โดย : หมวยเกี๊ยะ

"มิเคยขึ้นกำแพงเมืองจีน หาใช่ลูกผู้ชายไม่"
นี่คือคำกล่าวจากกลอนบทหนึ่งของท่านประธานเหมาเจ๋อตง อดีตผู้นำของชาวจีน ที่ได้เอ่ยถึงความยิ่งใหญ่ของ "กำแพงเมืองจีน" หนึ่งในสัญลักษณ์อันโดดเด่นแห่งแดนมังกร
สำหรับฉันแม้จะเป็นเพียงอาหมวยตัวน้อยๆ แต่ว่าในชีวิตก็ใฝ่ฝันอยากจะไปเหยียบกำแพงเมืองจีนแห่งนี้สักครั้ง ขอเป็นลูกผู้หญิงที่มีโอกาสขึ้นไปเหยียบกำแพงเมืองจีนบ้าง
กระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ไม่ว่าจะด้วยแรงอธิษฐานหรือความคิดถึง (ส่วนตัว) ก็ทำให้หมวยน้อยอย่างฉันมีโอกาสเดินทางไปเยือน"ปักกิ่ง"เมืองหลวงแห่งแดนมังกรที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ และสิ่งปลูกสร้างทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจให้เที่ยวชมมากมาย โดยในทริปนี้ฉันมีโปรแกรมไปตะลอนทัวร์มรดกโลก 4 แห่งในเมืองปักกิ่ง
จุดหมายแรกในปักกิ่งที่ฉันเดินทางไปเที่ยวชมก็คือ"กำแพงเมืองจีน" 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางและเป็น 1 ในมรดกโลกของจีนในปี ค.ศ. 1987 ซึ่งจะว่าไปแล้วจุดที่สามารถชมกำแพงเมืองจีนได้สะดวกโยธินในกรุงปักกิ่งนั้นมีอยู่หลายที่ แต่จุดที่ชมกำแพงเมืองจีนได้สมบูรณ์ที่สุด ดีที่สุดและมีนักท่องเที่ยวนิยมมามากที่สุดก็คือที่ ด่านปาต๋าหลิ่ง (Badaling) ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของปักกิ่ง

ระหว่างที่เดินทางไปยังด่านปาต๋าหลิ่ง ฉันอ่านข้อมูลเป็นความรู้ติดสมองเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนไปด้วย ว่ากำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์โจว เมื่อราว 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยกษัตริย์แคว้นฉู่ได้ริเริ่มดำเนินการก่อสร้างขึ้น เพื่อป้องกันการรุกรานจากแคว้นอื่นๆ
ครั้นเมื่อย่างเข้าสู่ยุคสมัยของจักรพรรดิฉินซีหรือจิ๋นซีฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฉิน ก็ได้ทำการก่อสร้างกำแพงเพิ่มเติมออกไปอีก กระทั่งในสมัยของราชวงศ์ฮั่นก็มีการต่อเติมมาเรื่อยๆ จนมาถึงราชวงศ์หมิงก็ทำให้กำแพงเมืองจีน มีความยาวถึง 14,600 ลี้ (ราว 6,700 กม.) จนได้รับสมญานามว่าเป็น "กำแพงหมื่นลี้"
กำแพงเมืองจีนนี้ประกอบไปด้วย 4 ส่วนสำคัญ คือ ส่วนกำแพงเมือง มีทั้งที่เป็นกำแพงหิน ดิน ทราย และอื่นๆ ตามแต่วัสดุที่ใช้ก่อสร้าง มีความสูงประมาณ 3-8 ม. ยอดกำแพงกว้าง 4-6 ม. มีหอสังเกตการณ์แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นบนใช้คอยสอดส่องและยิงธนูต่อสู้ข้าศึก ชั้นล่างแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ ใช้เก็บสรรพาวุธ รวมถึงเป็นที่พักนอนของเหล่าทหาร ส่วนที่3 คือ ตัวด่านหรือป้อมปราการ มักสร้างไว้ตามจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ และหอส่งสัญญาณ ซึ่งเป็นส่วนที่ตั้งอยู่นอกเขตกำแพง ตามยอดเขาหรือที่ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากที่ไกลๆ ตอนกลางคืนจะใช้วิธีจุดไฟแจ้งเหตุ ส่วนกลางวันใช้ควันไฟส่งสัญญาณแทน
หลังจากที่ฉันอ่านข้อมูลจนจบ ก็พอเหมาะกับเวลาที่ฉันมาถึงยังด่านปาต๋าหลิ่งพอดี และภาพความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองจีนที่ทอดตัวยาวไปตามแนวขุนเขาก็อยู่ตรงเบื้องหน้า ขาเล็กๆ อันทรงพลังของฉันก็พร้อมที่จะขึ้นไปเดินพิชิตความแข็งแกร่งของกำแพงเมืองจีนนี้แล้ว ฉันจึงไม่รีรอรีบตีตี๋วแล้วเดินรี่ขึ้นยังตัวกำแพงทันที ซึ่งกำแพงเมืองจีนตรงด่านปาต๋าหลิ่งนี้ ถูกบูรณะขึ้น เมื่อปีค.ศ. 1957 ตัวกำแพงจึงดูสมบูรณ์ ดูแข่งแกร่งและยิ่งใหญ่สมคำล่ำลือจริงๆ

ฉันพาตัวเองเดินไปตามแนวทางเดินบนกำแพงที่ถอดตัวยาวไปตามแนวสันเขาอันคดเคี้ยว ดูไกลสุดลูกหูลูกตาบางช่วงเป็นทางราบเดินสบายๆ บางช่วงเป็นทางเดินขั้นบันไดที่ต้องออกแรงพลังขาก้าวขึ้นไปบนเนินเขา แต่ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ยอมแพ้ ฉันเดินไปหยุดพักไป พร้อมกับชมวิวทิวทัศน์อันงดงามที่มองได้จากบนตัวกำแพง และในที่สุดฉันก็พิชิตกำแพงเมืองจีนสำเร็จสมดังใจ พร้อมกับรับรู้ได้ว่าทุกฝีก้าวที่เดินไปฉันสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของเหล่าบรรพบุรุษชาวจีนทุกท่าน ที่สร้างกำแพงแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันข้าศึกไม่ให้มารุกรานประเทศ และก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่ากำแพงเมืองจีนไม่ว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวกี่ร้อยปี กำแพงแห่งนี้ก็ยังผงาดความยิ่งใหญ่ให้คนทั่วโลกได้รับรู้อย่างทั่วกัน
และหลังจากที่ได้พิชิตกำแพงเมืองจีนจนสมใจอยากแล้ว ฉันก็ออกเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่เที่ยวมรดกโลกอีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือที่ "พระราชวังฤดูร้อน" (Summer Palace) ที่ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1998 ถือว่าเป็นอุทยานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
พระราชวังฤดูร้อนนี้มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ย้อนหลังไปเมื่อศตวรรษที่ 11 จักรพรรดิองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์จินทรงมีพระราชโองการให้สร้างที่ประทับแรมขึ้นในพื้นที่ เขตไห่เตี้ยน นอกกรุงปักกิ่ง เพื่อใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อน เพื่อพักผ่อนตากอากาศ ต่อมาในหลายราชวงศ์มีการสร้างเสริมเติมต่อหลายครั้ง และรัชสมัยพระจักรพรรดิเฉียนหลง ทรงมีพระราชโองการให้สร้างขยายอุทยานแห่งนี้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองวาระคล้ายวันพระราชสมภพของพระราชมารดา และทรงให้ชื่อว่า สวนชิงอีหยวน

ครั้นเมื่อปี ค.ศ. 1860 อุทยานแห่งนี้ถูกทหารพันธมิตร อังกฤษ - ฝรั่งเศสเผาทําลาย กระทั่งเมื่อปีค.ศ. 1888 พระนาง ซูสีไทเฮา ได้มีพระบัญชาให้บูรณะพระราชวังแห่งนี้ขึ้นมาใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น "อี๋เหอหยวน" แล้วในปี ค.ศ. 1900 ก็ได้ถูกกองทหารพันธมิตรของมหาอำนาจจักรวรรดินิยม 8 ประเทศ เผาทำลายอีก หลังจากนั้นราว 3 ปี จึงมีการบูรณะขึ้นอีกครั้ง จนในที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 1924 ก็ได้เปิดพระราชวังฤดูร้อนเป็นสวนสาธารณะอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาเที่ยวชม และก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดัง
ตัวฉันเองเมื่อมาถึงพระราชวังก็ต้องทึ่งในความใหญ่โตโอฬารของพระราชวังฤดูร้อนแห่งนี้ ด้วยพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 2,929,600 ตารางเมตร ประกอบด้วยพื้นที่ที่เป็นนํ้า 3 ส่วน พื้นที่ดิน 1 ส่วน ถือว่าเป็นพระราชอุทยานที่มีทัศนียภาพที่งดงาม มีสิ่งก่อสร้างที่สวยงามมากมายให้เข้าไปเที่ยวชม ซึ่งหากใช้เวลาในการเดินเที่ยวแค่ครึ่งวันหรือทั้งวันก็ยังชมไม่ทั่ว
ฉันเองจึงขอนำพาชมในส่วนที่น่าสนในใจและเป็นจุดเด่นที่หากใครมาเที่ยวต้องไม่พลาดการไปชมก็แล้วกัน โดยสิ่งที่ฉันสะดุดตาเป็นอย่างมาก เมื่อเดินเข้ามาในบริเวณพระราชวังแล้วนั้นก็คือ ทะเลสาบคุนหมิง อันกว้างใหญ่ ที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงใช้แรงงานคนกว่าแสนคนขุดขยายทะเลสาบแห่งนี้ขึ้นมา
ส่วนเบื้องหลังของทะเลสาบมี ภูเขาวั่นโซ่วซัน หรือว่าภูเขาหมื่นปี ที่บนเนินเขามีวิหารฝอเซียง ที่บรรจุพระพุทธรูปที่พระนางซูสีไทเฮาขึ้นมากราบไหว้อยู่เป็นประจำ ซึ่งหากขึ้นไปภูเขาจะสามารถมองทิวทัศน์อันสวยงามในมุมกว้างของพระราชวัง รวมถึงทิวทัศน์ของกรุงปักกิ่งได้โดยรอบเลยด้วย

และบริเวณริมทะเลสาบ ยังมีระเบียงยาวที่มีความยาวกว่า 728 เมตร ให้ฉันได้เดินชมความงดงามของระเบียงแห่งนี้ ที่นอกจากจะยาวทอดตัวคดเคี้ยวไปตามแนวริมทะเลสาบแล้ว ฉันยังได้เห็นถึงความงามทางด้านศิลปกรรมจากภายในระเบียง ที่มีภาพเขียนจีนต่างๆ จำนวนมากมาย ส่วนด้านนอกก็มีศาลาพักร้อน หอชมสวน เก๋งจีนที่เชื่อมต่อตลอดความยาวของระเบียงเป็นระยะๆ เรียกว่าเดินชมกันแบบเพลินตา เพลินใจ
ส่วนสิ่งก่อสร้างอีกหนึ่งอย่างที่ สวยงามและน่าทึ่งไม่แพ้กัน นั่นก็คือ เรือหินอ่อนสองชั้น ที่มองดูไกลๆ จะเห็นว่าเหมือนลอยน้ำอยู่จริง แต่ที่จริงแล้วเป็นแท่งหินอ่อนที่สร้างขึ้นเป็นรูปเรือ ตามพระประสงค์ของพระนางซูสีไทเฮา เพื่อเอาไว้จิบน้ำชานั่งและชมวิว
นอกจากนี้ภายในพระราชวังฤดูร้อนยังมีสถานที่สำคัญอีกมากมายหลายแห่งที่ชวนชม ไม่ว่าจะเป็นโรงละครส่วนตัวของพระนางซูสีไทเฮา ที่แกะสลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจง งดงามมากๆ มีตำหนักเหยินโซ่ว สถานที่ว่าราชการของพระนางซูสีไทเฮาและจักรพรรดิ กวงสู และตำหนักเล่อโซ่วถาง ซึ่งเป็นตำหนักประทับของพระนางซูสีไทเฮายามแปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังแห่งนี้ และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อีกมากมาย ที่ถ้าให้ฉันบรรยากาศความอลังการของพระราชวังแห่งนี้อย่างเต็มที่ เห็นทีว่าเนื้อที่หน้ากระดาษคงจะไม่พอเขียน เอาเป็นแค่พอสังเขปก็แล้วกัน เพราะในตอนหน้าฉันจะพาไปเที่ยวอีก 2 มรดกโลกที่เหลือ ซึ่งจะเป็นที่ไหนบ้างนั้นคงต้องติดตามกันในตอนต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ปักกิ่ง (Beijing) เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี ค.ศ. 2008 ปักกิ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกครั้งที่ 29 ปักกิ่งใช้เงินสกุลหยวน (1 หยวน ประมาณ 5 บาท) ภาษาที่ใช้คือภาษาจีนกลาง สำหรับผู้ที่ต้องการเที่ยวปักกิ่งสามารถติดต่อได้ที่บริษัททัวร์ทั่วไป
การเดินทาง มีสายการบินไชน่า เซาเทิร์น แอร์ไลน์ และ สายการบินไชน่าแอร์ไลน์ บินตรงจากเมืองไทยสู่ปักกิ่ง
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
"ปักกิ่ง 2006" นครหลวงจีนบนความเปลี่ยนแปลง
"มิเคยขึ้นกำแพงเมืองจีน หาใช่ลูกผู้ชายไม่"
นี่คือคำกล่าวจากกลอนบทหนึ่งของท่านประธานเหมาเจ๋อตง อดีตผู้นำของชาวจีน ที่ได้เอ่ยถึงความยิ่งใหญ่ของ "กำแพงเมืองจีน" หนึ่งในสัญลักษณ์อันโดดเด่นแห่งแดนมังกร
สำหรับฉันแม้จะเป็นเพียงอาหมวยตัวน้อยๆ แต่ว่าในชีวิตก็ใฝ่ฝันอยากจะไปเหยียบกำแพงเมืองจีนแห่งนี้สักครั้ง ขอเป็นลูกผู้หญิงที่มีโอกาสขึ้นไปเหยียบกำแพงเมืองจีนบ้าง
กระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ไม่ว่าจะด้วยแรงอธิษฐานหรือความคิดถึง (ส่วนตัว) ก็ทำให้หมวยน้อยอย่างฉันมีโอกาสเดินทางไปเยือน"ปักกิ่ง"เมืองหลวงแห่งแดนมังกรที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ และสิ่งปลูกสร้างทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจให้เที่ยวชมมากมาย โดยในทริปนี้ฉันมีโปรแกรมไปตะลอนทัวร์มรดกโลก 4 แห่งในเมืองปักกิ่ง
จุดหมายแรกในปักกิ่งที่ฉันเดินทางไปเที่ยวชมก็คือ"กำแพงเมืองจีน" 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางและเป็น 1 ในมรดกโลกของจีนในปี ค.ศ. 1987 ซึ่งจะว่าไปแล้วจุดที่สามารถชมกำแพงเมืองจีนได้สะดวกโยธินในกรุงปักกิ่งนั้นมีอยู่หลายที่ แต่จุดที่ชมกำแพงเมืองจีนได้สมบูรณ์ที่สุด ดีที่สุดและมีนักท่องเที่ยวนิยมมามากที่สุดก็คือที่ ด่านปาต๋าหลิ่ง (Badaling) ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของปักกิ่ง
ระหว่างที่เดินทางไปยังด่านปาต๋าหลิ่ง ฉันอ่านข้อมูลเป็นความรู้ติดสมองเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนไปด้วย ว่ากำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์โจว เมื่อราว 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยกษัตริย์แคว้นฉู่ได้ริเริ่มดำเนินการก่อสร้างขึ้น เพื่อป้องกันการรุกรานจากแคว้นอื่นๆ
ครั้นเมื่อย่างเข้าสู่ยุคสมัยของจักรพรรดิฉินซีหรือจิ๋นซีฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฉิน ก็ได้ทำการก่อสร้างกำแพงเพิ่มเติมออกไปอีก กระทั่งในสมัยของราชวงศ์ฮั่นก็มีการต่อเติมมาเรื่อยๆ จนมาถึงราชวงศ์หมิงก็ทำให้กำแพงเมืองจีน มีความยาวถึง 14,600 ลี้ (ราว 6,700 กม.) จนได้รับสมญานามว่าเป็น "กำแพงหมื่นลี้"
กำแพงเมืองจีนนี้ประกอบไปด้วย 4 ส่วนสำคัญ คือ ส่วนกำแพงเมือง มีทั้งที่เป็นกำแพงหิน ดิน ทราย และอื่นๆ ตามแต่วัสดุที่ใช้ก่อสร้าง มีความสูงประมาณ 3-8 ม. ยอดกำแพงกว้าง 4-6 ม. มีหอสังเกตการณ์แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นบนใช้คอยสอดส่องและยิงธนูต่อสู้ข้าศึก ชั้นล่างแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ ใช้เก็บสรรพาวุธ รวมถึงเป็นที่พักนอนของเหล่าทหาร ส่วนที่3 คือ ตัวด่านหรือป้อมปราการ มักสร้างไว้ตามจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ และหอส่งสัญญาณ ซึ่งเป็นส่วนที่ตั้งอยู่นอกเขตกำแพง ตามยอดเขาหรือที่ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากที่ไกลๆ ตอนกลางคืนจะใช้วิธีจุดไฟแจ้งเหตุ ส่วนกลางวันใช้ควันไฟส่งสัญญาณแทน
หลังจากที่ฉันอ่านข้อมูลจนจบ ก็พอเหมาะกับเวลาที่ฉันมาถึงยังด่านปาต๋าหลิ่งพอดี และภาพความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองจีนที่ทอดตัวยาวไปตามแนวขุนเขาก็อยู่ตรงเบื้องหน้า ขาเล็กๆ อันทรงพลังของฉันก็พร้อมที่จะขึ้นไปเดินพิชิตความแข็งแกร่งของกำแพงเมืองจีนนี้แล้ว ฉันจึงไม่รีรอรีบตีตี๋วแล้วเดินรี่ขึ้นยังตัวกำแพงทันที ซึ่งกำแพงเมืองจีนตรงด่านปาต๋าหลิ่งนี้ ถูกบูรณะขึ้น เมื่อปีค.ศ. 1957 ตัวกำแพงจึงดูสมบูรณ์ ดูแข่งแกร่งและยิ่งใหญ่สมคำล่ำลือจริงๆ
ฉันพาตัวเองเดินไปตามแนวทางเดินบนกำแพงที่ถอดตัวยาวไปตามแนวสันเขาอันคดเคี้ยว ดูไกลสุดลูกหูลูกตาบางช่วงเป็นทางราบเดินสบายๆ บางช่วงเป็นทางเดินขั้นบันไดที่ต้องออกแรงพลังขาก้าวขึ้นไปบนเนินเขา แต่ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ยอมแพ้ ฉันเดินไปหยุดพักไป พร้อมกับชมวิวทิวทัศน์อันงดงามที่มองได้จากบนตัวกำแพง และในที่สุดฉันก็พิชิตกำแพงเมืองจีนสำเร็จสมดังใจ พร้อมกับรับรู้ได้ว่าทุกฝีก้าวที่เดินไปฉันสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของเหล่าบรรพบุรุษชาวจีนทุกท่าน ที่สร้างกำแพงแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันข้าศึกไม่ให้มารุกรานประเทศ และก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่ากำแพงเมืองจีนไม่ว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวกี่ร้อยปี กำแพงแห่งนี้ก็ยังผงาดความยิ่งใหญ่ให้คนทั่วโลกได้รับรู้อย่างทั่วกัน
และหลังจากที่ได้พิชิตกำแพงเมืองจีนจนสมใจอยากแล้ว ฉันก็ออกเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่เที่ยวมรดกโลกอีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือที่ "พระราชวังฤดูร้อน" (Summer Palace) ที่ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1998 ถือว่าเป็นอุทยานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
พระราชวังฤดูร้อนนี้มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ย้อนหลังไปเมื่อศตวรรษที่ 11 จักรพรรดิองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์จินทรงมีพระราชโองการให้สร้างที่ประทับแรมขึ้นในพื้นที่ เขตไห่เตี้ยน นอกกรุงปักกิ่ง เพื่อใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อน เพื่อพักผ่อนตากอากาศ ต่อมาในหลายราชวงศ์มีการสร้างเสริมเติมต่อหลายครั้ง และรัชสมัยพระจักรพรรดิเฉียนหลง ทรงมีพระราชโองการให้สร้างขยายอุทยานแห่งนี้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองวาระคล้ายวันพระราชสมภพของพระราชมารดา และทรงให้ชื่อว่า สวนชิงอีหยวน
ครั้นเมื่อปี ค.ศ. 1860 อุทยานแห่งนี้ถูกทหารพันธมิตร อังกฤษ - ฝรั่งเศสเผาทําลาย กระทั่งเมื่อปีค.ศ. 1888 พระนาง ซูสีไทเฮา ได้มีพระบัญชาให้บูรณะพระราชวังแห่งนี้ขึ้นมาใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น "อี๋เหอหยวน" แล้วในปี ค.ศ. 1900 ก็ได้ถูกกองทหารพันธมิตรของมหาอำนาจจักรวรรดินิยม 8 ประเทศ เผาทำลายอีก หลังจากนั้นราว 3 ปี จึงมีการบูรณะขึ้นอีกครั้ง จนในที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 1924 ก็ได้เปิดพระราชวังฤดูร้อนเป็นสวนสาธารณะอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาเที่ยวชม และก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดัง
ตัวฉันเองเมื่อมาถึงพระราชวังก็ต้องทึ่งในความใหญ่โตโอฬารของพระราชวังฤดูร้อนแห่งนี้ ด้วยพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 2,929,600 ตารางเมตร ประกอบด้วยพื้นที่ที่เป็นนํ้า 3 ส่วน พื้นที่ดิน 1 ส่วน ถือว่าเป็นพระราชอุทยานที่มีทัศนียภาพที่งดงาม มีสิ่งก่อสร้างที่สวยงามมากมายให้เข้าไปเที่ยวชม ซึ่งหากใช้เวลาในการเดินเที่ยวแค่ครึ่งวันหรือทั้งวันก็ยังชมไม่ทั่ว
ฉันเองจึงขอนำพาชมในส่วนที่น่าสนในใจและเป็นจุดเด่นที่หากใครมาเที่ยวต้องไม่พลาดการไปชมก็แล้วกัน โดยสิ่งที่ฉันสะดุดตาเป็นอย่างมาก เมื่อเดินเข้ามาในบริเวณพระราชวังแล้วนั้นก็คือ ทะเลสาบคุนหมิง อันกว้างใหญ่ ที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงใช้แรงงานคนกว่าแสนคนขุดขยายทะเลสาบแห่งนี้ขึ้นมา
ส่วนเบื้องหลังของทะเลสาบมี ภูเขาวั่นโซ่วซัน หรือว่าภูเขาหมื่นปี ที่บนเนินเขามีวิหารฝอเซียง ที่บรรจุพระพุทธรูปที่พระนางซูสีไทเฮาขึ้นมากราบไหว้อยู่เป็นประจำ ซึ่งหากขึ้นไปภูเขาจะสามารถมองทิวทัศน์อันสวยงามในมุมกว้างของพระราชวัง รวมถึงทิวทัศน์ของกรุงปักกิ่งได้โดยรอบเลยด้วย
และบริเวณริมทะเลสาบ ยังมีระเบียงยาวที่มีความยาวกว่า 728 เมตร ให้ฉันได้เดินชมความงดงามของระเบียงแห่งนี้ ที่นอกจากจะยาวทอดตัวคดเคี้ยวไปตามแนวริมทะเลสาบแล้ว ฉันยังได้เห็นถึงความงามทางด้านศิลปกรรมจากภายในระเบียง ที่มีภาพเขียนจีนต่างๆ จำนวนมากมาย ส่วนด้านนอกก็มีศาลาพักร้อน หอชมสวน เก๋งจีนที่เชื่อมต่อตลอดความยาวของระเบียงเป็นระยะๆ เรียกว่าเดินชมกันแบบเพลินตา เพลินใจ
ส่วนสิ่งก่อสร้างอีกหนึ่งอย่างที่ สวยงามและน่าทึ่งไม่แพ้กัน นั่นก็คือ เรือหินอ่อนสองชั้น ที่มองดูไกลๆ จะเห็นว่าเหมือนลอยน้ำอยู่จริง แต่ที่จริงแล้วเป็นแท่งหินอ่อนที่สร้างขึ้นเป็นรูปเรือ ตามพระประสงค์ของพระนางซูสีไทเฮา เพื่อเอาไว้จิบน้ำชานั่งและชมวิว
นอกจากนี้ภายในพระราชวังฤดูร้อนยังมีสถานที่สำคัญอีกมากมายหลายแห่งที่ชวนชม ไม่ว่าจะเป็นโรงละครส่วนตัวของพระนางซูสีไทเฮา ที่แกะสลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจง งดงามมากๆ มีตำหนักเหยินโซ่ว สถานที่ว่าราชการของพระนางซูสีไทเฮาและจักรพรรดิ กวงสู และตำหนักเล่อโซ่วถาง ซึ่งเป็นตำหนักประทับของพระนางซูสีไทเฮายามแปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังแห่งนี้ และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อีกมากมาย ที่ถ้าให้ฉันบรรยากาศความอลังการของพระราชวังแห่งนี้อย่างเต็มที่ เห็นทีว่าเนื้อที่หน้ากระดาษคงจะไม่พอเขียน เอาเป็นแค่พอสังเขปก็แล้วกัน เพราะในตอนหน้าฉันจะพาไปเที่ยวอีก 2 มรดกโลกที่เหลือ ซึ่งจะเป็นที่ไหนบ้างนั้นคงต้องติดตามกันในตอนต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ปักกิ่ง (Beijing) เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี ค.ศ. 2008 ปักกิ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกครั้งที่ 29 ปักกิ่งใช้เงินสกุลหยวน (1 หยวน ประมาณ 5 บาท) ภาษาที่ใช้คือภาษาจีนกลาง สำหรับผู้ที่ต้องการเที่ยวปักกิ่งสามารถติดต่อได้ที่บริษัททัวร์ทั่วไป
การเดินทาง มีสายการบินไชน่า เซาเทิร์น แอร์ไลน์ และ สายการบินไชน่าแอร์ไลน์ บินตรงจากเมืองไทยสู่ปักกิ่ง
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
"ปักกิ่ง 2006" นครหลวงจีนบนความเปลี่ยนแปลง


