xs
xsm
sm
md
lg

เยือนปักกิ่ง ยล 4 มรดกโลก ตอน : เที่ยวพระราชวังต้องห้าม-หอสักการะฟ้า (จบ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : หมวยเกี๊ยะ

ตอนที่แล้วฉันพาไปพิชิตกำแพงเมืองจีน และยลความงามของพระราชวังฤดูร้อนกัน มาในตอนนี้ยังมีอีก 2 สถานที่ท่องเที่ยวทางมรดกโลกที่น่าสนใจในเมืองปักกิ่งมานำเสนอกันต่อ ฉันขอเริ่มจากการพาไปชมพระราชวังโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 500 ปี ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดและยังคงรักษาสภาพวังไว้ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด นั่นก็คือ “กู้กง” พระราชวังเดิม หรือ “จื่อจิ้นเฉิง” ที่แปลว่า “พระราชวังต้องห้าม” (Forbidden City) ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง โดยเป็นทั้งบ้านและชีวิตของจักรพรรดิในราชวงศ์หมิงและชิงรวมทั้งสิ้นถึง 24 พระองค์

สำหรับเหตุผลที่เรียกว่าพระราชวังต้องห้าม นั้นเป็นเพราะมาจากชาวจีนถือคติในการสร้างวังว่า จักรพรรดิเปรียบเสมือนบุตรแห่งสวรรค์ ดังนั้นวังของบุตรแห่งสวรรค์จึงต้องเป็น “ที่ต้องห้าม”คนธรรมดาสามัญไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปได้ แต่ว่าปัจจุบันนี้พระราชวังต้องห้ามได้เปิดประตูวัง ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้ยลความอลังการ จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังของจีน และได้เป็นมรดกโลกเมื่อ ปีค.ศ.1987

ทันทีที่ฉันพาตัวเองย่างกรายเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามที่มีเนื้อที่กว่า 720,000 ตารางเมตร ฉันก็รู้สึกได้ว่าที่นี่ช่างกว้างขวางยิ่งใหญ่อลังการเสียจริงเชียว ภายในวังแห่งนี้มีห้องมากมายกว่า 9,999 ห้อง มีตำหนัก 800 องค์ พระที่นั่ง 750 องค์ และมีหอบูชา ศาลา หอพระสมุด มีห้องหับน้อยใหญ่อีกนับไม่ถ้วน รวมไปถึงมีสวน ลานกว้าง และทางเดินเชื่อมโยงถึงกันโดยตลอด มีคูน้ำและกำแพงที่สูงถึง 11 เมตร ล้อมรอบ รู้เห็นแบบนี้แล้วทำเอาใจทำเอาฉันรู้สึกว่าถ้าจะให้เดินเที่ยววังกู้กงจนทั่วคงจะขาลากกันเป็นแน่

ฉะนั้นฉันจึงตัดสินใจขอเดินชมแบบพอสังเขป โดยขอเริ่มจากชมตำหนัก 3 หลังใหญ่ ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ซึ่งใช้เป็นที่ว่าราชการแผ่นดิน และที่ทรงงานของจักรพรรดิกันก่อน โดยตำหนักแรกที่เห็นสูงตระหง่านที่สุดในพระราชวังแห่งนี้ คือ ตำหนักไท่เหอ ตั้งโดดเด่นบนฐานหินอ่อนสีขาว 3 ชั้น บริเวณด้านหน้ามีการจัดวางนาฬิกาแดดและเจียเลี่ยง ซึ่งเป็นเครื่องมือชั่งตวงวัดชนิดหนึ่งซึ่งจักรพรรดิเฉียนหลงทรงให้ทำเลียนแบบเจียเลี่ยงในสมัยถัง(ค.ศ.618-907) ถือว่าเป็นเป็นตำหนักเอกที่มีความพิเศษที่สุด มีรูปแบบการก่อสร้างและการออกแบบ รวมไปถึงการตกแต่งที่ดูหรูหรางดงามเป็นอย่างมาก

ตำหนักไท่เหอนี้ใช้เป็นสถานที่จัดพิธีสำคัญของราชสำนักตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและชิง เช่น พิธีราชาภิเษก งานอภิเษกสมรส พิธีฉลองขึ้นปีใหม่ (ตรุษจีน) รวมไปถึงพิธีการต้อนรับขุนศึกผู้ที่ไปคว้าชัยมาจากสงครามต่างๆ และถัดจากตำหนักไท่เหอ เป็นตำหนักจงเหอ ที่จักรพรรดิใช้เป็นสถานที่ทรงประทับก่อนที่จะเสด็จไปประกอบพระราชพิธีต่างๆที่ตำหนักไท่เหอ และเป็นที่ทรงงานราชการ ตลอดจนเป็นที่ให้ขุนนางเข้าเฝ้าฯ

ส่วนตำหนักหลังสุดท้าย คือ ตำหนักเป่าเหอ เป็นตำหนักหลังคาซ้อนสองชั้นเหมือนกับตำหนักไท่เหอ ภายในใช้เทคนิคในการก่อสร้างที่พยายามลดการใช้เสา ทำให้ภายในตำหนักมีความโปร่งโล่ง ตำหนักนี้จักรพรรดิใช้เป็นตำหนักเปลี่ยนเครื่องทรงก่อนจะเสด็จในการพระราชพิธีต่างๆ นอกจากนี้ยังใช้เป็นที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับบรรดาขุนนางที่มีตำแหน่งสูง สมัยราชวงศ์ชิงตำหนักเป่าเหอยังใช้เป็นสนามสอบคัดเลือกขุนนางระดับสูงอีกด้วย

พอฉันเดินชมตำหนักในเขตนอกพระราชทานแล้ว ก็เดินตรงเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นใน ซึ่งถือว่าเป็นเขตที่ประทับพักผ่อนขององค์จักรพรรดิ พระมเหสี พระราชมารดา พระราชโอรส พระราชธิดาและนางสนม มีตำหนักหลักๆ อยู่ 3 หลัง คือ ตำหนักเฉียนชิง ตำหนักเจียวไท่ และตำหนักคุนหนิง นอกจากนี้ด้านข้างของตำหนักทั้ง 3 ยังเรียงรายด้วยตำหนักเล็กๆ อีกด้านละ 6 หลัง

ส่วนทางด้านหลังมีอุทยานหลวง หรือ สวนหลังวัง ที่สร้างในรัชสมัยหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง เป็นสวนที่กว้างขวางโอ่อ่าตามแบบฉบับอุทยานในราชสำนัก บรรยากาศภายในสวนแห่งนี้ร่มรื่น ไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ รวมถึงยังมีหอน้อยใหญ่กว่า 20 หอ และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่สวยงามให้ได้เดินชมกันแบบเพลินๆ อีกด้วย ซึ่งฉันเองก็หลงความรื่นรมย์เดินชมสวนอยู่เสียนาน จนเมื่อหันมามองนาพิกาก็ต้องรีบเร่งออกจากสวนสวย เพื่อเดินทางไปเที่ยวยังมรดกโลกที่สุดท้ายกันต่อ

นั่นก็คือที่ “หอสักการะฟ้า” (Temple of Heaven) หรือที่คนจีนเรียกว่า “เทียนถาน” เป็นสถานที่ที่มีสิ่งปลูก อันมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ ที่ยังคงความใหญ่โต สวยงามและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน จนได้รับการยอมรับให้เป็นมรดกโลก เมื่อปีค.ศ. 1998

เทียนถานแห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 14 ปีเลยทีเดียวกว่าจะแล้วเสร็จ เพื่อใช้เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงและชิง ใช้ประกอบพิธีสักการะและบวงสรวงเทพยดาฟ้าดิน ซึ่งจะจัดขึ้นปีละ3 ครั้ง เพื่อขอฝนให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตที่ดี และขอบคุณเทพเจ้า ที่ช่วยบันดาลให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข

ซึ่งอาณาบริเวณของเทียนถานมีความกว้างขวางกว่า 2,700,000 ตร.ม. มีกำแพง 2 ชั้นโอบล้อมรอบ แบ่งเป็นเขตชั้นนอก และเขตชั้นใน กำแพงด้านทิศเหนือ เป็นรูปครึ่งวงกลมสูงกว่าด้านทิศใต้ที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม โดยเหตุที่ออกแบบในลักษณะนี้ก็เพราะยึดคติของจีนโบราณที่เชื่อกันว่า “แผ่นฟ้าโค้ง ผืนดินเหลี่ยม” นั่นเอง และความเชื่อนี้ก็เป็นรากฐานในการสร้างวัดจีนสมัยโบราณอีกหลายแห่งด้วย

แต่ก่อนที่จะไปถึงแท่นบวงทรวงฟ้า ยังมีหอเทพสถิต เป็นอาคารสูงทรงกลม หลังคาชั้นเดียว สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง เป็นสถานที่ประดิษฐานแผ่นป้ายองค์เทพยดา และที่รอบนอกหอเทพสทิตมี กำแพงสะท้อนเสียง ที่มีความพิเศษตรงที่หากไปยืนตรงกำแพงแล้วส่งเสียงพูดเพียงแค่กระซิบเบาๆ คนที่ยืนอยู่กำแพงฝั่งตรงข้ามก็สามารถได้ยินเสียงได้อย่างน่าประหลาดใจ

ฉันพาตัวเองเดินชมสิ่งก่อสร้างๆ ต่างภายในเทียนถาน โดยเริ่มจากการชมสิ่งก่อสร้างที่ถือว่าใหญ่โต และโดดเด่นที่สุดในเทียนถาน นั่นก็คือ หอสักการะ หรือ ฉีเหนียนเตี้ยน สถานที่สำหรับบวงสรวงฟ้า เพื่อขอให้พืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ลักษณะเป็นอาคารไม้ทรงกลมสูง มุงด้วยหลังคากระเบื้องเคลือบสีน้ำเงิน และมีความพิเศษโดดเด่นคือ ไม่มีคานมารองรับน้ำหนัก แต่มีเสาไม้ถึง 28 ต้น มารองรับแทน แบ่งเป็นเสาหลัก 4 เสาแทนฤดูกาล 4 ฤดู และมีเสาเรียงรอบอีก 12 ต้น แสดงถึง 12 เดือน นอกจากนั้นยังมีอีก 12 เสาที่รวมเข้าอยู่กับกำแพง ซึ่งมีความหมายว่า วันหนึ่งมี 12 ช่วงและแต่ละช่วงในอดีตนั้นตรงกับเวลา 2 ชั่วโมงในปัจจุบัน

และจากหอสัการะฉันเดินมาตามทาง สะพานตันปี้ ที่เชื่อมระหว่างหอสักการะกับแท่นบวงสรวงฟ้า มีความยาวถึง 360 ม. กว้าง 30 ม. และทางเดินจะค่อยๆ ลาดสูงขึ้นเรื่อยๆ จากใต้สู่เหนือ ที่แฝงนัยยะไว้ว่าเป็นสะพานศักดิ์สิทธิ์ที่จักรพรรดิใช้เป็นทางเดินสู่สวรรค์ และยังเป็นทางเดินของเหล่าเทพยดาอีกด้วย

ต่ก่อนที่จะไปถึงแท่นบวงทรวงฟ้า ยังมีหอเทพสถิต เป็นอาคารสูงทรงกลม หลังคาชั้นเดียว สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง เป็นสถานที่ประดิษฐานแผ่นป้ายองค์เทพยดา และที่รอบนอกหอเทพสทิตมี กำแพงสะท้อนเสียง ที่มีความพิเศษตรงที่หากไปยืนตรงกำแพงแล้วส่งเสียงพูดเพียงแค่กระซิบเบาๆ คนที่ยืนอยู่กำแพงฝั่งตรงข้ามก็สามารถได้ยินเสียงได้อย่างน่าประหลาดใจ

และหลังจากได้ทดสอบความพิเศษของกำแพงสะท้อนเสียงแล้ว ฉันเดินต่อไปยัง แท่นบวงทรวงฟ้า หรือ หยวนชิว ที่มีลักษณะเป็นรั้วฐานทั้ง 3 ชั้น สร้างจากหินหยกขาวแกะสลัก มีความสูงกว่า 5 ม. ซึ่งแท่นบวงสรวงฟ้ามีลักษณะเป็นแผ่นหินเรียงกระจายตัวออกไปเป็นรัศมีวงกลม เพิ่มขึ้นทีละ 9 แผ่น ทบไปเรื่อยๆ จนครบ 9 ชั้น รวมทั้งสิ้น 3,402 แผ่น ซึ่งคนจีนโบราณเรียกที่นี่ว่า "สวรรค์ 9 ชั้น"

และที่แท่นหินบวงทรวงฟ้านี้ ยังมีแผ่นหินอยู่ชิ้นหนึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นหินทรงกลมตั้งอยู่ใจกลางแท่นสักการะตรงชั้นบนสุด เรียกว่า หินใจกลางสวรรค์ ที่เชื่อกันว่าเป็นที่ประทับของเง็กเซียนฮ่องเต้ และตรงจุดหินแผ่นนี้ยังมีความน่าอัศจรรย์ใจ ตรงที่หากไปยืนอยู่บนหินแผ่นนี้ แล้วพูดออกมาเบาๆ จะเกิดเสียงสะท้อนก้องตอบกลับมาให้ได้ยินทันที

นอกจากนี้ยังมีความเชื่อกันว่าหากมายืนตรงหินแผ่นนี้แล้ว ตั้งใจอธิษฐานอะไร ก็จะได้สมใจอย่างที่หวังไว้ ซึ่งตัวฉันเมื่อได้ขึ้นไปยืนบนหินใจกลางสวรรค์แล้ว ก็ขอตั้งจิตอธิษฐานกับเขาเหมือนกันว่า “ขอให้ฉันได้มีโอกาสหลายๆ ครั้ง ที่จะได้กลับมาเที่ยวปักกิ่ง และอีกหลายๆ สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศจีน” เพราะว่าประเทศจีนมีสถานท่องเที่ยวที่มากไปด้วยคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมและความสวยงาม

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ปักกิ่ง (Beijing) เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี ค.ศ. 2008 ปักกิ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกครั้งที่ 29 ปักกิ่งใช้เงินสกุลหยวน (1 หยวน ประมาณ 5 บาท) ภาษาที่ใช้คือภาษาจีนกลาง สำหรับผู้ที่ต้องการเที่ยวปักกิ่งสามารถติดต่อได้ที่บริษัททัวร์ทั่วไป
       
การเดินทาง มีสายการบินไชน่า เซาเทิร์น แอร์ไลน์ และ สายการบินไชน่าแอร์ไลน์ บินตรงจากเมืองไทยสู่ปักกิ่ง

       
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

เยือนปักกิ่ง ยล 4 มรดกโลก ตอน : เที่ยวกำแพงเมืองจีน-พระราชวังฤดูร้อน
       
"ปักกิ่ง 2006" นครหลวงจีนบนความเปลี่ยนแปลง

กำลังโหลดความคิดเห็น