรถไฟที่เรียกกันว่า toy train นัยว่าสามารถหาดูได้ที่ดาร์จิลิ่งที่เดียวในโลก เป็นรถไฟขนาดเล็กที่ลากด้วยหัวรถจักรไอน้ำเป็นรถไฟที่วิ่งบนภูเขาสูงในระดับตั้งแต่ 4,000 - 5,000 ฟุต ได้รับประกาศเป็นมรดกโลก จากองค์การยูเนสโก ซึ่งก็ยังเปิดให้บริการรับส่งผู้โดยสารอยู่

จากนั้นจึงแวะไปที่ไร่ชาแห่งหนึ่งชื่อไร่ชา"แฮปปี้วัลเล่ย์" (Happy Valler) ซึ่งเป็นไร่ชาที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้และตั้งอยู่ใกล้ตัวเมือง ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแทบจะทำให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยทั้งมวลไปได้ในพริบตา มนต์เสน่ห์แห่งไร่ชาที่เป็นสีเขียวกว้างไกลสุดปลายสายตา และโชคดีที่มาเจอภาพการเดินแบกกระบุงเก็บชาของชาวไร่ชา ช่างเป็นมนต์สะกดชั้นเยี่ยมที่ตรึงใจดีจริงๆ

หลังจากแปลงร่างเป็นสาวไร่ชาเสร็จแล้วก็พากันไปชมขั้นตอนการผลิตชา ที่โรงงานชาของแฮปปี้วัลเล่ย์ ตบท้ายด้วยการพากันไปนั่งจิบน้ำชาที่ร้านชาซึ่งมีอยู่มากมายหลายเจ้าในดาร์จิลิ่ง นั่งจิบชาที่เมืองแห่งชาช่างเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายจริงๆ เป็นอันว่าวันที่สองก็จบลงด้วยการเตร็ดเตร่อยู่ร้านชาในดาร์จิลิ่งกันจนเย็น พ่วงท้ายด้วยการชื่อสารพัดชากลับไปเป็นของฝากที่เมืองไทย ก่อนจะพากันเข้าที่พักในเมืองดาร์จิลิ่งนั่นเอง

วันที่สามฉันก็ต้องตื่นเช้าเช่นเคยแต่เป็นเช้าที่สดใสกระปรี้กระเปร่าเพราะเรากำลังจะเดินทางไปยัง"ไทเกอร์ฮิลล์" (Tiger Hill) เพื่อชมพระอาทิตย์ที่กำลังโผพ้นขอบฟ้าขึ้นทาบทาอาบแสงเหนือยอดเขาคันเชงจุงก้า(Kanchenjunga)ยอดเขาที่มีครองตำแหน่งสูงเป็นอันดับ 3 ของโลกรองลงมาจากยอดเขาเอเวอร์เรสต์และยอดเขาเคทูในประเทศเนปาล

แต่เชื่อหรือไม่ว่าในขณะที่ผู้คนจากทั่วมุมโลกตะเกียดตะกายกันพิชิตยอดเอเวอร์เรสต์จนประสบความสำเร็จหลายรายนั้น หากทว่ายังไม่เคยมีผู้ใดสามารถบุกพิชิตจุดสูงสุดแห่งยอดเขาคันเชงจุงก้าได้เลย คันเชงจุงก้าเป็นยอดเขาที่ชาวสิกขิมเชื่อกันว่าเป็นที่เก็บสมบัติล้ำค่าทั้งห้าแห่งยอดเขาหิมะ เป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า จากดาร์จิลิ่งสู่สิกขิมสามารถเหลียวมองยอดเขาคันเชงจุงก้าได้เสมอ

ดื่มด่ำกับแสงแห่งอรุณเสร็จแล้วก็พากันกลับมากินข้าวกินน้ำ แล้วก็ออกเดินทางกันต่อไปยังด่านผ่านเข้า-ออกเมืองสิกขิมที่เรียกกันว่ารังโป (Rangpo) ทันที เย้...........ไชโยในที่สุดก็ถึงสิกขิมทางเป็นทางการเสียที

ฉันแสดงอากัปกิริยาดีใจอย่างออกนอกหน้า หลังจากที่การแสดงเอกสารต่างๆและประทับตราวันที่เดินทางลงบนหนังสือเดินทางผ่านฉลุย พร้อมเงยหน้ามองป้าย"ยินดีต้อนรับสู่สิกขิม"อย่างยิ้มแย้มอีกไม่นานฉันจะได้เห็นสิกขิมเต็มตาเสียที...(อ่านต่อตอนต่อไป)

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

การเดินทางเข้าสู่รัฐสิกขิมจะต้องนั่งเครื่องบินไปลงยังท่าอากาศยานนานาชาติเมืองกัลกัตตาก่อน แล้วจึงต่อรถหรือเครื่องบินโดยสารภายในประเทศเข้าสู่สิลิกูรีก่อนเข้าไปยังสิกขิม สายการบินที่ให้บริการสู่ประเทศอินเดีย มีหลายสายการบิน อาทิ สายการบินอินเดียนแอร์ไลน์ การบินไทย ดรุ๊กแอร์ สกุลเงินที่ใช้คือ รูปี อัตราแลกเปลี่ยน USD1 เท่ากับ RS.42
กำลังโหลดความคิดเห็น