โดย : ปิ่น บุตรี

“1864”
นี่ไม่ใช่การใบ้หวย ไม่ใช่การบอกรหัสลับ รหัสรัก ไม่ใช่ชื่อหนัง ไม่ใช่งานศิลปะ และก็ไม่ใช่สถิติการยิงประตูของนักเตะคนใด แต่ตัวเลข 1864 มันคือจำนวนโค้ง“หนึ่งพันแปดร้อยหกสิบสี่โค้ง”บนเส้นทางสายหนึ่งจากเชียงใหม่สู่แม่ฮ่องสอน
เส้นทางที่ว่านั่นก็คือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 จากเชียงใหม่ ผ่าน อ.ฮอด ผ่านอ.แม่สะเรียง แล้วก็เข้าสู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน รวมระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมง
สมัยก่อนเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เส้นทาง 108 คือเส้นทางหลักจากเชียงใหม่สู่แม่ฮ่องสอน เป็นเส้นทางสายคลาสสิคที่นักขับรถเที่ยวทั้งยุคเก่าและยุคใหม่นิยมกันไม่น้อย เพราะมันทั้งตื่นเต้นท้าทายและโดดเด่นไปด้วยทัศนียภาพอันงดงาม 2 ข้างทาง
ครั้งแรกที่ผมมีโอกาสนั่งหัวสั่นหัวคลอนโยกซ้าย โยกขวา ไปบนเส้นทางสาย 108 จากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอนก็คือ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ยังเป็นวัยระห่ำ นิยมเที่ยวแบบซำเหมาแมนที่ไม่ค่อยมีตังค์แต่ดันทุรังอยากเที่ยว ยุคนั้นผมกับเพื่อนอีก 4 คน ตั้งเป้าว่าจะโบกรถจากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอน แบบไม่จำกัดวันและคืน คือโบกรถไปเรื่อย ค่ำไหนนอนนั่น
คืนแรกเราแยกจากทาง 108 ขึ้นนอนบนดอยอินทนนท์ คืนต่อมาเราลงดอยกลับคืนสู่เส้นทางสาย 108 เข้าแม่สะเรียงแล้วแยกไปนอนที่ บ้านแม่สามแลบ อุทยานฯสาละวินถึง 2 คืน
จำได้ว่าสมัยนั้นดูหนังเรื่องสาละวิน(มือปืน 2 )ของท่านมุ้ยแล้ว อยากไปเที่ยวแม่น้ำสาละวินที่ชายแดนไทย-พม่ามาก คืออยากไปยืนเดินในน้ำ(ตื้น) โผล่หน้าพ้นน้ำขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ทำเหมือนกับที่ พี่นก ฉัตรชัย เปล่งพานิช แสดงไว้ในหนังเรื่องสาละวิน
เมื่อได้เลียนแบบพี่นกสมใจอยาก ผมกับเพื่อนก็โบกรถกลับสู่เส้นทาง 108 แล้วนั่งรถรวดเดียวจากแม่สะเรียงเข้าแม่ฮ่องสอน
ปีถัดมาผมกับเพื่อนๆมีโอกาสโบกรถไปแม่ฮ่องสอนอีกครั้งในรูปแบบไม่ต่างจากเดิม แต่ว่าเป้าหมายครั้งนี้เราไม่ได้ไปเที่ยว แต่เป็นการไปสำรวจสถานที่ทำค่ายอาสาพัฒนาซึ่งมีเป้าหมายอยู่ตามโรงเรียนชายแดนจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน
ทริปนี้เราไปกันทางจังหวัดตาก เข้า อ.บ้านตาก ไปออก อ.แม่ระมาด (ในเส้นทางแม่สอด-แม่ฮ่องสอน) และแวะค้างคืนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ท่าสองยาง จ.ตาก คืนถัดมา เราโบกต่อไปนอนค้างคืนที่ อ.แม่สะเรียง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังแม่ฮ่องสอนในคืนที่ 3 ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าบนถนนที่ลัดเลาะไล่ไต่ไปตามขุนเขานั้น เมื่อเดินลงไปด้านล่างจะเป็นหมู่บ้านและมีโรงเรียนเชิงดอยของชาวเขาซ่อนอยู่หลายโรงเรียน
ยุคนั้น พ.ศ.นั้น เส้นทางจากแม่ระมาดสู่แม่ฮ่องสอน แม้เป็นกลางวันแสกๆก็เปลี่ยวเอาเรื่อง เพราะเป็นช่วงที่กะเหรี่ยงคริสต์กับพุทธกำลังสู้รบกันอยู่ตามชายแดนไทยฝั่งตะวันตก ระหว่างทางที่โบกรถไปจึงเจอด่านตรวจอยู่บ่อยครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็รอดชีวิตไปถึงยังแม่ฮ่องสอนจนได้ (ขากลับเรากลับทางเชียงใหม่)
เรื่องนี้นึกๆไปไวเหมือนโกหก ทั้งๆที่มันผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว แต่แม่ฮ่องสอนในวันนี้ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากแม่ฮ่องสอนในอดีตเท่าไหร่ เพราะจากการมีโอกาสได้ไปเยือนแม่ฮ่องสอนแบบกระปิดกระปอย 2-3 ปี/ครั้ง ผมถือว่าตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เป็นเมืองที่มีการเติบโตแบบพอเพียง ค่อยเป็นค่อยไป ผิดกับ อ.ปาย ที่ช่วง 4-5 ปี มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด จนทำให้ยูโธเปีย ยูโธปายกลายเป็นฝันสลายของใครหลายๆคนอีกต่อไป
ส่วนที่เห็นว่าแม่ฮ่องสอนเปลี๊ยนไป๋จากที่เพิ่งขึ้นมาแอ่วหยกๆก็คือ สโลแกนของจังหวัดที่ นายดิเรก ก้อนกลีบ ผู้ว่าฯแม่ฮ่องสอนคนปัจจุบัน เปลี่ยนสโลแกนของจังหวัดจากเมืองสามหมอก เป็น “แม่ฮ่องสอน เมืองในฝัน สวรรค์บนดอย แผ่นดินไทย”
สโลแกนนี้จะฮอตฮิตติดหูเหมือนกับ“เมืองสามหมอก”หรือไม่ งานนี้คงต้องติดตามกันต่อไป แต่จากการที่แม่ฮ่องสอนเป็นเมืองที่มากไปด้วยขุนเขาดงดอย ทำให้ถนนหนทางส่วนใหญ่ในเมืองนี้จำเป็นต้องสร้างลดเลี้ยวเคี้ยวโค้งไปตามภูมิประเทศ จะมีทางตรงบ้างเล็กๆน้อยก็เฉพาะในเขตเมืองเท่านั้น แต่พอออกนอกเมืองไปแค่นิดเดียวเท่านั้นแหละ เจอโค้งถามหาแล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าแม่ฮ่องสอนจะมีโค้งมากมาย แต่บนเส้นทางที่คดโค้งเหล่านั้นก็มีเสน่ห์แฝงซ่อนอยู่ เพราะแค่ผมนั่งรถออกจากเมืองไปนิดเดียว หากไม่สนใจกับโค้งที่ประเดประดังกันเข้ามา แล้วก็จะพบว่าตามโค้งหลายๆโค้งวิวทิวทัศน์ที่ปรากฏต่อสายตานั้นช่างงดงามนัก เพียงแต่ว่าหากใครจะหยุดถ่ายรูปก็ต้องหามุม หรือจุดจอดรถให้เหมาะๆ เพราะถ้าจอดรถผิดที่ผิดทางก็จะถูกรถคันหลังหรือรถที่วิ่งสวนมาเสยตกโค้งเอา

นอกจากความสวยงามที่แอบแฝงเป็นจุดชมวิวอยู่ตามโค้งถนนบางช่วงแล้ว เสน่ห์แห่งโค้งเมืองแม่ฮ่องสอนยังทำให้ทางจังหวัดชูเป็นเส้นทางขับรถเที่ยวไปตามโค้งถนนที่คดเคี้ยวขึ้นๆลงๆลัดเลาะไปตามขุนเขา ซึ่งเส้นทาง 108 (เชียงใหม่-ฮอด-แม่สะเรียง-แม่ลาน้อย-ขุนยวม-แม่ฮ่องสอน) ที่พิชิต 1,864 โค้งนั้น ปัจจุบันถือเป็นเส้นทางสายคลาสสิค ที่นอกจากจะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอย่าง อุทยานออบหลวง(อ.ฮอด) ถ้ำแก้วโกมล(อ.แม่ลาน้อย) ทุ่งดอกบัวตอง(อ.ขุนยวม : ช่วง พ.ย.-ธ.ค.) จากนั้นพอถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ทางจังหวัดก็จะมีประกาศนียบัตรมอบให้
ขากลับออกจากแม่ฮ่องสอน ไม่ควรกลับบนเส้นทางสายเดิมเพื่อที่วิวทิวทัศน์จะได้ไม่จำเจ แต่ควรจะกลับเส้นทางวงรอบบนทางหลวงหมายเลข 1095 (แม่มาลัย-ปาย) ที่ออกจากแม่ฮ่องสอนก็ผ่านปางมะผ้า เข้าปาย ผ่าน อ.แม่แตง แล้วตัดเข้าแม่ริม เข้าเชียงใหม่ ในเส้นทางสายนี้นอกจากเมืองปายอันโด่งดังแล้วก็ยังมีอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ที่ว่ากันว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามที่สุดในเมืองไทย
ตั้ม เพื่อนชาวแม่ฮ่องสอนโดยกำเนิดบอกกับผมว่า ทั้งเส้นทาง 108 และเส้นทางสายแม่มาลัย-ปาย 1095 ทหารญี่ปุ่นที่ยกทัพผ่านเข้ามาทาง อ.ขุนยวม ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้มาสร้างไว้เป็นวงรอบ แต่ว่าเส้นทางแม่มาลัย-ปาย เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ถนนหนทางไม่ดีจึงไม่เป็นที่นิยมกัน
“เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่จากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอนนิยมใช้ถนนแม่มาลัย-ปายกันทั้งนั้น เพราะมีระยะทางสั้นกว่า แถมยังชอบไปแวะเที่ยวปายกันอีกด้วย” ตั้มเล่า
สำหรับเส้นทางสายเชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอนนั้น เท่าที่ผมดูจากข้อมูลทั่วในเว็บไซต์จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีระยะทางประมาณ 245 กิโลเมตร แต่ด้วยความที่มีสภาพถนนที่ลาดชันกว่า เลยทำให้มีโค้งมากกว่า
“ถนนเส้นนี้เขานับมาแล้วว่ามีโค้งมากถึง 2,224 โค้งทีเดียว”
ตั้มบอกอย่างนั้น ซึ่งผมไม่รู้ว่าเขาคนนี้คือใครและมีวิธีการนับอย่างไร เพราะเท่าที่ลองนับเจอแต่โค้งซ้าย โค้งขวา โค้งหน้า โค้งหลัง และโค้งอันตราย ที่หากนับโค้งมากๆมันจะเกิดอาการอ้วกแตกอ้วกแตนเอาได้ง่ายๆ ส่วนตั้มนั้นมันกลับชอบถนนที่ลดเลี้ยวเคี้ยวโค้งไม่น้อยทีเดียว ถึงขนาดที่ว่า ถ้าให้มันไปขับรถตามถนนปกติ มันกลับไม่สันทัดแต่หากขับขึ้น-ลงเขานี่มันขับฉิวเลย
“เวลาขับรถบนถนนทางตรง กูชอบขับคร่อมเลนว่ะ เพราะกูติดโรคขับรถคร่อมเลนมาจากการขับขึ้นเขา ลงเขาอ่ะ” ตั้มบอกกับผมอย่างนั้น
การเดินทางสู่แม่ฮ่องสอน
“1864”
นี่ไม่ใช่การใบ้หวย ไม่ใช่การบอกรหัสลับ รหัสรัก ไม่ใช่ชื่อหนัง ไม่ใช่งานศิลปะ และก็ไม่ใช่สถิติการยิงประตูของนักเตะคนใด แต่ตัวเลข 1864 มันคือจำนวนโค้ง“หนึ่งพันแปดร้อยหกสิบสี่โค้ง”บนเส้นทางสายหนึ่งจากเชียงใหม่สู่แม่ฮ่องสอน
เส้นทางที่ว่านั่นก็คือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 จากเชียงใหม่ ผ่าน อ.ฮอด ผ่านอ.แม่สะเรียง แล้วก็เข้าสู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน รวมระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมง
สมัยก่อนเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เส้นทาง 108 คือเส้นทางหลักจากเชียงใหม่สู่แม่ฮ่องสอน เป็นเส้นทางสายคลาสสิคที่นักขับรถเที่ยวทั้งยุคเก่าและยุคใหม่นิยมกันไม่น้อย เพราะมันทั้งตื่นเต้นท้าทายและโดดเด่นไปด้วยทัศนียภาพอันงดงาม 2 ข้างทาง
ครั้งแรกที่ผมมีโอกาสนั่งหัวสั่นหัวคลอนโยกซ้าย โยกขวา ไปบนเส้นทางสาย 108 จากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอนก็คือ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ยังเป็นวัยระห่ำ นิยมเที่ยวแบบซำเหมาแมนที่ไม่ค่อยมีตังค์แต่ดันทุรังอยากเที่ยว ยุคนั้นผมกับเพื่อนอีก 4 คน ตั้งเป้าว่าจะโบกรถจากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอน แบบไม่จำกัดวันและคืน คือโบกรถไปเรื่อย ค่ำไหนนอนนั่น
คืนแรกเราแยกจากทาง 108 ขึ้นนอนบนดอยอินทนนท์ คืนต่อมาเราลงดอยกลับคืนสู่เส้นทางสาย 108 เข้าแม่สะเรียงแล้วแยกไปนอนที่ บ้านแม่สามแลบ อุทยานฯสาละวินถึง 2 คืน
จำได้ว่าสมัยนั้นดูหนังเรื่องสาละวิน(มือปืน 2 )ของท่านมุ้ยแล้ว อยากไปเที่ยวแม่น้ำสาละวินที่ชายแดนไทย-พม่ามาก คืออยากไปยืนเดินในน้ำ(ตื้น) โผล่หน้าพ้นน้ำขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ทำเหมือนกับที่ พี่นก ฉัตรชัย เปล่งพานิช แสดงไว้ในหนังเรื่องสาละวิน
เมื่อได้เลียนแบบพี่นกสมใจอยาก ผมกับเพื่อนก็โบกรถกลับสู่เส้นทาง 108 แล้วนั่งรถรวดเดียวจากแม่สะเรียงเข้าแม่ฮ่องสอน
ปีถัดมาผมกับเพื่อนๆมีโอกาสโบกรถไปแม่ฮ่องสอนอีกครั้งในรูปแบบไม่ต่างจากเดิม แต่ว่าเป้าหมายครั้งนี้เราไม่ได้ไปเที่ยว แต่เป็นการไปสำรวจสถานที่ทำค่ายอาสาพัฒนาซึ่งมีเป้าหมายอยู่ตามโรงเรียนชายแดนจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน
ทริปนี้เราไปกันทางจังหวัดตาก เข้า อ.บ้านตาก ไปออก อ.แม่ระมาด (ในเส้นทางแม่สอด-แม่ฮ่องสอน) และแวะค้างคืนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ท่าสองยาง จ.ตาก คืนถัดมา เราโบกต่อไปนอนค้างคืนที่ อ.แม่สะเรียง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังแม่ฮ่องสอนในคืนที่ 3 ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าบนถนนที่ลัดเลาะไล่ไต่ไปตามขุนเขานั้น เมื่อเดินลงไปด้านล่างจะเป็นหมู่บ้านและมีโรงเรียนเชิงดอยของชาวเขาซ่อนอยู่หลายโรงเรียน
ยุคนั้น พ.ศ.นั้น เส้นทางจากแม่ระมาดสู่แม่ฮ่องสอน แม้เป็นกลางวันแสกๆก็เปลี่ยวเอาเรื่อง เพราะเป็นช่วงที่กะเหรี่ยงคริสต์กับพุทธกำลังสู้รบกันอยู่ตามชายแดนไทยฝั่งตะวันตก ระหว่างทางที่โบกรถไปจึงเจอด่านตรวจอยู่บ่อยครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็รอดชีวิตไปถึงยังแม่ฮ่องสอนจนได้ (ขากลับเรากลับทางเชียงใหม่)
เรื่องนี้นึกๆไปไวเหมือนโกหก ทั้งๆที่มันผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว แต่แม่ฮ่องสอนในวันนี้ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากแม่ฮ่องสอนในอดีตเท่าไหร่ เพราะจากการมีโอกาสได้ไปเยือนแม่ฮ่องสอนแบบกระปิดกระปอย 2-3 ปี/ครั้ง ผมถือว่าตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เป็นเมืองที่มีการเติบโตแบบพอเพียง ค่อยเป็นค่อยไป ผิดกับ อ.ปาย ที่ช่วง 4-5 ปี มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด จนทำให้ยูโธเปีย ยูโธปายกลายเป็นฝันสลายของใครหลายๆคนอีกต่อไป
ส่วนที่เห็นว่าแม่ฮ่องสอนเปลี๊ยนไป๋จากที่เพิ่งขึ้นมาแอ่วหยกๆก็คือ สโลแกนของจังหวัดที่ นายดิเรก ก้อนกลีบ ผู้ว่าฯแม่ฮ่องสอนคนปัจจุบัน เปลี่ยนสโลแกนของจังหวัดจากเมืองสามหมอก เป็น “แม่ฮ่องสอน เมืองในฝัน สวรรค์บนดอย แผ่นดินไทย”
สโลแกนนี้จะฮอตฮิตติดหูเหมือนกับ“เมืองสามหมอก”หรือไม่ งานนี้คงต้องติดตามกันต่อไป แต่จากการที่แม่ฮ่องสอนเป็นเมืองที่มากไปด้วยขุนเขาดงดอย ทำให้ถนนหนทางส่วนใหญ่ในเมืองนี้จำเป็นต้องสร้างลดเลี้ยวเคี้ยวโค้งไปตามภูมิประเทศ จะมีทางตรงบ้างเล็กๆน้อยก็เฉพาะในเขตเมืองเท่านั้น แต่พอออกนอกเมืองไปแค่นิดเดียวเท่านั้นแหละ เจอโค้งถามหาแล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าแม่ฮ่องสอนจะมีโค้งมากมาย แต่บนเส้นทางที่คดโค้งเหล่านั้นก็มีเสน่ห์แฝงซ่อนอยู่ เพราะแค่ผมนั่งรถออกจากเมืองไปนิดเดียว หากไม่สนใจกับโค้งที่ประเดประดังกันเข้ามา แล้วก็จะพบว่าตามโค้งหลายๆโค้งวิวทิวทัศน์ที่ปรากฏต่อสายตานั้นช่างงดงามนัก เพียงแต่ว่าหากใครจะหยุดถ่ายรูปก็ต้องหามุม หรือจุดจอดรถให้เหมาะๆ เพราะถ้าจอดรถผิดที่ผิดทางก็จะถูกรถคันหลังหรือรถที่วิ่งสวนมาเสยตกโค้งเอา
นอกจากความสวยงามที่แอบแฝงเป็นจุดชมวิวอยู่ตามโค้งถนนบางช่วงแล้ว เสน่ห์แห่งโค้งเมืองแม่ฮ่องสอนยังทำให้ทางจังหวัดชูเป็นเส้นทางขับรถเที่ยวไปตามโค้งถนนที่คดเคี้ยวขึ้นๆลงๆลัดเลาะไปตามขุนเขา ซึ่งเส้นทาง 108 (เชียงใหม่-ฮอด-แม่สะเรียง-แม่ลาน้อย-ขุนยวม-แม่ฮ่องสอน) ที่พิชิต 1,864 โค้งนั้น ปัจจุบันถือเป็นเส้นทางสายคลาสสิค ที่นอกจากจะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอย่าง อุทยานออบหลวง(อ.ฮอด) ถ้ำแก้วโกมล(อ.แม่ลาน้อย) ทุ่งดอกบัวตอง(อ.ขุนยวม : ช่วง พ.ย.-ธ.ค.) จากนั้นพอถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ทางจังหวัดก็จะมีประกาศนียบัตรมอบให้
ขากลับออกจากแม่ฮ่องสอน ไม่ควรกลับบนเส้นทางสายเดิมเพื่อที่วิวทิวทัศน์จะได้ไม่จำเจ แต่ควรจะกลับเส้นทางวงรอบบนทางหลวงหมายเลข 1095 (แม่มาลัย-ปาย) ที่ออกจากแม่ฮ่องสอนก็ผ่านปางมะผ้า เข้าปาย ผ่าน อ.แม่แตง แล้วตัดเข้าแม่ริม เข้าเชียงใหม่ ในเส้นทางสายนี้นอกจากเมืองปายอันโด่งดังแล้วก็ยังมีอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ที่ว่ากันว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามที่สุดในเมืองไทย
ตั้ม เพื่อนชาวแม่ฮ่องสอนโดยกำเนิดบอกกับผมว่า ทั้งเส้นทาง 108 และเส้นทางสายแม่มาลัย-ปาย 1095 ทหารญี่ปุ่นที่ยกทัพผ่านเข้ามาทาง อ.ขุนยวม ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้มาสร้างไว้เป็นวงรอบ แต่ว่าเส้นทางแม่มาลัย-ปาย เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ถนนหนทางไม่ดีจึงไม่เป็นที่นิยมกัน
“เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่จากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอนนิยมใช้ถนนแม่มาลัย-ปายกันทั้งนั้น เพราะมีระยะทางสั้นกว่า แถมยังชอบไปแวะเที่ยวปายกันอีกด้วย” ตั้มเล่า
สำหรับเส้นทางสายเชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอนนั้น เท่าที่ผมดูจากข้อมูลทั่วในเว็บไซต์จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีระยะทางประมาณ 245 กิโลเมตร แต่ด้วยความที่มีสภาพถนนที่ลาดชันกว่า เลยทำให้มีโค้งมากกว่า
“ถนนเส้นนี้เขานับมาแล้วว่ามีโค้งมากถึง 2,224 โค้งทีเดียว”
ตั้มบอกอย่างนั้น ซึ่งผมไม่รู้ว่าเขาคนนี้คือใครและมีวิธีการนับอย่างไร เพราะเท่าที่ลองนับเจอแต่โค้งซ้าย โค้งขวา โค้งหน้า โค้งหลัง และโค้งอันตราย ที่หากนับโค้งมากๆมันจะเกิดอาการอ้วกแตกอ้วกแตนเอาได้ง่ายๆ ส่วนตั้มนั้นมันกลับชอบถนนที่ลดเลี้ยวเคี้ยวโค้งไม่น้อยทีเดียว ถึงขนาดที่ว่า ถ้าให้มันไปขับรถตามถนนปกติ มันกลับไม่สันทัดแต่หากขับขึ้น-ลงเขานี่มันขับฉิวเลย
“เวลาขับรถบนถนนทางตรง กูชอบขับคร่อมเลนว่ะ เพราะกูติดโรคขับรถคร่อมเลนมาจากการขับขึ้นเขา ลงเขาอ่ะ” ตั้มบอกกับผมอย่างนั้น
การเดินทางสู่แม่ฮ่องสอน